ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 141 ไม่มีใครนอนหลับได้ดีเมื่อพักอยู่ท่ามกลางดงหลิว

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

โรงเตี๊ยมหลิวซู่เป็นโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเมืองฮั่นชิว มันอยู่ติดกับทะเลสาบที่งดงามที่สุดภายในเมืองและถูกล้อมเอาไว้ด้วยป่าหลิวโบราณ ที่แห่งนั้นงดงามและเงียบสงบที่สุดในช่วงฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูร้อน แต่กลางฤดูหนาวเช่นนี้ ทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็งและต้นหลิวก็ใบร่วงโกร๋น จึงอาจทำให้คนรู้สึกโศกเศร้ายามมองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นภาพนี้ใต้แสงดาว

เมืองฮั่นชิวยามค่ำคืนนั้นเงียบสงบอย่างที่สุด เงียบจนดูเหมือนดั่งป่าช้า หวังผ้อยังอยู่ในแดนใต้และไม่ได้กลับมายังเมืองเทียนเหลียง แต่ในสายตาของตระกูลจูความเปลี่ยนแปลงในโลกนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป เกิดขึ้นโดยไม่ทันให้ตั้งตัว อย่างเช่นสภาพอันกดดันของพวกเขาในตอนนี้

เสียงของหนานเค่อดึงเฉินฉางเซิงกลับมาจากความคิด เขาหันกลับและนั่งบนเตียง

หนานเค่อถอดรองเท้าของเขาออกแล้วจากนั้นก็วางเท้าของเขาลงในอ่าง ก้มหน้าลงและล้างมันอย่างจริงจังมาก

อุณหภูมิของน้ำในอ่างกำลังพอดี ไม่ร้อนลวกแต่ก็ไม่เย็นจนทำให้รู้สึกเย็นหลังแช่ไปพักหนึ่ง นางคงทดลองมันด้วยตัวเองแล้วเมื่อครู่นี้ เช่นเดียวกับที่นางเคยทำในคืนนั้นตอนที่อยู่คอกม้าผาชัน

เมื่อตอนที่เฉินฉางเซิงยังหมดสติอยู่และในช่วงที่เขายังเคลื่อนไหวไม่สะดวก หนานเค่อเป็นคนที่ป้อนข้าวเช็ดตัวให้เขา

เขาได้พยายามปฏิเสธนางหลายครั้งแต่เขาก็ไม่อาจทำให้นางเปลี่ยนใจได้สักครั้ง เหมือนเช่นคืนนี้

“ข้าเกือบหายดีแล้ว ไม่ดีกว่าหรือหากข้าทำเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเองในอนาคต”

“ไม่ดี”

หนานเค่อไม่ได้เงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ

นางในตอนนี้จำอะไรไม่ได้มีเพียงเฉินฉางเซิงที่เป็นคนสำคัญในโลกของนาง

ดังนั้นนางจึงดูแลเขาอย่างดี ทำให้แน่ใจว่าเขาจะหายดีโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เฉินฉางเซิงครุ่นคิด จากนั้นก็กล่าวอย่างจริงใจมาก “ข้าไม่แน่ใจ…ว่าข้าจะรักษาเจ้าได้”

“แต่ก็มีแค่เจ้าคนเดียวที่ทำได้ใช่ไหม”

หนานเค่อเงยหน้าขึ้นและจ้องไปในดวงตาเขา

เพราะดวงจิตของนางได้แตกออกจากร่างกายแล้ว ดวงตาของนางจึงไม่มีระยะห่างมากเกินไปอีก แต่แววตาของนางยังคงดูหม่นมัวอยู่บ้าง

ตอนที่นางเพ่งมองไปที่คนหรือสิ่งของ มันก็ค่อนข้างน่ากลัวทีเดียว

แต่เฉินฉางเซิงก็คุ้นเคยกับมันแล้ว

หลังจากล้างเนื้อล้างตัวให้เขาแล้ว หนานเค่อก็เปิดกระเป๋าและปูเครื่องนอนไว้บนพื้น นางไม่ได้นอนแต่ถอดเสื้อออกและนั่งลงตรงหน้าของเฉินฉางเซิง

ไม่กี่วันที่ผ่านมาก่อนที่พวกเขาจะออกจากคอกม้าผาชัน เฉินฉางเซิงได้เริ่มพยายามรักษานาง

แม้ว่าจะเป็นเด็กปัญญาอ่อน หนานเค่อก็ยังพอจะรู้สึกได้ว่าการเปลือยกายต่อหน้าผู้ชายนั้นไม่ใช่เรื่องดี

แต่นางก็ชินกับมันแล้ว

นิ้วของเฉินฉางเซิงไล้ผ่านลูกปัดหิน ดวงจิตของเขาเข้าไปในสวนเพื่อเอากระบี่สั้นออกมา

จากนั้นเขาก็เอาเข็มเล่มหนึ่งออกมาจากซ่อนคม

ปราณแท้ไหลเข้าไปและปลายเข็มก็เริ่มสั่น มันค่อยๆ แทงเข้าไปในผิวหนังที่ดูบอบบางแต่อันที่จริงแล้วเหนียวอย่างมาก ปักเข้าสู่จุดลมปราณของนาง

ช่วงหลายปีมานี้เขาได้รักษาอาการป่วยของลั่วลั่ว รักษาแผลให้เสวียนหยวนผ้อ และรักษาเจ๋อซิ่วอยู่เป็นเวลานาน ความสามารถในการตรวจหารายละเอียดเล็กน้อยที่สุดผ่านปราณแท้ที่แผ่เข้าไปผ่านเข็มนั้นดีกว่าตอนที่เขาเข้ามาในจิงตูครั้งแรกมาก แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถรักษาอาการของหนานเค่อได้

เพราะหนานเค่อไม่ใช่เผ่าปีศาจแต่เป็นเผ่ามาร

จากการรักษาช่วงไม่กี่คืนมานี้ เฉินฉางเซิงได้ทำความเข้าใจร่างกายเผ่ามารมากขึ้น ยิ่งเข้าใจมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่อยากเชื่อเท่านั้น

จากภายนอก ร่างกายของเผ่ามารไม่ต่างไปจากร่างกายมนุษย์มากนัก โดยเฉพาะคนอย่างหนานเค่อที่เป็นราชนิกุล อย่างไรก็ตามมีหลายแง่มุมที่แตกต่างกันราวกับกลางวันและกลางคืน

ความแตกต่างนั้นส่วนมากอยู่ที่เส้นลมปราณ แดนลี้ลับ จุดลมปราณและห้วงแห่งจิต

เผ่ามารมีเส้นลมปราณแต่ไม่มีจุดลมปราณ และย่อมไม่มีแดนลี้ลับ

ที่สำคัญที่สุด ห้วงแห่งจิตของเผ่ามารนั้นไม่เหมือนกับมนุษย์และเผ่าปีศาจ ไม่ใช่ท้องทะเลแห่งความคิดแต่เป็นหมอกแห่งแสง

คำถามก็คือแสงในหมอกนี้เกิดจากประกายความคิดหรือว่าเป็นวัตถุบางอย่างกันแน่

เฉินฉางเซิงสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับแสงนี้อย่างมาก มันดูอ่อนจางราวกับไร้ตัวตนแต่ก็มีอยู่ทุกหนทุกแห่งตลอดเวลา ด้วยเหตุผลบางอย่างเขารู้สึกว่าเขาเคยเห็นมันมาก่อน

น่าเสียดายที่แม้ว่าหนานเค่อจะเปิดใจอย่างเต็มที่แล้วเฉินฉางเซิงก็ยังไม่อาจที่จะเข้าไปสู่ส่วนลึกของจิตใจนางได้ เพราะเขาเกรงว่าการบุกเข้าไปของเขาจะทำให้หนานเค่อกลายเป็นคนปัญญาอ่อนไปอย่างสมบูรณ์หรือไม่ก็อาจฆ่านาง ดังนั้นเขาจึงไม่อาจเห็นร่างที่แท้จริงของแสงนั้นได้

……

……

ซากที่เหลือของจูเยี่ยถูกส่งมายังเมืองฮั่นชิวอย่างลับๆ แต่กลับไม่ได้ถูกฝัง ตระกูลจูกับพรรคไร้รักไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เพราะซากที่เหลืออยู่นั้นช่างน่ากลัวยิ่งนัก ดูเหมือนกับถูกอสูรกัดทึ้ง กระนั้นเมืองฮั่นชิวที่เย็นเยียบเศร้าโศกนั้นก็แทบจะกลายเป็นป่าช้าไปแล้ว

ต่อให้ปรมาจารย์เต๋ากับเซียงอ๋องจะยังคงปกป้องตระกูลจูต่อไปเพื่อเห็นแก่มิตรภาพกับจูลั่ว แต่ตระกูลสูงศักดิ์ที่ไร้ยอดฝีมือจะดำรงอยู่ในโลกอันโหดร้ายนี้ตลอดไปได้อย่างไรกัน ทุกคนรู้ว่าวันที่หวังผ้อจะกลับมายังเมืองฮั่นชิวเพื่อทวงทุกสิ่งที่เขาเสียไปคืนนั้นย่อมต้องมาถึง

สวนหมื่นหลิวนอกเมืองฮั่นชิวดูเหมือนจะรู้สถานการณ์ในวันนี้ล่วงหน้า มันถูกเผาไปเมื่อหลายปีก่อน เผากงเต็กให้ตัวเองเป็นการล่วงหน้าไว้แล้ว

สุสานบรรพชนตระกูลจูอยู่ไม่ไกลจากสวนหมื่นหลิว มีแต่เหล่าผู้นำและผู้อาวุโสที่มีผลงานโดดเด่นเท่านั้นจึงมีสิทธิ์ที่จะฝังในที่แห่งนี้

แสงดาวคืนนี้สว่างสุกใส เผยให้เห็นหลุมศพและแผ่นศิลาอย่างชัดเจน หากตั้งใจอ่านคำที่สลักเอาไว้บนแผ่นป้ายก็จะเข้าใจประวัติศาสตร์ของตระกูลจูและพรรคไร้รักได้ทั้งหมด

มีร่างเล็กผอมคุดคู้ใช้สองมือขุดดินในขณะที่ปากพร่ำบ่นบางอย่างไม่หยุด

แสงดาวตกลงบนใบหน้าของมัน ดวงตาชั่วร้าย ปากจมูกน่าเกลียดยิ่งกว่าแผ่นหินทั้งหมดนี้รวมกันเสียอีก

น้ำลายที่ไหลออกมาจากปากมีกลิ่นเหม็นเหลือทน เหม็นเน่ายิ่งกว่าศพที่ถูกขุดขึ้นมาจากหลุม

ร่างเล็กหลังค่อมนี้กำลังขุดหลุมศพอยู่ นิ้วเรียวยาวทิ่มใส่โคลนและเนื้อเน่า ด้วยเหตุผลบางอย่างพวกมันมีความแหลมคมอย่างยิ่ง ขุดหลุมศพขึ้นมาหลุมแล้วหลุมเล่าอย่างรวดเร็ว ในเวลาแค่ครึ่งชั่วยาม หลุมศพบรรพบุรุษตระกูลจูสิบเจ็ดหลุมก็ถูกขุดขึ้นมาจนหมดสิ้น

ไม่ว่าในหลุมจะเป็นศพเน่าหรือกระดูกขาว พวกมันล้วนเป็นผลเก็บเกี่ยวชั้นยอดของชายหลังค่อม

ดวงตาเขาเป็นประกาย น้ำลายไหลหยดออกมามากขึ้น เช่นเดียวกับเสียงที่ฟังไม่รู้เรื่องที่ดังออกมาจากปากของเขา ต้องตั้งใจฟังอย่างมากจึงจะพอเข้าใจความหมายได้บ้าง

“ตระกูลจูของเจ้ากำลังจะล่มจม”

“ดังนั้นมอบความแค้นและวิญญาณของเจ้าให้กับข้าเถอะ ข้าจะช่วยฆ่าศัตรูของเจ้าให้”

ชายหลังค่อมพลันนั่งขัดสมาธิ ฝ่ามือหงายขึ้นสู่ดวงดาว หลับตาทำสมาธิ

เขากำลังใช้วิชาเต๋าที่ดั้งเดิมที่สุดของนิกายหลวง ใต้แสงดาวเขาดูภูมิฐานจนเหมือนจะศักดิ์สิทธิ์อยู่บ้าง

แต่จมูกปากบูดเบี้ยว ดวงตาก็ปิดไม่สนิท ทำให้ดูน่าเกลียดอย่างมาก

วิชาศักดิ์สิทธิ์ที่ดั้งเดิมที่สุดของนิกายหลวง แสงดาวที่งดงามที่สุด กับชายหลังค่อมที่น่าเกลียด

ความขัดแย้งนี้กลายเป็นภาพที่น่าขัน แต่ก็ยังดูน่ากลัวอีกด้วย