บทที่ 866 มหาจักรพรรดิเทพยุทธ์ปรากฏกาย

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

เสี่ยหนานเทียนจากไปด้วยอารมณ์ที่หดหู่ แต่หวงซีกลับเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าร่าเริง

หวงซีกระโดดเข้าไปโผกอดหลิงตู้ฉิงทันที และถามขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “ประตูเคลื่อนย้ายของอาณาจักรจันทรากับภูเขาฟีนิกซ์เชื่อมกันได้ตั้งนานแล้วทำไมท่านถึงไม่มาหาข้าบ้างเลย?”

หลิงตู้ฉิงยิ้มอย่างขมขื่นและตอบกลับว่า “ก่อนหน้านี้ข้ามัวแต่ยุ่งอยู่ที่อาณาเขตหนานหัว ข้าจะไปมีเวลาไปหาเจ้าได้ยังไง?”

“ที่อาณาเขตหนานหัวมีอะไรที่ทำให้ท่านยุ่งจนไม่มีเวลาไปหาข้างั้นเหรอ?” หวงซีถามกลับด้วยสีหน้าสงสัย

“บังเอิญว่าอาณาเขตหนานหัวคืออาณาเขตบ้านเกิดของข้าเมื่อชีวิตที่แล้วน่ะ!” หลิงตู้ฉิงยิ้ม “และอีกอย่างหากข้าไปหาเจ้า มันไม่เท่ากับว่าข้าไปรบกวนเวลาบ่มเพาะของเจ้าเหรอไง? เจ้าเองก็เพิ่งจะผ่านการเกิดใหม่มาได้ไม่นาน หากเจ้าไม่รีบใช้เวลาที่เหลือบ่มเพาะให้เร็วที่สุดเจ้าอาจจะสร้างเต๋าไม่ทันยุคนี้ก็ได้จริงไหม?”

“ก็จริงอย่างที่ท่านว่า!” หวงซีทำหน้ามุ่ย “แต่ไม่รู้แหละ! ในเมื่อตอนนี้ข้าได้เจอกับท่านแล้ว ข้าจะขอติดตามท่านไปก่อนเพื่อชดเชยเวลาที่พวกเราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ข้าได้ยินมาว่าเดี๋ยวท่านจะเดินทางไปที่สำนักเที่ยงธรรมใช่ไหม จะเป็นอะไรไหมหากข้าจะขอไปด้วย?”

“แน่นอนว่าได้อยู่แล้ว!” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ว่าแต่ตอนนี้ที่ภูเขาฟีนิกซ์เตรียมการกันไปถึงไหนแล้ว?”

หวงซีส่ายหัว “ตอนนี้แดนกระดูกขาวดูเหมือนว่าจะมีอำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้พวกเราไม่กล้าที่จะให้ใครเดินทางผ่านมันอีกแล้ว แถมล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ข้าเองก็ได้เห็นกับตาว่าจู่ ๆ ที่กลางแดนกระดูกขาวกลับมีร่างเงาของวิญญาณปีศาจขนาดมโหฬารปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้า ซึ่งมันทำให้ข้าถึงกับรู้สึกหนาวไปทั่วทั้งร่างเลยทีเดียว”

“แดนกระดูกขาวนี่เป็นปัญหาที่ยุ่งยากจริง ๆ!” หลิงตู้ฉิงถอนหายใจ

ในตอนนี้เวลาก็ผ่านมา 300 กว่าปีแล้วที่เจ้าแห่งยมโลกปรากฏตัวขึ้นล่าสุด ซึ่งเขากลัวว่าอีกไม่น่าจะเกิน 1,000 ปี หากแดนกระดูกขาวยังไม่ถูกกำจัดไป เจ้าแห่งยมโลกจะต้องกลับมาใหม่แน่นอน ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นโลกมนุษย์จะต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่

อันที่จริงต่อให้จะไม่มีการแทรกแซงจากเจ้าแห่งยมโลก แดนกระดูกขาวก็เป็นเหมือนภูเขาไฟที่คุกรุ่นรอที่จะสร้างหายนะได้ทุกเวลาอยู่ดี ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามหลิงตู้ฉิงก็จำเป็นที่จะต้องแก้ไขมันให้เร็วที่สุด

“สามี ท่านมีแผนจะแก้ไขมันแล้วรึยัง?” หวงซีถามขึ้น

“ข้ามีแผนแล้ว แต่ว่าตอนนี้มันกำลังอยู่ในขั้นเตรียมการ” หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้น “แต่เจ้าเองก็ยังไม่ต้องกังวลอะไรมากนัก เพราะไม่ว่าแดนกระดูกขาวจะมีอำนาจเพิ่มขึ้นมากแค่ไหนด้วยอำนาจของเมืองลอยฟ้าและต้นเพลิงสวรรค์ที่คอยปกป้องภูเขาฟีนิกซ์อยู่ พวกวิญญาณร้ายนั่นทำอะไรพวกเจ้าไม่ได้หรอก”

หลังจากที่พวกเขาคุยกันเรื่องธุระเสร็จ ทั้งคู่ก็พากันกลับไปที่เรือนรับรองที่หลิงตู้ฉิงอาศัยอยู่ เพื่อเริ่มคุยกันเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ กันต่อ

แต่แล้วในระหว่างที่พวกเขากำลังมีความสุขกันอยู่นั้น จู่ ๆ สีหน้าของหลิงตู้ฉิงก็เปลี่ยนเป็นจริงจังและพูดว่า “กวนหลิงอู่ มาถึงแล้ว!”

หวงซีลุกขึ้นออกจากอ้อมแขนของหลิงตู้ฉิงพร้อมกับรีบจัดระเบียบเสื้อผ้าของนางเองทันที “ท่านจะให้ข้าออกไปก่อนไหม?”

“ไม่จำเป็น ไอ้เจ้าหนูนั่นรู้เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเราแล้ว!” หลิงตู้ฉิงยิ้ม

ในเวลาเดียวกัน เสียงของชายชราผู้หนึ่งก็ดังก้องกังวานขึ้นไปทั่วทำเนียบราชันมนุษย์

“กวนหลิงอู่ ขอถวายบังคมฝ่าบาทราชันแห่งมวลมนุษย์!”

หลิงยี่เทียนรีบออกมาจากพระราชวังทันทีพร้อมกับพูดว่า “มหาจักรพรรดิเทพยุทธ์เชิญเข้ามาคุยกันด้านในก่อนเถอะ!”

ในเวลาเดียวกัน บรรดาผู้คนที่ยังคงอยู่รอบ ๆ ต่างก็รู้สึกประหลาดใจและพูดว่า “ราชันแห่งมวลมนุษย์คนใหม่ของพวกเราช่างกว้างขวางจริง ๆ แม้แต่มหาจักรพรรดิเทพยุทธ์ยังมาแสดงความยินดีด้วยตัวเองเช่นนี้!”

ในทางกลับกัน บรรดากลุ่มคนที่รู้ว่าแท้จริงแล้วหลิงตู้ฉิงเป็นใครต่างก็แอบยิ้มในใจ

มหาจักรพรรดิเทพยุทธ์ผู้ที่แทบจะอยู่ในระดับสูงสุดของโลกนี้น่ะเหรอจำเป็นต้องให้ค่าอะไรกับราชันแห่งมวลมนุษย์? หากไม่ใช่เพราะคนผู้นั้นแล้วล่ะก็มหาจักรพรรดิเทพยุทธ์ไม่มีวันที่จะปรากฏตัวออกมาเช่นนี้เด็ดขาด!

ทางด้านของหลิงยี่เทียน เมื่อเขาได้เห็นมหาจักรพรรดิเทพยุทธ์ตัวเป็น ๆ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าคนผู้นี้ไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่เขาเจอมาเลยสักคน เพราะในฐานะที่เขาเป็นผู้ที่บ่มเพาะโดยใช้พลังแห่งความศรัทธา เขาจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามหาจักรพรรดิเทพยุทธ์นั้นถูกรายล้อมไปด้วยพลังแห่งความศรัทธาจำนวนมหาศาล แถมกลิ่นอายที่มหาจักรพรรดิเทพยุทธ์ปลดปล่อยออกมานั้นมันอยู่เหนือกว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิทั่วไปแบบเทียบกันไม่ติด

“มหาจักรพรรดิเทพยุทธ์ เมื่อครู่ท่านพ่อของข้าส่งข้อความมาบอกกับข้าว่าให้ข้าพาท่านไปเจอกับเขาได้เลย” หลิงยี่เทียนยิ้ม

กวนหลิงอู่หัวเราะ “ฝ่าบาท ท่านเรียกชื่อของข้าก็ได้ ฉายาของข้านั้นไม่มีความหมายอะไรเลยโดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าบิดาของท่าน”

หลิงยี่เทียนยิ้ม แต่เขาไม่ได้ตอบกลับอะไรไป

หากเขาอยู่ในระดับเดียวกับพ่อของเขา เขาคงจะสามารถเรียกชื่อของมหาจักรพรรดิเทพยุทธ์ตรง ๆ ได้ แต่ในตอนนี้เขายังไปไม่ถึงระดับนั้นหรืออย่างน้อย ๆ เขาก็ยังคงอ่อนด้อยกว่ามหาจักรพรรดิเทพยุทธ์ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงทำได้แค่เรียกกวนหลิงอู่ด้วยฉายาไปก่อน

หลิงยี่เทียนนำกวนหลิงอู่ไปถึงหน้าทางเข้าเรือนของหลิงตู้ฉิงเท่านั้น และจากนั้นเขาก็จากไปปล่อยให้กวนหลิงอู่เข้าไปคนเดียว

กวนหลิงอู่จัดระเบียบเสื้อผ้าของเขาให้เรียบร้อยมากที่สุดก่อนที่เขาจะค่อย ๆ เดินเข้าไปด้านในเรือนของหลิงตู้ฉิง ซึ่งเมื่อเข้าไปแล้วเขาก็ได้เห็นว่าหลิงตู้ฉิงกำลังยืนคอยเขาอยู่พร้อม ๆ กับหวงซีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เช่นกัน

เมื่อได้พบกับคนที่เขาอยากจะเจอมากที่สุด กวนหลิงอู่จึงรีบเดินเข้ามาคุกเข่าคารวะทันที “กวนหลิงอู่ คารวะองค์เหนือหัว!”

หลิงตู้ฉิงยิ้มและเดินเข้าไปพยุงตัวของกวนหลิงอู่ให้ลุกขึ้นยืน จากนั้นเขาพูดว่า “ลุกขึ้นเถอะ เจ้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจข้ามากนักหากไม่เป็น เพราะเจ้าที่ยังคงสานต่อวิถีแห่งมหายุทธ์ ข้าเองก็คงต้องลำบากฟื้นฟูวิถีนี้ขึ้นมาใหม่ด้วยตัวเอง ซึ่งมันเท่ากับว่าในตอนนี้เจ้ามีบุญคุณต่อข้าด้วยซ้ำ ดังนั้นนับจากนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตรองอะไรกับข้าให้มันมากมายนัก”

กวนหลิงอู่ส่ายหัว “ไม่หรอกองค์เหนือหัว ถึงแม้ว่าท่านจะสังหารเหล่าผู้ที่บ่มเพาะวิถีมหายุทธไปจนหมดเมื่อตอนนั้นมันก็ไม่นับว่าเป็นความผิดของท่านเลย เพราะคนเหล่านั้นล้วนแล้วแต่รนหาที่ตายเอง พวกเขามันก็แค่พวกโลภมากอยากจะใช้ท่านเป็นขั้นบันไดเพื่อทำให้พวกเขาขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงกว่าเดิม ไม่เช่นนั้นมีหรือที่ท่านจะไปตอแยอะไรกับคนพวกนั้น”

“และอีกอย่างหากไม่ใช่เพราะท่านมอบคัมภีร์วรยุทธ์ต่าง ๆ ให้กับข้า ข้าก็คงไม่อาจจะมีวันนี้ที่ข้าสามารถสานต่อวิถีมหายุทธได้สำเร็จ ดังนั้นถ้าจะให้พูดกันตามจริงแล้ว ความสำเร็จทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากท่านทั้งหมด”

“องค์เหนือหัว ไหน ๆ วันนี้ข้าก็ได้เจอท่านอีกครั้งแล้ว ข้าขอระบายความในใจที่อัดอั้นในใจของข้ามานานแสนนานสักหน่อย ตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบันสิ่งที่ทำให้ข้ารู้สึกผิดหวังมากที่สุดในชีวิตก็คือ ในอดีตข้ามันไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะติดตามท่านได้เหมือนกับจางหมิงและชิวซุย ความผิดหวังนี้มันยังคงฝังอยู่ในข้าไม่มีวันจางหายออกไปเลยแม้แต่น้อย แต่แล้วเมื่อข้าได้ยินว่าท่านยินดีที่จะให้โอกาสข้าได้ติดตามท่าน ข้าอยากจะสารภาพกับท่านตรง ๆ ว่ามันมีความหมายกับข้ามากจนถึงขนาดที่ข้ายินดีที่จะสละทุกสิ่งเพื่อให้ได้โอกาสนี้มา”

หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “เจ้าไม่คิดบ้างเหรอไงว่าในอดีตที่ข้าปฏิเสธเจ้ามันเป็นโชคดีของเจ้าที่จะได้ไม่มีจุดจบเหมือนกับจางหมิงและชิวซุย”

“ต่อให้ข้าจะต้องมีจุดจบแบบพวกเขา แต่ถ้าหากข้าได้ติดตามท่านข้าก็ยินดี!” กวนหลิงอู่ตอบกลับด้วยสีหน้าหนักแน่นเป็นอย่างมาก “องค์เหนือหัว ในเมื่อตอนนี้ข้าได้เจอท่านแล้ว และท่านก็บอกว่าจะให้โอกาสข้า ข้าอยากรู้ว่าตอนนี้ข้าสามารถติดตามท่านเลยได้หรือไม่?”

“แน่นอน!” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า

สีหน้าของกวนหลิงอู่เปลี่ยนเป็นเบิกบานในทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้ “ข้าสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อท่านตลอดกาลองค์เหนือหัว!”

จากนั้นเขาหันไปหาหวงซี และทักทาย “คารวะองค์หญิงหวงซี”

หวงซียิ้มและตอบกลับ “ด้วยการที่มีเจ้ามาช่วยสามีข้าอีกแรง ข้ามั่นใจว่าในอนาคตธุระต่าง ๆ ของสามีข้าจะต้องสำเร็จง่ายกว่าเดิมแน่นอน”

หลิงตู้ฉิงโบกมือขึ้นขัดและพูดว่า “แต่ถึงแม้ว่าข้าจะยินดีให้เจ้าติดตามข้า แต่เนื่องจากตอนนี้ข้ากำลังอยู่ในระหว่างการสืบเรื่องบางอย่างของตำหนักเทพโชคลาภและตำหนักดับเซียน ดังนั้นในช่วงเวลานี้ข้ายังคงไม่สามารถให้เจ้าตามข้าไปทุกที่ได้ ไม่เช่นนั้นฝั่งตรงข้ามจะรู้ทันทีว่าข้าเป็นใคร”

กวนหลิงอู่คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาพูดว่า “ถ้างั้นข้าจะติดตามลูกชายท่านไปก่อนก็แล้วกันเพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยตัวตนของท่าน!”

หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “อืมเอาแบบนั้นก็ดี! เจ้าก็อยู่รับใช้ลูกชายข้าให้ดีไปก่อน ข้ารับประกันว่าในอนาคตเจ้าจะทะลวงขึ้นไปสู่ขอบเขตถัดไปได้แน่นอน!”

กวนหลิงอู่อึ้งไปชั่วขณะเมื่อได้ยินเช่นนี้ แต่แล้วเมื่อเขาได้สติเขาก็รีบโค้งคารวะอีกรอบและพูดว่า “ขอบคุณนายท่านที่เมตตา!”