ฉัวะ!
ดาบหักดั่งมายาสงัด ว่างเปล่าสลายภาพฝัน
ชายกลางคนชุดดำตื่นตระหนก หลีกหลบไวว่องกลายเป็นแสงทมิฬส่องระยับ
ในใจเขาสั่นสะท้าน คิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าทำไมแค่ชั่วพริบตาอานุภาพของอีกฝ่ายถึงแข็งแกร่งขึ้นมาอีกยกใหญ่ ช่างราวกับสัตว์ประหลาดที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์!
ต้องรู้ว่ากรำศึกถึงบัดนี้ เขาทุ่มแรงพลังทั้งหมดแล้ว หาได้เก็บงำไว้อีก!
ตูม!
คมดาบเฉือนแยก ตัดผ่าเขาลูกหนึ่ง รอยตัดที่ตัวภูเขาราบเรียบเกลี้ยงเกลา ทลายพินาศครั่นครืนฝุ่นควันกระจายไร้สิ้นสุด
แม้หลบหลีกเต็มกำลังแต่ชายกลางคนชุดดำยังอนาถหาใดเปรียบ ถูกกระบวนเฉือนนี้ฝากรอยเลือดไว้บนแผ่นหลัง ผิวแตกเลือดอาบกระดูกขาวโผล่เลือนราง โลหิตแดงสดหลั่งริน
ภายใต้ความเจ็บปวดทำเอาเขาอดคร่ำครวญไม่ได้ สีหน้าพลันบิดเบี้ยว
“เฉือน!”
หลินสวินจู่โจมถนัดมือ ก้าวแหวกอากาศโดยไม่ล่าช้า เงาร่างดุจเซียนอบอวลแสงศักดิ์สิทธิ์สีเขียว และดาบหักก็โฉบพุ่งออกไปอีกครา
“น่าชังนัก!”
ชายกลางคนชุดดำตวาดลั่น กระบี่เงินพุ่งโฉบกลางอากาศส่องแสงเรืองจรัส พลังแก่นมรรคที่โชติช่วงหาใดเปรียบไหลเอ่อ พุ่งเข้าปะทะดาบหัก
เคร้ง!
เสียงปะทะดั่งฟ้าคำราม บริเวณนี้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ คมศาสตราพลุ่งพล่าน กลิ่นอายสะท้านฟ้า รัศมีแสงบาดตากลบฟ้าดิน
สุดท้ายกระบี่เงินถูกฟาดกระเด็น บนคมกระบี่เผยรอยบิ่นหนึ่ง ได้รับความเสียหายอย่างหนัก
นี่เป็นถึงยอดศาสตรามรรคราชันแท้จริง แต่ตอนนี้กลับถูกทำลาย!
ชายกลางคนชุดดำตระหนก เขาไม่อาจไปสนใจความเจ็บปวดบนร่างกายได้อีก ความแข็งแกร่งของหลินสวินเหนือการคาดเดาของเขาโดยสิ้นเชิง
เดิมทีครั้งนี้แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ส่งเขาออกโจมตี ก็เพราะรู้ว่าคู่ต่อสู้คราวนี้เป็นเด็กหนุ่มที่ก้าวสู่มกุฎคนหนึ่ง หาใช่ผู้ที่คนธรรมดาสามารถเทียบเทียม มีเพียงส่งเขาออกจู่โจมจึงจะมีโอกาสกำราบอีกฝ่าย
ไหนเลยจะคาดคิด พวกเขาดูแคลนความน่ากลัวของเด็กนี่เกินไป!
“เฉือนอีก!”
หลินสวินนัยน์ตาฉายแววเย็นเยียบ เงาร่างดั่งหุบเหวใหญ่พาดกลางฟ้าดิน แผ่พลานุภาพที่ทำให้ฟ้าดินหวาดผวา
ชายกลางคนชุดดำนี่รับมือยากยิ่ง หากไม่ฉวยโอกาสนี้สังหารเขาคงกลายเป็นปัญหาใหญ่
ชั่วพริบตาทั้งคู่ประมือกันมากกว่าร้อยกระบวน ต่อสู้จนมืดฟ้ามัวดิน ฝุ่นทรายตลบคลุ้ม
แต่สถานการณ์ผกผันแล้ว ชายกลางคนชุดดำถูกกำราบโดยสมบูรณ์ กระอักเลือดไม่หยุด บาดแผลทั่วร่างมากขึ้นเรื่อยๆ
ปึง!
ไม่นานนักยอดศาสตรามรรคราชันในมือเขาก็ถูกทำลายสิ้น กลายเป็นละอองแสงลอยล่อง
แต่อานุภาพพลังของหลินสวินกลับเหมือนรุ้งสังหารเด็ดขาด ไม่ปล่อยโอกาสให้ชายกลางคนชุดดำพักหายใจ
ไอ้แก่นี่แข็งแกร่งเกินไปแล้ว เขาเพิ่งเคยพบราชันกึ่งระดับที่รับมือยากเช่นนี้เป็นครั้งแรก นี่ทำให้ในใจหลินสวินตึงเครียด รับรู้ได้ว่าแม้แต่ในหมู่ราชันกึ่งระดับก็มีแบ่งแยกสูงต่ำ
เฉกเช่นชายกลางคนชุดดำนี่ ต้องเป็นยอดบุคคลในหมู่ราชันกึ่งระดับแน่!
“เฉือน!”
หลินสวินตวาดลั่น เงาร่างส่องประกายยิ่งกว่าเดิม แฝงพลังอาจหาญดั่งเทพมารอหังการ เคลื่อนกวาดศัตรูกลางอากาศ
แต่ชายกลางคนชุดดำนั่นคล้ายสังเกตเห็นว่าไม่เข้าที ถอนตัวหนีโดยไม่ลังเล หลบลี้ห่างออกไปในบัดดล
ยามหลินสวินหมายจะไล่ล่าก็พลันสังเกตได้ว่า ตรงขอบฟ้าที่ห่างออกไปมีกลิ่นอายทรงพลังจำนวนมากพุ่งตะบึงมาทางนี้
เห็นชัดว่าล้วนเป็นขุมกำลังแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่เร่งมาสมทบ
นี่ทำให้นัยน์ตาดำของหลินสวินหดรัดลงเล็กน้อย ในใจแม้ไม่ยินยอม แต่สุดท้ายยังคงอดกลั้น
เวลานี้ยังไม่ใช่โอกาสเหมาะที่จะเปิดศึกรอบด้านกับฝ่ายตรงข้าม หากถูกล้อมกรอบ ผลที่ตามมาคงไม่อาจจะคิด
“เจอกันครั้งหน้าจะเด็ดหัวเจ้าซะ!” ทิ้งประโยคนี้แล้วหลินสวินก็ใช้ยานขนส่งอวกาศโฉบพุ่งห่างไปไกลโดยไม่ลังเล
ชายกลางคนชุดดำหน้าคล้ำเขียว ดวงตาคั่งโลหิต จ้องทิศทางที่หลินสวินจากไปเขม็ง ในใจเปี่ยมโทสะและอับอาย
ด้วยฐานะของเขา กลับถูกคนรุ่นหลังผู้หนึ่งสยบ ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส แน่นอนว่านี่คือความอัปยศครั้งใหญ่
“อาจารย์อาเหวิน!”
“ทำไมถึง…”
ไม่นานนักผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์กลุ่มหนึ่งก็มาถึง เมื่อเห็นชายกลางคนชุดดำที่ทั่วร่างอาบโลหิต ท่าทางบาดเจ็บสาหัส ก็ล้วนตื่นตกใจยากจะเชื่อ
ชายกลางคนชุดดำนามเหวินสิงโจว เป็นยอดบุคคลที่ชื่อเสียงโด่งดังในแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ผู้หนึ่ง ในหมู่ราชันกึ่งระดับยุคปัจจุบันของแดนชัยบูรพา สามารถจัดอยู่ในสามสิบอันดับแรก!
ต้องรู้ว่าแดนชัยบูรพามีเขตแคว้นเรือนหมื่น สำนักเรียงราย หมื่นเผ่าพันธุ์ดำรงอยู่ จำนวนของราชันกึ่งระดับแน่นอนว่าไม่น้อย
แต่เหวินสิงโจวสามารถดันตนเองขึ้นสู่สามสิบอันดับแรกในหมู่ราชันกึ่งระดับแดนชัยบูรพา แค่คิดก็รู้ว่าพลังต่อสู้ของเขาน่าทึ่งระดับใด!
ทว่าเอกบุคคลผู้หนึ่งเช่นนี้ บัดนี้กลับบาดเจ็บ!
นี่จะให้เหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่เร่งมาสมทบกล้าเชื่อได้อย่างไร
“อาจารย์อาเหวิน นี่… นี่มันเรื่องอะไรกัน” มีคนอดถามไม่ได้
“พวกเราต่างประเมินพลังต่อสู้ของเทพมารหลินต่ำไป!”
เหวินสิงโจวสูดหายใจลึก สีหน้าอึมครึมเยียบเย็น “รีบแจ้งสำนัก ถึงเวลาออกเคลื่อนพลที่แท้จริงแล้ว หากเป็นไปได้ ข้าหวังให้ศิษย์แกนหลักระดับกระบวนแปรจุติเคลื่อนพลมาด้วย”
เขาไม่อธิบายมากความเพราะมันน่าอัปยศเกินไป
แต่เมื่อได้ยินคำแนะนำของเขาก็ทำเอาคนอื่นหน้าเปลี่ยนสี ศิษย์แกนหลัก นี่เป็นถึงขุมพลังชั้นยอดที่สุดในหมู่คนรุ่นเยาว์ของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์!
เฉกเช่นฉู่เป่ยไห่ ก็เป็นบุคคลระดับผู้นำคนหนึ่งซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มศิษย์แกนหลัก
เทียบกันแล้วศิษย์สืบทอดแท้จริงยังด้อยกว่าอยู่บ้าง!
ทั้งแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์มีศิษย์นับไม่ถ้วน แต่จำนวนของศิษย์แกนหลักแน่นอนว่านับนิ้วได้ เป็นผู้หายากดั่งขนหงส์เขากิเลนอย่างแท้จริง
“นี่… ออกจะบุ่มบ่ามไปหรือไม่” มีคนถาม
“ในระดับเดียวกันเทพมารหลินก้าวสู่ขอบเขตมกุฎแล้ว อีกทั้งพลังต่อสู้โดดเด่น การต่อสู้กับเขาสามารถใช้ขัดเกลาตัวเองได้พอดี ข้าเชื่อว่าหากเหล่าศิษย์แกนหลักรู้ว่ามีคู่ต่อสู้เช่นนี้ ต้องออกจู่โจมโดยไม่ลังเลแน่”
เหวินสิงโจวกล่าว “พวกเจ้าต้องรู้ว่ามหาสงครามจวนมาเยือนแล้ว มีเพียงประลองกับยอดบุคคลรุ่นเยาว์จึงจะสามารถขับเน้นอานุภาพของตนได้!”
…
กลางหุบเขาลึกแห่งหนึ่ง
หลินสวินนั่งสมาธิเงียบๆ
ผ่านการต่อสู้กับชายกลางคนชุดดำไปสามวันแล้ว
ช่วงสามวันนี้หลินสวินถูกดักจู่โจมและสกัดกั้นหลายครั้งตลอดทาง ทว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นกลุ่มรวมพลที่ฟังคำสั่งของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์
ยังไม่รอให้หลินสวินสำแดงอานุภาพ กลุ่มรวมพลพวกนี้ก็แตกฮือกระจัดกระจาย
เห็นชัดว่าพวกเขาล้วนเข้าใจความร้ายกาจของหลินสวิน สาเหตุที่ซุ่มโจมตีก็แค่ทำตามคำสั่ง ที่กล้าห้ำหั่นกับหลินสวินจริงๆ มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
สำหรับหลินสวิน การดักจู่โจมเช่นนี้แม้ไม่ถึงขั้นอันตรายแต่กลับน่ารำคาญนัก
เพราะร่องรอยของเขาล้วนแต่ทิ้งไว้ตามการซุ่มโจมตีเหล่านี้ เท่ากับเผยตัวอยู่ตลอด แทบไม่อาจสลัดการไล่ล่าได้
ทว่าในการตามล่าเช่นนี้กลับทำให้หลินสวินค้นพบพลังที่แฝงเร้น ปราณซึ่งข่มกำราบไว้นานแล้ว สุดท้ายก็มีเค้าลางทะลวงขั้น
นี่คือสัญญาณการเลื่อนสู่ขั้นสมบูรณ์อย่างหนึ่ง คล้ายวารีปิ่มจวนกระฉอก
หากเพียงเพื่อเลื่อนขั้น ขณะข้ามแม่น้ำพรมแดนก่อนหน้านี้ หลินสวินสามารถก้าวสู่ขั้นปลายของระดับกระบวนแปรจุติได้แล้ว
แต่เวลานี้หลินสวินกำลังลองเลื่อนขั้น!
ขอแค่สามารถเลื่อนขั้น ก็เท่ากับเขานำมรรคาบรรลุถึงขั้นสุดท้ายของระดับกระบวนแปรจุติ ถึงเวลานั้นพลังต่อสู้ของเขาต้องทะยานไปอีกเท่าทวีแน่
หากเจอบุคคลอย่างชายกลางคนชุดดำอีกก็ไม่เกิดภัยคุกคามอันใด
ครืนๆ
หลินสวินนั่งสมาธิเงียบๆ ภายในเสมือนมีขุนเขาลูกแล้วลูกเล่าเข้าปะทะกัน ส่งเสียงกึกก้องเลื่อนลั่น นั่นคือกลิ่นอายที่เกิดจากการโคจรพลังทั่วร่าง ยิ่งใหญ่ดั่งหุบเหว ไพศาลดั่งมหาสมุทร!
หากเทียบแค่พลังปราณและความหนาแน่นของรากฐาน กวาดตามองในยุคปัจจุบัน ผู้ที่สามารถเทียบเคียงหลินสวินได้มีน้อยนัก
ความเร็วในการเลื่อนขั้นของเขาดูเชื่องช้ามาก แต่ทุกย่างก้าวล้วนเต็มแน่นหาใดเปรียบ รากฐานที่เคี่ยวกรำออกมาต่างเผยสภาพสมบูรณ์ถึงขีดสุด
และด้วยเหตุนี้ เขาจึงสามารถซัดทลายคนในระดับเดียวกัน ข้ามระดับไปสังหารราชันกึ่งระดับได้!
วู้ม…
ประกายศักดิ์สิทธิ์สีเขียวใสหลากสายแผ่คลุมทั่วร่าง ทำให้เงาร่างหลินสวินที่นั่งสมาธิอยู่ถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายบริสุทธิ์ดั่งภาพฝันมายาชั้นหนึ่ง
เวลาล่วงผ่าน ตะวันเคลื่อนจันทราคล้อย
ไม่ทันรู้ตัวหลินสวินก็นั่งสมาธิไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว
พลังขับเคลื่อนทั่วร่างของเขาเปี่ยมล้นยิ่งกว่าเดิม ราวกับเตาหลอมที่ลุกโชนร้อนเร่า จักระเทพภายในร่างโคจร เปล่งประกายแสงงามตระการเจิดจ้า
เป็นเวลาพลบค่ำ ตะวันคล้อยใกล้ลับแผ่นฟ้า กลางหุบเขาเงียบสงัดทั่วทั้งแถบ ในบริเวณที่ห่างออกไปไกลๆ มีเสียงสิงสาราสัตว์คำรามอยู่เลือนราง
‘เป็นเขา!’
‘เด็กนี่ช่างไม่กลัวตายจริงๆ ถึงกับกล้านั่งสมาธิฝึกตนโดยไม่ปิดบังเช่นนี้ หรือเบื่อชีวิตจนทนไม่ไหว’
‘ระวังเป็นกลลวง! รอไปแจ้งคนอื่นให้รีบมาทางนี้ก่อน!’
ตรงทางเข้าหุบเขา ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์กลุ่มหนึ่งซุ่มตัวเงียบเชียบอยู่ตรงนั้น กำลังสื่อจิตกัน
ในสายตาพวกเขาหลินสวินช่างเหิมเกริมยิ่ง นั่งฝึกตนอยู่บนหินผาแห่งหนึ่งกลางหุบเขาตามอารมณ์ ไม่กลบกลิ่นอายแม้เศษเสี้ยว ราวกับไม่กลัวว่าจะมีอันตรายเข้าจู่โจมแม้แต่น้อย
แต่เนื่องด้วยกิตติศัพท์เลื่องลือที่หลินสวินตีฝ่าออกมาในหลายวันนี้ ทำให้เหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ คิดว่าที่แห่งนี้มีกลลวง จำต้องป้องกันไว้ก่อน
‘เหมือนเขาจะทะลวงระดับ ดูท่าเขาเองก็รับรู้ได้ถึงความไม่เข้าทีของสถานการณ์ ถึงได้อยากเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้น!’
‘หึ เขามันคิดฝันเพ้อพก วันก่อนสำนักส่งหกศิษย์แกนหลักและผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งราชันออกมากลุ่มหนึ่ง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้เขาแข็งแกร่งขึ้นไปอีกก็ยังไร้ประโยชน์!’
‘ไม่ว่าอย่างไรเจ้าหมอนี่ก็น่ากลัวมาก พวกเรารออยู่ที่นี่เถอะ ต่อให้เขาไร้การป้องกัน แต่ก็ยังเป็นคนที่พวกเราไม่อาจต่อกรได้’
คนพวกนั้นสนทนา แม้คิดว่าเวลานี้คือโอกาสเหมาะในการลอบโจมตีหลินสวิน แต่สุดท้ายพวกเขาต่างอดกลั้นเอาไว้
เห็นได้ว่าความสามารถที่เผยออกมาระหว่างทางก่อนหน้านี้ของหลินสวิน ทำให้ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เหล่านี้ระวังตัวและหวาดกลัว ไม่กล้าละเลยอีกแม้แต่น้อย
รัตติกาลมาเยือนโดยไม่รู้ตัว หุบเขาถูกความมืดเข้าปกคลุมไร้ดาราจันทรา กระทั่งเสียงหรีดหริ่งเรไรล้วนไม่มี
ภายใต้บรรยากาศเงียบสงัด กลิ่นอายกดดันที่พาให้คนกระสับกระส่ายอบอวล
ทางเข้าหุบเขา ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์มารวมตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ซุ่มตัวเงียบเชียบอยู่ตรงนั้น ต่างไม่เคลื่อนไหวโดยพลการ
ฟุ่บ!
ทันใดนั้นกลางอากาศที่ห่างไกล แสงอัคคีบาดตาสายหนึ่งสะท้อนออกมา สาดส่องเวิ้งฟ้าให้สว่างจ้า
เมื่อมองไปโดยละเอียด นั่นกลับเป็นเงาร่างของสตรีผู้หนึ่ง!
นางรูปร่างอ่อนช้อยสูงโปร่ง ทั่วร่างล้อมด้วยเพลิงเทพแสบตาเป็นสายๆ ก้าวบนห้วงอากาศประหนึ่งเซียนที่เยื้องจากออกมาจากเปลวเพลิง ดูสะดุดตาผิดปกติยิ่งในรัตติกาลนี้
ตูม!
ในทิศทางอื่น เงาร่างผ่าเผยหนึ่งโฉบกลางฟ้า แต่ละก้าวที่เยื้องย่างห้วงอากาศทรุดตัวราวทำจากกระดาษ ฟ้าดินสั่นสะเทือน
ทอดมองจากที่ห่างไกล เหมือนเทพเถื่อนองค์หนึ่งกำลังเยื้องเท้าผ่านใต้หล้า ทำเอาสัตว์ปีศาจที่ซุ่มอยู่บริเวณใกล้เคียงต่างตระหนกจนขวัญหนีดีฝ่อ ตัวสั่นงันงกก้มหมอบลงกับพื้น
การเคลื่อนไหวนี้ชัดเจนเกินไป พริบตาก็ทำลายความสงัดเงียบกลางหุบเขา
ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ทั้งหมดที่ซุ่มตัวตรงทางเข้าหุบเขาต่างดวงตาเป็นประกาย
มาแล้ว!
ขณะเดียวกัน หลินสวินซึ่งนั่งสมาธิอยู่กลางหุบเขาก็ลืมตาดำขลับที่ปิดสนิทคู่นั้นอย่างเงียบเชียบ
………………..