ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 142 แสงอรุณ หมอกในครัว ตัวประหลาด

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ใยปราณนับไม่ถ้วนลอยขึ้นจากซากปรักหักพังของสวนหมื่นหลิวและหลุมศพที่กระจัดกระจาย

ใยปราณพวกนี้เบาบางมากแต่ก็บรรจุไว้ด้วยความเย็นที่ซึมไปถึงกระดูก มันต่างไปจากปราณที่ยอดฝีมือเผ่ามารแผ่ออกมา แล้วก็ต่างไปจากปราณของมังกรยักษ์น้ำค้างแข็ง ทั้งดูน่ากลัวและสกปรกยิ่งกว่า

ยอดฝีมือจากตระกูลจูรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่ถูกฝังอยู่ในสุสานต่างก็เป็นยอดฝีมือขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นสูง มียอดฝีมือขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์สองคน หนึ่งก็คือจูลั่วที่มีเพียงแค่อนุสาวรีย์เท่านั้น แต่ก็ยังบรรจุเอาไว้ด้วยเศษดวงจิตของเขาเล็กน้อย ส่วนกลิ่นเหม็นและความรู้สึกน่ากลัวนั้นมาจากพิษที่เกิดจากศพและกระดูกที่เน่าเปื่อย

แม้แต่แสงดาวก็ดูหม่นมัวไปในตอนนี้

ใยปราณเหล่านี้ค่อยๆ รวมตัวกันที่ชายหลังค่อมตัวเตี้ยและถูกพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เขาปล่อยออกมาดึงลงสู่ขวดหยกที่วางอยู่ตรงหน้า

การใช้วิชาที่ดั้งเดิมที่สุดเพื่อเก็บพิษศพที่ชั่วร้ายเน่าเหม็นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีแม้แต่ในบันทึกที่เก็บอยู่ในพระราชวังหลี เพราะวิธีการนี้เก่าแก่เกินไป มีไม่กี่ที่เท่านั้นที่ยังสืบทอดสิ่งนี้อยู่ อย่างเช่นบางพรรคที่เป็นส่วนหนึ่งของนิกายหลวงแดนใต้เช่นยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์หรือพรรคไร้รัก…

หากคนสำคัญของตระกูลถังอยู่ที่นี่ก็จะพบว่าค่ายกลใหญ่ผังลายจักรพรรดิที่จิงตูมีบางส่วนที่เหมือนกับสิ่งนี้

เมื่อเวลาผ่านไป ปราณชั่วร้ายก็ยิ่งเบาบางลง ทั้งหมดถูกดูดลงไปในขวดหยกเล็กๆ

คนแคระหลังค่อมลืมตาขึ้น เมื่อเขามองไปที่ขวดหยก ดวงตาก็เปล่งประกายแห่งความตื่นเต้นและละโมบ

เขายกขวดขึ้นมาที่จมูกอย่างระมัดระวังและสูดดม เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ส่งกลิ่นอะไรออกมา แต่เขาก็ดูเหมือนจะมึนเมาขึ้นมา

ขวดหยกเล็กๆ มีของเหลวใสคล้ายกับน้ำอยู่ครึ่งขวด ทว่าดูหนืดข้นกว่าทำให้ดูคล้ายกับน้ำผึ้งบางชนิด

น้ำปลากับยางสนต่างก็เป็นของเหลวที่ผลิตขึ้นหลังจากความตาย เช่นเดียวกับของเหลวในขวด น้ำค้างนรกภูมิ

ล่วงเข้าสู่ช่วงลึกของราตรีกาลและแสงดาวก็ได้ความสุขสว่างกลับคืนมา หลุมศพนอกสวนหมื่นหลิวกลับคืนสู่สภาพเดิม ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าที่แห่งนี้เคยถูกขุดมาก่อน เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครรู้ว่าดวงจิตและพิษศพของเหล่ายอดฝีมือตระกูลจูได้ถูกเก็บเกี่ยวไปด้วยวิธีที่น่าเหลือเชื่อ

คนแคระหลังค่อมกลับคืนสู่โรงเตี๊ยมที่ชื่อว่าหลิวซู่

เขาก็เตี้ยอยู่แล้วแถมยังค่อมหลังก้มหัวสวมหมวกดำที่กดลงมาบังใบหน้า ทำให้ไม่อาจที่จะมองเห็นใบหน้าเขาได้

หลังออกจากพรรค เขาก็ใช้ชีวิตเดินทางในดินแดนรกร้าง แทบจะไม่ได้พบเห็นผู้คนเพราะเขามีปมด้อย

ผ่านไปไม่กี่วันเขาก็ได้เรียนรู้ว่าการแต่งกายแบบนี้ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง

เขาได้เรียนรู้เรื่องนี้จากคนสำคัญของเผ่ามารที่เขาได้เห็นในคืนนั้นบนทุ่งหิมะ

เขาเข้าโรงเตี๊ยมทางประตูข้างและเดินตรงไปยังโรงครัวด้านหลัง เขานั่งอยู่ข้างหน้าต่างราวกับสุนัข มองไปที่ท้องฟ้าเหนือกำแพงสวนรอให้แสงอรุณมาเยือน

เสียงหั่นหัวหอมกับเสียงดุด่าของพ่อครัวดังผ่านหน้าต่างแล้วจากนั้นก็กลายเป็นหมอก

เขาลุกขึ้นและเข้าไปในครัว เขาสำรวจป้ายที่วางอยู่บนกล่องข้าวและพบเป้าหมาย เขาเอาขวดหยกออกมาและหยดของเหลวลงไปสองสามหยด

วันนี้โรงเตี๊ยมหลิวซู่ได้เตรียมเต้าหู้หยกชื่อดังของเมืองฮั่นชิวไว้เป็นอาหารเช้า หยดของเหลวจากขวดหยกด้านบนดูไปคล้ายกับน้ำผึ้ง ทำให้อาหารดูน่ากินยิ่งขึ้นไปอีก

ข้าวกล่องถูกนำออกจากห้องครัวและส่งไปยังห้องที่กำหนดไว้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้แขกได้อารมณ์ดีหลังจากตื่นนอน

ชายหลังค่อมกลับไปนั่งยองๆ อยู่นอกหน้าต่างตามเดิม เมื่อเขาเห็นท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นและคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นในเวลาอันสั้น ดวงตาก็หรี่ลงด้วยความสุข

แต่แล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

ดวงตะวันยามเข้าได้พาดผ่านท้องฟ้าและลอยขึ้นเหนือกำแพงเตี้ยตรงหน้า แต่โรงเตี๊ยมก็ยังคงเงียบสงบ เขาได้ยินเสียงล้างจาน พูดคุยและแม้แต่เสียงเหรียญในกระเป๋าเสี่ยวเอ้อกระทบกัน สิ่งเดียวที่เขาไม่ได้ยินก็คือเสียงหัวใจสองดวงนั้นกำลังจะหยุดเต้น

ลำแสงอบอุ่นของตอนเช้าส่องลงบนใบหน้าน่าเกลียดของเขาและนัยน์ตาที่ดูเหมือนปกคลุมด้วยสนิมก็หดตัวลงจนเหมือนธัญพืชเล็กๆ

เขากลับเข้าไปในครัวอีกครั้ง เห็นกล่องข้าวที่เสี่ยวเอ้อยกมาเขาก็ยืนยันได้ว่าเต้าหู้หยกในจานถูกกินไปแล้ว

เขาก้มหน้าต่ำอย่างมาก สับสนอย่างยิ่ง เขาเคลื่อนเข้าไปและสูดกลิ่นของเหลวที่เหลืออยู่บนจาน ยืนยันได้ว่ามันไม่มีกลิ่นอันใด

ด้วยเหตุผลบางอย่าง เสี่ยวเอ้อเหมือนจะมองไม่เห็นเขาอย่างประหลาด

เขาพึมพำกับตัวเอง “พวกมันไม่ตาย เป็นไปได้อย่างไร”

เสี่ยวเอ้อพลันได้ยินเสียงดังมาจากอากาศด้านข้างและตกใจจนแทบจะส่งเสียงร้องออกมา

สาเหตุที่เขาไม่ส่งเสียงร้องก็เพราะว่ามีมือที่ปกคลุมไปด้วยขนสีดำและเกล็ดได้พุ่งออกมาจากอากาศและคว้าลำคอของเขาเอาไว้

คนแคระหลังค่อมเผยร่างออกมาและมองไปที่เสี่ยวเอ้ออย่างไม่ยินดียินร้าย ดวงตาของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ของมนุษย์

เสี่ยวเอ้อไม่เคยเห็นอะไรที่ดูน่าเกลียดชั่วร้ายเช่นนี้มาก่อนเลย เขาดิ้นรนด้วยความกลัวแต่ก็ไม่อาจที่จะหนีไปได้

ชายหลังค่อมคิด จากนั้นก็หยดของเหลวจากขวดหยกลงบนใบหน้าของเสี่ยวเอ้ออย่างระมัดระวังอย่างมาก

ร่างของเสี่ยวเอ้อตัวแข็งทื่อไปในทันที เลิกดิ้นรน จุดดำปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาและค่อยๆ ขยายออกไปทั่วร่างกาย

ในเวลาสั้นๆ คนมีชีวิตชีวาคนหนึ่งก็กลายเป็นไร้ชีวิต เป็นรูปปั้นสีดำสนิท ตายไปแบบนี้เอง

คนแคระหลังค่อมมองดูเสี่ยวเอ้อกลายสภาพแล้วคิดในใจ ไม่มีปัญหาอะไร! อวัยวะบนใบหน้ายุบรวมกันทำให้เขาดูน่ากลัวอย่างมาก

ลมรุ่งอรุณเย็นเล็กน้อยพัดผ่านหน้าต่างเข้ามา กระจายหมอกในครัวและพัดศพของเสี่ยวเอ้อที่กลายเป็นควันดำจำนวนนับไม่ถ้วน

ในแสงตะวันยามเช้า ควันสีดำเปลี่ยนเป็นโปร่งใสอย่างรวดเร็วและไม่อาจมองเห็นได้

……

……

หนานเค่อเก็บของเสร็จแล้ว

เฉินฉางเซิงยืนอยู่ริมหน้าต่าง เมืองฮั่นชิวใต้แสงตะวันยามเช้าดูมีชีวิตชีวามากขึ้นเล็กน้อย

แต่ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงชีวิตที่ผ่านไป

เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มาจากไหนและทำไมเขาถึงได้พลันสัมผัสถึงมันขึ้นมา

สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนอยู่บนโลกใบนี้ ในทุกขณะย่อมมีบางชีวิตที่เกิดขึ้นและมีบางชีวิตที่จากไป

ที่เขาสามารถสัมผัสได้ย่อมหมายถึงชีวิตที่จากไปนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา

เขามองไปนอกหน้าต่างที่อยู่หลังหนานเค่อ

หนานเค่อก็เงยหน้าขึ้นมาพอดีและสายตาของนางก็ประสานกับสายตาของเขากลางอากาศ ทั้งสองเห็นความกังวลในใจของอีกฝ่าย

สายตาของหนานเค่อเคลื่อนไปอีกครั้ง ไปยังพื้นกระดานตรงหน้านาง

ผ่านพื้นกระดานลงไปยังชั้นล่าง ในห้องที่อยู่ทางด้านขวา

แค่ความคิดเดียวของเฉินฉางเซิง ประกายกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นในห้องนั้น

แสงยามเช้าที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาเสียความเจิดจ้าไปในทันที

เจตจำนงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนร่วงลงมาอย่างรวดเร็วและรุนแรง ในชั่วพริบตาพื้นกระดานไม้ก็หายไปอย่างเงียบงัน กลายเป็นฝุ่นผงในแสงยามเช้า

เฉินฉางเซิงกับหนานเค่อลงสู่พื้น

เมื่อเท้าของพวกเขาสัมผัสพื้น ผนังหินตรงหน้าก็เริ่มถล่ม สลายกลายเป็นฝุ่นผงกระจายไปทั่ว

ผนังหินหายไปเผยให้เห็นภาพเบื้องหลัง

เสียงหั่นหัวหอมยังดังมาจากเขียง ไอน้ำยังคงลอยขึ้นมาจากหม้อใต้ซึ้งนึ่ง

เห็นได้ชัดว่านี่คือห้องครัว

ใจกลางห้องครัวมีตัวประหลาดตนหนึ่งยืนอยู่