บทที่ 120 สละชีวิต
อาเจียหลิวซือผู้เป็นอมตะเป็นชาวเผ่าวิญญาณผู้ริเริ่มแผนสู่สวรรค์
ในฐานะผู้นำคนแรกของเผ่าวิญญาณ อาเจียหลิวซือผู้เป็นอมตะจึงถือเป็นผู้ฝึกตนอัจฉริยะเสมอมา หลังจากได้รับร่างวิญญาณมาแล้ว เขาก็บรรลุขั้นพลังได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ช้าก็ก้าวขึ้นไปยืนยังจุดสูงสุดในด้านความแข็งแกร่งในเผ่าวิญญาณ
ทว่าเขากลับไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้อีก
อาเจียหลิวซือรู้ในไม่ช้าว่าพลังของตัวเองพบกับขีดจำกัดในร่างวิญญาณแล้ว และจะไม่มีทางพัฒนาไปได้มากกว่านี้
เพื่อให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของร่างวิญญาณไปได้เขาจึงคิดแผนสู่สวรรค์ขึ้นมา
แก่นของแผนนี้ก็เพื่อยกระดับเผ่าวิญญาณ อีกทั้งยังมีความคล้ายคลึงกับทฤษฎีที่เผ่ามนุษย์ใช้ เพื่อยกระดับระบบการฝึกตน ทว่าในระหว่างที่อาเจียหลิวซือกำลังพัฒนาแผนนี้ บางอย่างกลับเปลี่ยนแปลงไป
ถีเข่อซือจากไปก่อนที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น แต่เขาก็บอกได้ว่าอาเจียหลิวซือตายไปแล้วจริง ๆ และการมีตัวตนในสภาพที่แสนประหลาดของอาเจียหลิวซือในตอนนี้ทำให้ร่างนั้นมีคุณสมบัติพิเศษ
คุณสมบัติพิเศษนั้นรวมถึงกฎแห่งพลังลวงที่โอบล้อมและปกป้อง ‘เทพอสูร’ ทั้งสองตนด้วยนั่นเอง
หรือก็คือแผนสู่สวรรค์นั้นไม่สามารถยกระดับขีดจำกัดการฝึกของร่างวิญญาณได้เลยแม้แต่น้อย แต่มันกลับทำให้ชาวเผ่าวิญญาณทุกคนสามารถใช้กฎแห่งพลังได้
“น่าสนใจจริง ๆ ไม่ได้มีการบรรลุเกิดขึ้นจริง ๆ แต่ด้วยกฎแห่งพลังและทรัพยากรพิเศษบางอย่าง สิ่งมีชีวิตสุดประหลาดนี่จึงถือกำเนิดขึ้น” ซูเฉินพึมพำกับตัวเอง “แล้วแผนเส้นทางพลังล่ะ”
“มันคือเทพอสูร” ถีเข่อซือตอบตรงประเด็น
“เทพอสูรหรือ” ซูเฉินกับทุกคนผงะทันที
ถีเข่อซือตอบอย่างเฉยเมย “เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าชั้นบรรยากาศนั่นเป็นอุปสรรคต่อการโจมตีของนิกายไร้ขอบเขต มีเทพอสูรอาศัยอยู่ใต้อาณาจักรหมองหม่นจริง ๆ แต่มันไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเผ่าวิญญาณ”
เผ่าวิญญาณเลือกที่นี่เป็นเมืองของพวกมันไม่เพียงเพราะคุณสมบัติพิเศษของพื้นดิน แต่เพราะมีเทพอสูรอาศัยอยู่ที่ข้างใต้ด้วย
เผ่าวิญญาณหวังว่าจะใช้พวกมันเป็นแนวป้องกันสุดท้าย
แต่เทพอสูรนั้นไม่ใช่จะควบคุมกันง่าย ๆ เลย เผ่าพันธุ์อัจฉริยะเคยทำให้เทพอสูรเชื่องได้เพียงตนเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือหอคอยแห่งความโกลาหลของเผ่าปักษา ทว่าด้วยเทพอสูรนั่นสูญเสียความสามารถในการโจมตีไป จึงถือเป็นเพียงเรื่องที่สร้างชื่อให้เท่านั้น
หากเผ่าวิญญาณปลุกเทพอสูรขึ้นมาจริง ๆ พวกเขาก็จะต้องเป็นฝ่ายต้องพบกับหายนะเองอย่างแน่นอน
พลังจิตที่แข็งแกร่งของชาวเผ่าวิญญาณนั้นยังไม่มากพอที่จะควบคุมเทพอสูรได้
หลังจากการทดลองนับครั้งไม่ถ้วน เผ่าวิญญาณก็ได้ข้อสรุปว่าคงไม่มีทางควบคุมเทพอสูรได้ จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะตัดสินใจใช้อีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งก็คือเทพอสูรที่หลับใหลอยู่นั่นเอง
แผนเส้นทางพลังจึงเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้
เผ่าวิญญาณล้มเลิกความพยายามในการควบคุมเทพอสูรจำศีล และเริ่มค้นหาวิธีการสกัดเอาพลังชีวิตอันแข็งแกร่งของพวกมันออกมาแทน
“สิ่งที่ท้าทายที่สุดเกี่ยวกับพลังชีวิตก็คือการสกัดมันจากเทพอสูรโดยที่ไม่ทำให้มันตื่นขึ้น ขั้นตอนนี้ต้องใช้วิชาพลังจิตที่ทรงอานุภาพอย่างที่สุด เผ่าวิญญาณเองนั้นไม่แกร่งพอที่จะทำเช่นนั้น เว้นแต่ว่าพวกเขาทำลายขอบเขตของกฎแห่งพลังได้” ถีเข่อซืออธิบายอย่างใจเย็น
ซูเฉินพึมพำ “กฎแห่งพลังไม่ได้ถูกนำมาใช้เพียงเพื่อหลอกเรา แต่ยังใช้เพื่อหลอกเทพอสูรจำศีลด้วยอย่างนั้นสินะ”
ถีเข่อซือได้ยินเข้าก็ตอบกลับไป “ถูกต้อง ถ้าข้าคาดการณ์ไว้ไม่ผิดอาเจียหลิวซือกับขาปี่เอ๋อซือน่าจะสละชีวิตในห้วงเวลาสำคัญเพื่อสร้างกฎแห่งพลังขึ้น ทำให้ทั้งสองชิงเอาพลังชีวิตจากเทพอสูรมาได้ หรือก็คือพวกเขาได้กลายเป็นผู้สกัดพลังชีวิตตามแผนเส้นทางพลัง และใช้วิชาอาร์คาน่าสารพัดชนิด กฎแห่งพลังลวงนั่นถูกใช้ก็เพื่อหลอกพวกเจ้าทุกคน กับเทพอสูรนั่น และทำให้มันตายได้โดยไม่ต้องปลุกให้อสูรนั่นตื่นมา”
“เป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมทีเดียว” ซูเฉินพึมพำด้วยความชื่นชม
การเอาพลังจากเทพอสูรด้วยวิธีนี้ถือว่าชาญฉลาดนัก แน่นอนว่า แม้พวกเขาจะสามารถยืมพลังชีวิตของเทพอสูรมาได้ แต่มันกลับสูญเสียความสามารถในการโจมตีไป
ถึงแม้ว่าโดยผิวเผินแล้วอาจดูเป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่ดีนัก แต่ก็ทำให้เผ่าวิญญาณสามารถควบคุมพลังได้ง่ายดายกว่าการปลุกเทพอสูรขึ้น
น่าเสียดายที่แผนการนี้ล้มเหลวในท้ายที่สุด หากเผ่าวิญญาณรู้ว่าผลของมันจะออกมาเป็นเช่นนี้ พวกเขาคงเลือกที่จะปลุกให้เทพอสูรจำศีลตื่นขึ้นเสียยังดีกว่า
ทว่าในตอนนี้ เทพอสูรได้ตายไปแล้วทั้งที่ยังหลับใหลด้วยฝีมือของเผ่ามนุษย์และเผ่าคนเถื่อน การโจมตีอย่างต่อเนื่องของพวกเขาทำให้ ‘เทพอสูร’ ประหลาดเกิดความเสียหายมากมาย มันคงเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่จะสามารถต้านทานการโจมตีได้มากถึงเพียงนี้ก่อนที่จะล้มลง
เมื่อตัวประหลาดนั่นตายลง ไพ่ใบสุดท้ายของชาวเผ่าวิญญาณก็ตายไปพร้อมกับมันด้วย
พวกเขาไม่มีไพ่ตายอื่นใดหลงเหลืออยู่อีกแล้ว
หลังจากทัพร่วมได้หยุดพักและจัดระเบียบกันใหม่แล้ว พวกเขาก็พากันกลับมาล้อมอาณาจักรหมองหม่นอีกครั้ง
แสงจ้าสว่างวาบขึ้นบนท้องฟ้า… อาณาจักรหมองหม่นลุกโชนเป็นไฟอย่างรวดเร็ว
“ผู้อาวุโสจีหลินเค่อสิ้นแล้ว!”
“ผู้อาวุโสปู้ลาเขิ่นสิ้นแล้ว!”
“ผู้อาวุโสอาม่ายลาสิ้นแล้ว!”
มั่วเนี่ยลาซือได้รับรายงานถึงการสูญเสียของผู้อาวุโสอยู่หลายครั้ง สงครามยังคงดำเนินต่อไปขณะที่สถานะของผู้เสียชีวิตชาวเผ่าวิญญาณเริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จน ณ จุดนี้ แม้กระทั่งข้าหลวงทั้งหลายเริ่มจะเสียชีวิตด้วยเช่นกัน
“มั่วเนี่ยลาซือผู้มองไกล เผ่าวิญญาณที่ยิ่งใหญ่กำลังล่มสลาย ช่วยคิดอะไรสักอย่างเถอะ!” หนึ่งในผู้อาวุโสเผ่าวิญญาณร้องขอ
“พวกเราเผ่าวิญญาณไม่เคยมีชีวิตอยู่แล้ว” มั่วเนี่ยลาซือตอบอย่างนุ่มนวล “พวกเราตายมาตั้งแต่ที่เราสละร่างอ่อนเปราะบางนี่”
“แต่พลังจิตของพวกเรายังมีอยู่ และเจตจำนงของเราก็ยังหนักแน่นนัก ศัตรูพวกนั้นกำลังทำลายความตั้งใจของเรา” หนึ่งในผู้อาวุโสร้องขึ้นอย่างปวดร้าว
“ความอมตะที่แท้จริงนั้นไม่มีอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว” มั่วเนี่ยลาซือพึมพำกับตัวเอง
เผ่าวิญญาณอยู่บนโลกนี้มานานเหลือเกิน นานถึงขั้นที่พวกเขามองว่าตัวเองเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติที่ไม่ต้องมีการพัฒนาอีกต่อไป
ใช่… ไม่จำเป็นต้องมีการพัฒนาอีกแล้ว!
แม้ว่าทุกคนจะรู้ว่าเผ่าวิญญาณรักในการวิจัยและพวกเขาก็เป็นเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ แต่อันที่จริงนั้น กระบวนการคิดของพวกเขาหยุดชะงักไปนานแล้ว
การวิจัยของเผ่าวิญญาณถูกจำกัดด้วยความใจแคบและความไม่ยินดีที่จะยอมรับความช่วยเหลือใด ๆ จากภายนอกเลย ข้อมูลและความรู้ต่าง ๆ ที่ในเผ่าวิญญาณเองจึงมีค่อนข้างจำกัดด้วย
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าจะมีนักวิจัยจำนวนมากมาย เผ่าวิญญาณก็ยังไม่สามารถสร้างสิ่งที่สอดคล้องกับความสามารถได้
หลายเผ่าพันธุ์นั้นต้องการที่จะสร้างผลงานมากกว่าสร้างบุคคลมากความสามารถ
ส่วนเผ่าอื่น ๆ ก็มักเน้นสร้างผู้แข็งแกร่งมากกว่าผลงาน
และเผ่าวิญญาณก็เป็นอย่างกลุ่มที่สอง
เผ่านี้เป็นที่รู้จักในฐานะที่มีนักวิจัยที่เก่งกาจ แต่พวกมันกลับไม่เคยสร้างผลงานสะท้านโลกันตร์เลยสักครั้ง
ส่วนเผ่ามนุษย์นั้นประสบความสำเร็จมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน วิชาการฝึกตนที่ถูกเขียนขึ้นสำหรับมนุษย์โดยเฉพาะได้กลายมาเป็นอนาคตของมวลมนุษยชาติ และยังเป็นการเผยให้เห็นถึงความอ่อนแอของเผ่าวิญญาณอีกด้วย
วันที่รากฐานของเผ่าวิญญาณไม่สามารถเทียบเท่าได้กับผู้อื่น วันนั้นก็คือวันตายของพวกเขา
มั่วเนี่ยลาซือรู้อยู่ถึงอนาคตที่จะต้องเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว และในอดีตนั้นเขายังเคยพยายามที่จะปฏิวัติมาแล้วด้วย ทว่าจำนวนของชาวเผ่าวิญญาณที่ตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงของเขานั้นมีจำนวนที่น้อยนิดเหลือเกิน
มั่วเนี่ยลาซือจึงไม่แปลกใจเลยเมื่อวันนี้มาถึง
เผ่าวิญญาณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงนิสัยรักสันโดษและชอบแบ่งแยกตัวได้ จึงไม่น่าแปลกเช่นกันที่พวกมันจะไม่สามารถเอาชนะศัตรูที่ทั้งแข็งแกร่งและสามัคคีได้
เมื่อคร่ำครวญมาจนถึงจุดนี้ มั่วเนี่ยลาซือก็พ่นลมด้วยความเสียใจ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าวันนี้จะต้องมาถึง แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วถึงเพียงนี้ หรือเกิดขึ้นในความดูแลของข้า ถ้าเป็นไปได้ ข้าขอสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องอาณาจักรอย่างสองคนตรงหน้ายังจะดีกว่า”
อดีตผู้อาวุโส ’วิญญาณผู้พิทักษ์’ พ่ายแพ้ไปแล้ว และเผ่าวิญญาณก็ไม่มีไพ่ตายเหลืออยู่อีกต่อไป
เมื่อผู้อาวุโสที่เหลืออยู่ได้ยินคำคร่ำครวญของมั่วเนี่ยลาซือก็ตระหนักได้ถึงความจริง ทุกคนต่างเสียใจและเสียดายไม่ต่างกัน
“แต่เผ่าวิญญาณก็ยังเป็นเผ่าวิญญาณ ต่อให้พวกนั้นเอาชนะเราได้ในวันนี้ ก็จะต้องตอบแทนในสิ่งที่ทำไปอยู่ดี” มั่วเนี่ยลาซือกล่าวอย่างเด็ดขาด “หากพวกเราตาย พวกนั้นก็จะต้องตายไปกับเราด้วย”
“เราไม่มีวิธีอื่นใดที่จะทำลายกองทัพนั่นได้อีกแล้ว” ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวขึ้น
“ไม่หรอก เรายังมีอีกวิธีหนึ่ง” มั่วเนี่ยลาซือตอบ “เครื่องมือสกัดจิต”
เครื่องมือแปรสภาพพลังจิตอย่างนั้นหรือ
ทุกคนตะลึง
เครื่องมือนี้ถูกใช้เพื่อเปลี่ยนเผ่าจิตวิญญาณทมิฬที่มีร่างกายหยาบเป็นร่างจริงขึ้นมา และมันไม่ควรถูกนำมาใช้ในการรบ
แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรกัน…
มั่วเนี่ยลาซือค่อย ๆ กำหมัด “ข้าจะให้พวกนั้นได้ลิ้มรสของการแปรสภาพนั่นเสียหน่อย”
เครื่องมือสกัดจิตนั้นใช้ได้ผลกับเผ่าจิตวิญญาณทมิฬเท่านั้น หากมันถูกนำมาใช้กับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ พลังชีวิตของผู้นั้นก็จะเหือดหายไปโดยไม่ได้รับร่างจริงมาเลย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้เครื่องมือนี้เป็นอาวุธ แต่ข้อกำหนดนี้ก็มีขึ้นเพื่อให้มีการใช้งานที่จำกัดเท่านั้น
และเครื่องมือสกัดจิตก็มีผลในวงที่แคบมาก
ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าว “เครื่องมือสกัดจิตน่ะสามารถใช้กับเป้าหมายเพียงหนึ่งเป้าหมายเท่านั้นในแต่ละครั้ง ไม่ใช่ศัตรูเป็นกลุ่มอย่างนี้”
“เรื่องนั้นข้ารู้ แต่หากมีชาวเผ่าวิญญาณที่ยินดีจะสละชีวิต ผลของเครื่องมือสกัดจิตก็สามารถขยายขอบเขตออกไปได้ชั่วคราว” มั่วเนี่ยลาซืออธิบาย
“มันจะขยายได้มากเพียงไรกัน”
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับชีวิตของเผ่าวิญญาณที่จะถูกสละ”
ชาวเผ่าวิญญาณต่างมองหน้ากันไปมา ไม่ช้าทุกคนก็ตระหนักว่านี่จะเป็นการตัดสินใจสุดท้ายของพวกเขาแล้ว
มั่วเนี่ยลาซือประกาศอย่างภาคภูมิ “ข้า มั่วเนี่ยลาซือ! ในฐานะผู้นำคนสุดท้ายแห่งเผ่าวิญญาณ ข้ายินดีที่จะสละชีวิตของข้าเพื่อเกียรติยศแห่งเผ่าของเรา!”
เผ่าวิญญาณที่อยู่ตรงนั้นหันไปสบตาพรรคพวกด้วยกันเล็กน้อย ก่อนที่จะพร้อมใจกันคำรามขึ้น “พวกเรายินดีที่จะสละชีวิตเพื่อเกียรติยศแห่งเผ่าเรา!”
ในที่สุดเผ่าวิญญาณที่แสนเลือดเย็นรู้สึกถึงเลือดลมที่เดือดพล่านทั่วกายในพริบตาสุดท้าย ตราบใดที่สามารถพาศัตรูลงไปสู่นรกพร้อมกันได้ พวกเขาก็ยินดียิ่งนักที่จะสละชีวิตตัวเอง
การโจมตีที่ถูกปล่อยออกมาจากหอคอยอาร์คาน่าที่เหลืออยู่นั้นเริ่มอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ แล้วในตอนนี้
การต่อสู้กำลังจะจบลงและผลสรุปก็ใกล้เข้ามาทุกที
แสงดาบพุ่งลงจากท้องฟ้าราวกับสายฝนและปะทะเข้าใส่อาคารมากมายของอาณาจักรหมองหม่นอย่างไร้ปราณี
ซูเฉินลอยอยู่กลางอากาศมองดูภาพการทำลายล้างที่เบื้องล่าง
“ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ” กู่ชิงลั่วกล่าวอย่างนุ่มนวล
ซูเฉินไม่ตอบอะไร
“เป็นอะไรไปหรือ” กู่ชิงลั่วถามขึ้นเมื่อเห็นว่าสีหน้าของซูเฉินหมองหม่นลงแทนที่จะดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ที่ในอาณาจักรแห่งหมู่เมฆ ข้าก็ทำให้หยงเยี่ยหลิวกวงต้องหลังชนฝา แต่แม้จะอยู่ในสถานะเช่นนั้น เขาก็ยังสามารถตอบโต้ข้าได้ ผู้นำที่มอบโอกาสในการตอบโต้ให้พวกเขา มั่วเนี่ยลาซือผู้มองไกลก็ไม่มีชีวิตยืนยาวทุกคนต่างก็มีเกียรติศักดิ์ศรีของตัวเอง พวกนั้นไม่มีทางยอมรับความพ่ายแพ้ง่าย ๆ และคงยอมสละชีวิตกันทั้งนั้น… ตราบใดที่เราไม่ได้ฉลาดน้อยไปกว่าหยงเยี่ยหลิวกวงเลยแม้แต่น้อย ถ้าเราไม่อยากต้องพบกับการสูญเสียครั้งใหญ่ ก็ไม่อาจประมาทคู่ต่อสู้คนนี้ได้เลย”
กู่ชิงลั่วตอบด้วยความประหลาดใจ “สามีข้า นี่หมายความว่า…”
ซูเฉินตอบอย่างใจเย็น “บอกให้ทหารทั้งหมดของเราค่อย ๆ มุ่งหน้าต่อไปและเริ่มโจมตีกองทหารจำนวนหนึ่งพันคนนั่น… เราจะให้ศัตรูมีโอกาสโจมตีไม่ได้เป็นอันขาด”
พูดจบซูเฉินก็เหาะตรงลงไป “ข้าจะไปดูเอง”
ยิ่งเข้าใกล้ข้อสรุปมากขึ้น ซูเฉินก็ยิ่งระมัดระวังตัว
มั่วเนี่ยลาซือที่เป็นผู้นำของฝ่ายอาณาจักรหมองหม่นกำลังถอนใจด้วยความชื่นชม เมื่อเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในการเคลื่อนไหวของทัพร่วมฝ่ายตรงข้าม
ศัตรูของพวกเขาทั้งฉลาดและเจ้าเล่ห์…นี่พวกนั้นคิดจะไม่ให้โอกาสเขาเลยเชียวหรือ ดูเหมือนว่ามั่วเนี่ยลาซือจำเป็นจะต้องสละทัพทหารราวหนึ่งพันคนของเขาในการโจมตีครั้งสุดท้ายนี้เสียแล้ว
แต่ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นซูเฉินที่กำลังเหาะตรงเข้ามา