ภายใต้สายตายำเกรงทั้งหมดที่จับจ้อง เงาร่างสูงโปร่งอรชรซึ่งถูกเพลิงศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมนั่นลอยล่องสู่พื้นดิน

รูปโฉมนางล่มเมือง งดงามผุดผ่อง สวมชุดกระโปรงแดงเพลิง ผิวหมดจดขาวดุจหิมะเนียนละเอียด

ไม่จำเป็นต้องสงสัย นี่คือหญิงงามเลอโฉมผู้หนึ่ง

นางยืนอยู่ตรงนั้นตามอารมณ์ เพลิงศักดิ์สิทธิ์หลากสายดุจเพลิงดาราโอบล้อมทั่วสรรพางค์กาย แม้แต่เส้นผมดำขลับยังเรืองแสงเปลวอัคคีแสบตา มีกลิ่นอายฮึกเหิมอหังการ

หลิงหงจิน!

หนึ่งในศิษย์แกนหลักแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ขอบเขตมกุฎระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์ พลังต่อสู้ลึกล้ำยากหยั่งถึง

ขณะเดียวกันสตรีนางนี้ยังเป็นหนึ่งในสี่ ‘ผู้กล้าหญิง’ แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ได้รับความนิยมและใฝ่ฝันจากผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์นับไม่ถ้วน ชื่อเสียงเลื่องลือโด่งดัง

ตูม!

ผืนดินสนั่นหวั่นไหว ท่ามกลางฝุ่นควันตลบอบอวลเงาร่างผึ่งผายหนึ่งปรากฏ แววตาเขาดุจกระบี่ ร่างกายดั่งขุนเขา กล้ามเนื้อทั้งตัวราวหล่อจากสำริด ให้ความรู้สึกกดดันกับผู้อื่น

สิ่งที่มาพร้อมการปรากฏตัวของเขาคือพลังดุดันไร้รูปที่แผ่ขยาย ขับเสริมจนเขาประดุจเทพเถื่อนดึกดำบรรพ์องค์หนึ่ง

ลี่จั้นหนาน!

จัดอยู่ในศิษย์แกนหลักแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เหมือนหลิงหงจิน พรสวรรค์โดดเด่น อุปนิสัยแข็งกร้าวป่าเถื่อน พลานุภาพน่าอัศจรรย์

เมื่อทั้งสองปรากฏกาย กลุ่มผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่ดักซุ่มอยู่ปากทางหุบเขาต่างไม่ปิดบังเงาร่างอีก ก้าวออกมาต้อนรับ

แต่สายตาหลิงหงจินและลี่จั้นหนานกลับมองข้ามฝูงชน จ้องไปยังหินผาในหุบเขานั่นทันที

ที่แห่งนั้นเงาร่างสง่างามร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิ หลังสายตาพวกเขาทอดมองไป คนผู้นี้ก็หยัดร่างลุกขึ้นมองมาทางพวกเขา

ปึง!

พริบตานั้นสายตาพวกเขาปะทะกันกลางอากาศ ราวสายฟ้าแลบประจัญบาน ทำให้ห้วงอากาศเกิดเสียงระเบิด!

ขณะเดียวกัน เหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่อยู่ใกล้เคียงล้วนหยุดหายใจ สัมผัสถึงแรงกดดันมหาศาลชวนประหวั่นกำลังแผ่ขยายกลางลาน

นี่คือการประลองอานุภาพพลัง!

หลิงหงจินซึ่งเป็นดั่งเซียนสาวก้าวออกจากเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ทั่วร่างมีรุ้งเทพเปลวอัคคีอหังการแผ่พุ่ง สลายความมืดยามวิกาล

ลี่จั้นหนานดุจเทพเถื่อน เงาร่างกำยำผ่าเผยราวค้ำยันฟ้าดิน ให้ความรู้สึกสูงใหญ่ไร้ขอบเขต บีบกดสรรพสิ่งดั่งขุนเขาใหญ่ เผด็จการหาใดเปรียบ

แต่หลินสวินกลับยืนเงียบอยู่ตรงนั้น เงาร่างสูงสง่าพ้นโลกีย์ดุจเซียน เจือสัมผัสว่างเปล่า

ดูเหมือนสงบนิ่งเรียบเรื่อย แต่ยามอานุภาพของหลิงหงจินและลี่จั้นหนานแผ่มาถึง ยังไม่ทันเข้าประชิดร่างเขาก็ถูกหักล้างอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง

“อาจารย์อาเหวินกล่าวไม่ผิด เด็กนี่เป็นประเภทเดียวกับพวกเรา ไม่ได้ทำให้ข้าผิดหวัง”

ลี่จั้นหนานเอ่ยเสียงขรึม น้ำเสียงทุ้มต่ำดั่งฟ้าคะนอง สะเทือนครั่นครืนท่ามกลางหุบเขายามราตรี พาให้คนสะท้านใจ

กลางนัยน์ตาวาบรวงอสนี แววตาที่มองหลินสวินมีจิตต่อสู้อันเยียบเย็นคลั่งระห่ำเพิ่มขึ้นมา

“เรื่องปกติ ถึงอย่างไรก็เป็นบุคคลเยี่ยงเทพมารที่ก่อคลื่นลมในแดนฐิติประจิม หากไม่มีความสามารถถึงจุดนี้ มีหรือต้องให้พวกเราลงมือ”

ริมฝีปากแดงของหลิงหงจินเผยอเล็กน้อย นัยน์ตาคู่งามดั่งเปลวเพลิงลุกโชน มีพลังอหังการแผ่กระจายทำให้ผู้คนไม่กล้ามองโดยตรง

เหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ต่างกลั้นหายใจจดจ่อ ในใจฮึกเหิม เจือความรู้สึกยำเกรงและเร่าร้อน

ทั้งคู่เป็นถึงศิษย์แกนหลัก เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎที่ประดุจเทพมังกรเหนือสวรรค์ ที่ผ่านมาล้วนฝึกปราณเพิ่มเติมในเขตหวงห้ามของสำนักมาตลอด แทบจะเป็นตำนานเล่าขานแล้ว เพราะน้อยนักที่จะเห็นร่องรอยของพวกเขา

แต่ครั้งนี้เพื่อจัดการเทพมารหลินจากแดนฐิติประจิม ถึงกับมีศิษย์แกนหลักสองคนปรากฏกาย นี่ล้วนสามารถทำให้ผู้คนสั่นสะท้าน

ในเวลาเดียวกันนี้หลินสวินก็กำลังประเมินฝ่ายตรงข้าม สายตาราบเรียบยิ่ง ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เผยคลื่นความรู้สึกแม้เศษเสี้ยว

ความจริงแล้วในใจเขาอดทอดถอนใจไม่ได้ สายสนกลในของสำนักโบราณช่างน่าหวาดกลัว ผู้กล้าขอบเขตมกุฎที่พบเห็นได้น้อยบนโลก แต่ในขุมอำนาจเหล่านี้กลับมีให้เห็นบ่อยจนชินตา

ดังเช่นหลิงหงจิน ลี่จั้นหนาน เห็นชัดแจ้งว่าล้วนก้าวสู่มกุฎมรรคา เท่านี้ก็มองออกว่ารากฐานของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์น่าอัศจรรย์ระดับใด

“เหตุใดเจ้าไม่หนีเล่า” ลี่จั้นหนานแววตาดุจอสนี จับจ้องหลินสวิน

เขาไม่เข้าใจอยู่บ้าง เพราะตามการวินิจฉัยเขา หากหลินสวินต้องการหนีคงจากไปนานแล้ว ยิ่งไม่ต้องรอเขาและหลิงหงจินเร่งตามมาทัน

“ก่อนนี้ข้าเคยบอกแล้ว หากพวกเจ้ายืนกรานเป็นศัตรูกับข้า เช่นนั้นก็ต้องพิจารณาว่าจะแบกรับโทสะของข้าได้หรือไม่”

หลินสวินมุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย “เห็นชัดว่าพวกเจ้าฟังคำพูดข้าไม่เข้าหู ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดข้าต้องหนีเล่า”

“พูดจาใหญ่โตนัก! กล้าคุยโวเช่นนี้ไม่กลัวจุกปากตัวเองรึ” ด้านข้าง ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คนหนึ่งตวาดลั่น

ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คนอื่นเองต่างยิ้มเยาะ หรือเทพมารหลินยังดูสถานการณ์ไม่ออก ช่างบ้าระห่ำถึงขั้นไม่รู้ประสาเสียจริง

“พูดเช่นนี้ เจ้าคิดโต้กลับรึ” ลี่จั้นหนานประหลาดใจ รู้สึกไร้สาระยิ่ง

“ถูกต้อง โต้กลับ อย่างน้อยต้องให้พวกเจ้าสัมผัสเพลิงโทสะของข้าสักหน่อยก่อน” หลินสวินพยักหน้า นิ่งสงบยิ่งนัก

“จากที่ข้ามอง เจ้ามันแค่พวกโง่เขลาราวหมาจนตรอกเท่านั้น” หลิงหงจินกล่าวเฉยชา รูปโฉมนางโดดเด่น วาจาก็ราบเรียบนัก แต่ถ้อยคำวิจารณ์หลินสวินกลับเผยความหยิ่งทะนง

ที่นี่คือแคว้นกู่ชาง เป็นเขตอิทธิพลของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ บัดนี้หลินสวินกลับประกาศว่าจะให้พวกเขาสัมผัสเพลิงพิโรธ นี่ทำให้พวกเขาต่างรู้สึกขบขันนัก

บุคคลขอบเขตมกุฎระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง บางทีอาจทรงพลังยิ่งในคนรุ่นเดียวกัน แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีอำนาจอิทธิพลอย่างแท้จริง กลับกล้าคุยโวไม่กระดากปากเช่นนี้ นี่คงเบื่อชีวิตจนทนไม่ไหวแล้วกระมัง

“ยกมันให้ข้าจัดการเอง!”

ลี่จั้นหนานสาวเท้าก้าวใหญ่ พื้นดินสั่นสะเทือน ภูผาสูงใกล้เคียงสั่นไหว ทำให้อานุภาพเขายิ่งข่มขู่ผู้คน

“ศิษย์พี่ลี่กำราบมันในคราเดียวเสียเลย ทำให้มันคุกเข่ากับพื้นไถ่โทษสำนึกผิด!”

“ถูกต้อง! เจ้าเด็กนี่โอหังนัก ก่อนหน้าสังหารศิษย์สำนักเราไม่น้อย เลือดต้องล้างด้วยเลือด ครั้งนี้อย่าให้มันหนีได้เด็ดขาด!”

เหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ตะโกนเซ็งแซ่

“เจ้าระวังหน่อย อย่าฝืนนัก หากรู้สึกไม่ชอบมาพากลก็ส่งเขามาให้ข้าได้” ในดวงตางามของหลิงหงจินฉายแววหยอกล้อเสี้ยวหนึ่ง

“หึ! วางใจเถอะ ข้าคนเดียวก็เกินพอ!” ลี่จั้นหนานแค่นเสียงเย็นชา

ตึง!

เขาสาวเท้าก้าวใหญ่ อานุภาพพลังพลันเปลี่ยนแปลง แต่ละก้าวทำปฐพีสั่นสะเทือน และพลานุภาพก็ยกระดับตาม

ตึง! ตึง! ตึง!

หลังเยื้องย่างไปเก้าก้าว บนร่างผ่าเผยของเขาเปล่งประกายทองแสบตาหาใดเปรียบ เจิดจ้าดั่งดวงตะวันสาดส่องภูผาธาราจนสว่างไสว พลานุภาพน่าหวาดกลัวถึงขีดสุด

ผืนดินแตกระแหงดั่งใยแมงมุม หินผาบนภูเขาใกล้เคียงต่างถูกกระเทือนจนร่วงกราว ห้วงอากาศส่งเสียงหวือเสียดหู

เก้ายาตราสะเทือนสวรรค์!

นี่คือวิชาลับการต่อสู้ประเภทหนึ่ง กระตุ้นอานุภาพแห่งตน สามารถทำให้พลังต่อสู้ของตนระเบิดอานุภาพเป็นประวัติการณ์ในเวลาอันสั้น!

ไม่จำเป็นต้องสงสัย ลี่จั้นหนานรู้ชัดว่าหลินสวินที่อยู่ตรงหน้าคือผู้แข็งแกร่งเหมือนกับเขา ด้วยเหตุนี้ยามออกเคลื่อนไหวจึงไม่ดูแคลนและรีรออันใด

“แกร่งเกินไปแล้ว!”

“สมกับเป็นศิษย์แกนหลัก เมื่อไหร่พวกเราถึงจะมีพลังเช่นนี้บ้าง”

เหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ใจสั่นสะท้าน สายตาที่มองลี่จั้นหนานเปี่ยมความเร่าร้อนศรัทธา

หลิงหงจินลอบพยักหน้า เดิมทีนางยังกังวลว่าลี่จั้นหนานจะประมาทศัตรู แต่บัดนี้ดูท่าอีกฝ่ายคงรอบคอบยิ่งกว่าที่ตนคาดการณ์

นี่จึงจะเป็นหนทางที่ถูกต้อง!

ถึงอย่างไรก่อนจะมาพวกเขาต่างได้ยินว่า ผู้อาวุโสเหวินสิงโจวซึ่งเรียกได้ว่าเป็นชั้นยอดในหมู่ราชันกึ่งระดับก็เคยเสียเปรียบในมือเด็กนี่ไม่น้อย

เท่านี้ก็สามารถมองออกว่าเด็กนี่กร้าวแกร่งระดับใด

ทว่าในใจนางยังไม่เข้าใจอยู่เสี้ยวหนึ่ง ถึงแม้เป็นหมาจนตรอก ก็ไม่จำเป็นต้องรอความตายอย่างโง่เขลาที่นี่กระมัง

“ให้โอกาสเจ้าประลองกับข้าครั้งหนึ่ง จงจำไว้ ต้องทุ่มสุดกำลัง ไม่เช่นนั้นเกรงว่าเจ้าคงตายตาไม่หลับ”

เงาร่างผึ่งผายของลี่จั้นหนานอบอวลประกายทองดั่งกระแสวารี พลานุภาพดุจพญามังกรทะลวงเมฆา แค่อานุภาพเช่นนี้ก็สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติทั่วไปหมดใจต่อสู้ รู้สึกถึงความสิ้นหวังแล้ว

แต่หลินสวินซึ่งเผชิญหน้ากับการท้าทายระดับนี้กลับชูสามนิ้วขึ้น “สามหมัด”

น้ำเสียงราบเรียบคลายอารมณ์

แต่นี่กลับทำให้เหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่กำลังเอ็ดตะโรต่างอึ้งงัน สามหมัด? เจ้าหมอนี่คงไม่ได้บอกว่าจะเอาชนะศิษย์พี่ลี่จั้นหนานในสามหมัดกระมัง

นี่มันเหิมเกริมเกินไปแล้วหรือไม่

สีหน้าพวกเขาทะมึนลงโดยพร้อมเพรียง เดือดดาลหาใดเปรียบ

ส่วนหลิงหงจินสีหน้าแปลกพิกล นางเคยได้ยินว่าเทพมารหลินนิสัยอหังการไม่กลัวผู้ใด แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะกำเริบเสิบสานถึงขั้นนี้

สามหมัด?

เกรงว่าแม้แต่อันดับหนึ่งของศิษย์แกนหลักอย่างฉู่เป่ยไห่ยังไม่กล้ากล่าวเช่นนี้!

“พี่ลี่ได้ยินหรือไม่ เขาจะใช้สามหมัดสังหารเจ้า” นางนัยน์ตางามกระจ่าง หัวเราะพราวเสน่ห์

ตอนแรกลี่จั้นหนานคิดว่าตนฟังผิด แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังนิ่งสงบนั่นของหลินสวิน สุดท้ายเขาจึงกล้ามั่นใจว่าเป็นความจริง

นี่ทำให้หว่างคิ้วเขาแผ่ไอชั่วร้ายอย่างระงับไม่อยู่ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นตามไปด้วย นี่กำลังหยามศักดิ์ศรีเขาอยู่หรือ

ช่างรนหาที่ตาย!

“หมัดแรก”

หลินสวินไม่พูดมาก โผร่างออกจู่โจม

โทสะหยาจื้อโคจร

นัยเร้นลับวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์โถมกระหน่ำ…

พลังทั้งหมดทั่วร่างรวมกันที่แขนขวา หมัดนี้พลันพุ่งออกไปกลางอากาศพร้อมๆ กับการย่างเท้าของหลินสวิน

เปล่งประกาย เจิดจ้า ยิ่งใหญ่ดั่งหุบเหว!

ในสายตาคนอื่นหมัดนี้เรียกได้ว่าแข็งแกร่ง แต่ไม่มีพลังน่าหวาดหวั่นเท่าไหร่นัก

แต่สำหรับลี่จั้นหนาน กลับสัมผัสถึงไอสังหารชวนประหวั่นที่ปะทะเข้ามา

ท่ามกลางความเลือนราง เบื้องหน้าสายตาราวปรากฏฉากทำลายล้างอย่างภูเขาถล่มสมุทรคำราม ห้วงอากาศพังทลาย หงส์ร้องมังกรครวญเป็นต้น

พลังหมัดนั่นประดุจแฝงเจตจำนงทำลายล้าง สามารถปั่นป่วนทลายจิตใจคน!

ลี่จั้นหนานขนพองสยองเกล้า แค่ชั่วพริบตาสีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นตึงเครียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ภายใต้แรงกระตุ้นของไอสังหารชวนประหวั่นหาใดเปรียบนั่น ทำให้เขาไม่ลังเล ใช้ความสามารถที่แข็งแกร่งที่สุดของตน

“สยบ!”

เขาตวาดลั่นดั่งเสียงคำรามของเทพเถื่อนดึกดำบรรพ์ และในมือเขาควบรวมออกมาเป็นฝ่ามือทรงพลังป่าเถื่อนสายหนึ่ง

ประทับแกนสวรรค์สยบนภา!

ทันทีที่ยอดวิชามรรคชั้นเลิศสำแดงเดช ประทับฝ่ามือดุจดั่งคีรีเทพจากฟากฟ้า บดทำลายปัญจธาตุ ดับสลายห้วงอากาศ ราวสามารถพิฆาตสรรพวิญญาณ

ตูม!

ทั้งสองปะทะกัน ภูเขาสูงใกล้หุบเขาแห่งนี้พากันทรุดตัวสนั่นหวั่นไหว บนพื้นแผ่นดิน หิน ไม้ หญ้า ต่างแหลกสลายกลายเป็นจุณ

พลังหมัดและพลังฝ่ามือไร้เทียมทานม้วนแผ่ปกคลุม พาให้ห้วงอากาศยามราตรีคร่ำครวญและสั่นสะเทือน บริเวณที่ห่างออกไปยิ่งมีเสียงร้องหวาดผวาของสรรพสัตว์

กลางที่นั้น ร่างลี่จั้นหนานดั่งถูกค้อนยักษ์ซัดตะบัน ถอยร่นออกไปสิบกว่าจั้งอย่างหนักหน่วง เลือดลมตีกลับ เบื้องหน้าพลันมืดมัวไปชั่วขณะ ยากจะรับจนแทบกระอักเลือด

ทุกคนตกตะลึงเบิกตากว้าง

ใบหน้างดงามของหลิงหงจินเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เปลวอัคคีทั่วร่างลุกโชนโหมกระหน่ำราวภูเขาไฟจวนปะทุ

อานุภาพของหมัดเดียวน่าหวาดกลัวเพียงนี้เชียวหรือ

นี่คือสิ่งที่ใครต่างไม่คาดคิด

……………….