ภาคที่ 6 บทที่ 121 เป็นตาย

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 121 เป็นตาย

มั่วเนี่ยลาซือเห็นศิษย์นิกายไร้ขอบเขตนับพันเข้าโจมตีก็รู้สึกผิดหวังนัก

แต่เมื่อเห็นซูเฉินมาถึงที่ ในใจก็ก่อเกิดความหวังขึ้นอีกครั้ง

หากสังหารซูเฉินได้ นั่นดีกว่าสังหารศิษย์นิกายไร้ขอบเขตเป็นหมื่นได้เสียอีก

“เปลี่ยนเป้าหมายเป็นซูเฉิน!” มั่วเนี่ยลาซือสั่งโดยพลัน

เครื่องมือสกัดจิตจึงปรับให้หันหน้าเข้าหาซูเฉินทันที

ปกติแล้วระยะโจมตีของวงแสงคือประมาณหนึ่งฉื่อ แต่เมื่อได้เครื่องสังเวยจากเผ่าวิญญาณนับไม่ถ้วน วงแสงก็ขยายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อได้ยินคำสั่งมั่วเนี่ยลาซือ วงแสงก็หมุนไปทางซูเฉิน

ซูเฉินสัมผัสถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามาได้ ราวกับถูกสิ่งมีชีวิตน่าขวัญผวาจับจ้องอยู่ก็มิปาน ขนอ่อนทั่วร่างพากันลุกชัน

แต่ซูเฉินกลับไม่ถอย ดึงของบางอย่างออกมาอย่างไม่ลังเล โยนมันขึ้นไปในอากาศ

มันคือแผ่นหิน แผ่นเดียวกันกับที่เขานำออกมาจากหุบเขาทรุด ภายในมีพลังสูญที่ทรงพลังเกินคาดอยู่

มันทำให้ซูเฉินเอาชีวิตรอดจากโลหิตสวรรค์อันน่าผวามาได้ เป็นของป้องกันที่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ สามารถสร้างเกราะพลังสูญขึ้นมาได้

จากนั้นมา ซูเฉินก็สั่งให้คนในนิกายนำมันมาปรับให้เป็นเครื่องป้องกันส่วนตัว สามารถสกัดวิชาสังหารได้ไม่ว่าวิชาใด

เขาจึงเต็มใจลงมาทั้งที่รู้ถึงความเสี่ยง ว่าหากเขาเผยตัว เผ่าวิญญาณก็คงเล็งสังหารชายหนุ่มแทนที่จะเป็นศิษย์นิกายที่ตนรักเหมือนลูกอย่างไม่ต้องสงสัย หากเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้มีใครต้องทิ้งชีวิตไปสักคน

ซูเฉินคิดว่าวิชาสังหารสุดท้ายของอีกฝ่ายจะเป็นโลหิตสวรรค์ แต่กลับคาดการณ์พลาดเพราะยังไม่เข้าใจวิชานั้นดี

แม้โลหิตสวรรค์จะทรงพลัง แต่ก็มีข้อจำกัดหนึ่ง คือใช้ได้ในแดนพลังสูญแยกเดี่ยวเท่านั้น ดังนั้นเผ่าวิญญาณในหุบเขาทรุดจึงใช้เครื่องสังเวยเล็กน้อยและใช้วิชานี้ได้

แม้ถ้ำว่านไหลจะอยู่ใต้ดินและมีพลังต้นกำเนิดล้อมรอบจนแยกออกจากพื้นพสุธา แต่ก็ยังไม่ตัดขาดออกจากโลกภายนอกเสียทีเดียว ยังคงอยู่บนทวีปต้นกำเนิด การใช้โลหิตสวรรค์ในแดนขนาดใหญ่เช่นนี้ แม้เผ่าวิญญาณจะสังเวยชีพกันจนหมดก็คงไม่อาจใช้ได้

ดังนั้นมองมุมหนึ่ง โลหิตสวรรค์ก็นับเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ออกมาล้มเหลว ไม่มีวันเห็นความสำเร็จ

ทันทีที่ซูเฉินดึงแผ่นหินออกมา ก็รู้สึกถึงพลังแข็งแกร่งโอบล้อมร่างเอาไว้ ยึดเขาไว้กับที่ ขยับแม้สักนิดก็ไม่ได้

แต่กลับไม่เหมือนกับพลังทำลายล้างน่าเกรงขามของโลหิตสวรรค์ พลังนี้ราวกับกำลังแทรกซึมเข้าร่างเข้าไปโดยตรงมากกว่า

ความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้เริ่มซึมซาบไปทั่วร่าง รู้สึกราวกับถูกฉีกกระชากร่าง บิดร่างกายเขาเบี้ยวจนเกินทน

ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือเขาไม่สามารถต่อต้านมันได้เลย

นี่มัน… เกิดอะไรขึ้นกัน?

ซูเฉินรู้สึกราวกับร่างจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แต่ร่างกายทุกส่วนก็ยังอยู่ครบไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างไร

ดูเหมือนความเจ็บปวดทรมานนี้จะมาจากจิตงั้นหรือ?

แย่แล้ว!

เขารู้ทันทีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

เครื่องมือสกัดจิต!

เผ่าวิญญาณใช้เครื่องมือสกัดจิตกับเขา

นอกจากเผ่าจิตวิญญาณทมิฬแล้ว ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่สามารถทนอยู่ได้อีกหลังจากที่กายเนื้อแปรเปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณ เดิมทีเครื่องมือนี้ใช้สร้างเผ่าวิญญาณ แต่ตอนนี้เผ่าวิญญาณกลับนำมันมาใช้กับเขา

ที่สำคัญคือ เกราะป้องกันพลังสูญของแผ่นหินก็ไม่อาจช่วยอะไรได้

บัดซบ!

ซูเฉินก่นด่าอยู่ในใจ

เขารู้ว่าตนเองต้องรีบลงมือ ไม่เช่นนั้นยามที่เครื่องมือสกัดจิตทำการเปลี่ยนกายเนื้อของเขาให้กลายเป็นจิตวิญญาณโดยสมบูรณ์ เขาก็จะตายเข้าจริง ๆ

“อ๊าก!!!”

ซูเฉินคำรามลั่น

ภายนอกเห็นเพียงลูกกระเดือกของเขาปูดโปนขึ้นมาเล็กน้อย เค้นเอาเสียงจากลำคอออกมาได้นิดหนึ่ง แต่ในแดนพลังจิตนั้น เกิดแรงโจมตีจิตกล้าแข็งกระจายไปทั่วทิศทาง

ซูเฉินเริ่มสูญเสียการควบคุมกายเนื้อไป แต่ความแข็งแกร่งของพลังจิตเริ่มพุ่งสูงขึ้นเมื่อมันเริ่มตกผลึก

“คิดจะเปลี่ยนข้าให้กลายเป็นร่างวิญญาณงั้นหรือ?” ซูเฉินกัดฟันแน่น

เขาหันไปมองเผ่าวิญญาณเบื้องล่าง

เผ่าวิญญาณเหล่านั้นค่อย ๆ หายไป สลายกลายเป็นเถ้าธุลี ปากก็ยังร่ายคาถาไม่หยุด

นอกจากเผ่าวิญญาณเหล่านั้น ก็ยังมีเครื่องมือขนาดใหญ่น่าประหลาด เรืองแสงสีขาวออกมาจาง ๆ อยู่อีกเครื่องหนึ่ง

คงจะเป็นเครื่องมือสกัดจิต

เครื่องมือสกัดจิตทรงพลังเกินคาด มากเสียจนซูเฉินไม่สามารถต้านทานมันได้แม้แต่น้อย แต่มันก็มีจุดอ่อน นั่นคือกระบวนการต้องใช้เวลานานพอสมควร

ทำให้ซูเฉินมีโอกาสรอดอยู่เสี้ยวหนึ่ง

เขารู้ว่าตนเองเหลือเวลาอีกไม่มาก ร่างวิญญาณของเขาเริ่มก่อเกิดขึ้นแล้ว พลังจิตกำลังถูกดึงออกจากร่างอย่างช้า ๆ

พลังชีวิตของเขาก็ถูกดูดออกไปพร้อมกัน

แรกเริ่มก็ถูกดูดออกไปจากเท้าซ้าย ลามมาที่น่อง จากนั้นก็เป็นที่ต้นขา ลามไปจนถึงศีรษะ

หากมันขึ้นถึงศีรษะ พลังชีวิตทั้งหมดก็จะถูกดูดออกไป ร่างกายของเขาก็จะตาย เหลือไว้เพียงร่างวิญญาณเท่านั้น

ร่างจิตวิญญาณนี้จะอยู่ได้ไม่นาน หากปิดเครื่องมือสกัดจิตก็คงจะหายไปในทันที

นั่นก็เพราะว่าสิ่งมีชีวิตส่วนมากที่ไม่ใช่เผ่าจิตวิญญาณทมิฬมีพลังจิตไม่มากพอ ไม่สามารถอดทนกับสภาพแวดล้อมโหดร้ายโดยรอบเมื่อไม่ได้รับการปกป้องจากกายเนื้อได้

แต่ซูเฉินนั้นแตกต่าง พลังจิตของเขาถึงระดับที่มนุษย์คนใดยากที่จะสามารถบรรลุได้ ดังนั้นจึงมีโอกาสที่ร่างวิญญาณของเขาอาจจะคงอยู่

แต่กระนั้นซูเฉินก็ไม่คิดอยากจะเปลี่ยนเป็นร่างวิญญาณ

“ข้า… เป็น… มนุษย์!” ซูเฉินเค้นคำออกมาอย่างยากลำบาก จ้องมองเบื้องล่างด้วยแรงใจแข็งกล้าไม่สั่นคลอน

เขาไม่ต้องการเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดที่อยู่ระหว่างเส้นแบ่งเป็นตาย ไม่คิดจะทิ้งร่างกายมนุษย์ของตนไปเช่นนี้

แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไร จิตของเขาก็ยังถูกดึงออกจากกายเนื้อ ที่กำลังจะตายลงอย่างช้า ๆ

“ตายเสียเถอะ!” มั่วเนี่ยลาซือเงื้อไม้เท้ามณีสามสีขึ้นสูง ส่งพลังทั้งหมดเข้าเครื่องมือสกัดจิตเพื่อเร่งการทำงาน เขาสัมผัสได้ว่าชีวิตเผ่าวิญญาณตนอื่น ๆ ถูกใช้ไปทีละตน ๆ ทว่ามีแต่ต้องทำลายคู่ต่อสู้น่ากลัวเช่นนี้ลง เผ่าวิญญาณจึงจะพอมีทางรอด

ตายไปเสีย แล้วกลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกเราซะ!

เผ่าวิญญาณนับไม่ถ้วนคำรามเสียงเคียดแค้นออกมาพร้อมกัน

พวกเขาสามารถสัมผัสพลังจิตอันทรงพลังของซูเฉินได้ รู้ว่าอีกฝ่ายอาจกลายเป็นร่างวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็ดูไม่เสียขวัญสักนิด แต่กลับยิ่งตื่นเต้น ยิ่งเร่งเร้าเครื่องมือสกัดจิตให้ทำงานเร็วขึ้นไปอีก

ร่างจิตของซูเฉินยังคงลอยอยู่บนอากาศ แรงสลายดำเนินมาถึงอกเขาแล้ว

ดูจากภายนอกก็เหมือนไม่ได้เกิดอะไรขึ้นเลย ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตคิดว่าเขาเพียงหยุดมองอะไรบางอย่างเท่านั้น

จิตของซูเฉินทั้งขู่คำรามสะบัดไปมาไม่ยอมทน ทว่าก็เพียงสร้างคลื่นพลังจิตหลายระลอกออกมา ถูกเผ่าวิญญาณรวมพลังสกัดไว้ได้ มีเพียงเผ่าวิญญาณที่สัมผัสถึงความดิ้นรนของเขาได้ คนอื่นไม่รู้เลยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น

บางทีสิ่งนี้อาจทำให้สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เศร้าโศกนัก แต่กลับนำพาความยินดีใหญ่หลวงมาให้เผ่าวิญญาณ

แก้แค้น!

แก้แค้น!

แก้แค้น!

เผ่าวิญญาณนับไม่ถ้วนพากันร้องส่งเสียงดุดัน จังหวะนั้น นิสัยเย็นชาสันโดษได้แปรเปลี่ยนเป็นอารมณ์ดิบเถื่อนไปแล้ว

“ตาย! เปลี่ยนร่างเสีย! กลายมาเป็นพวกเราเผ่าวิญญาณ!” มั่วเนี่ยลาซือคำรามออกมา ไม่อาจระงับความตื่นเต้นได้

ในที่สุดแรงทำลายก็ลามมาถึงคอ

ใบหน้าซูเฉินค่อย ๆ แข็งทื่อ

เป็นเหมือนดั่งรูปสลักยืนนิ่งอยู่กลางอากาศ

มันยังลามไปเรื่อย ๆ

ลามไปถึงปาก กลืนจมูก กินไปถึงดวงตา และในเฮือกสุดท้าย ก็แตะถึงหนังศีรษะ

จิตของซูเฉินออกจากร่างโดยสมบูรณ์แล้ว!!!

“การสกัดจิตสมบูรณ์!” มั่วเนี่ยลาซือโห่ร้องด้วยความปิติยินดี เครื่องมือสกัดจิตเริ่มลดพลังลงเมื่อทำงานสำเร็จเสร็จสิ้น

ยามสิ้นแสงสีขาว ก็เห็นชัดว่าเผ่าวิญญาณต้องสังเวยชีวิตไปนับพันเพื่อการทำงานครั้งนี้ เพื่อเปลี่ยนซูเฉินให้กลายเป็นร่างวิญญาณ

กระนั้นเพื่อกำจัดซูเฉินก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว

ร่างจิตของซูเฉินตอนนี้ลอยอยู่บนฟ้า

แต่มันกลับเป็นร่างที่มองไม่เห็น

มนุษย์และคนเถื่อนไม่อาจมองเห็น มีเพียงเผ่าวิญญาณที่เห็นว่าร่างเขาสว่างเจิดจ้าราวกับตะวันระอุในคืนเดือนมืด

มั่วเนี่ยลาซือไม่แปลกใจที่ร่างจิตของซูเฉินยังคงอยู่แม้เครื่องสกัดจิตจะหยุดการทำงานไปแล้วก็ตาม

พลังจิตเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการ เผ่าวิญญาณเชี่ยวชาญเรื่องนี้มานาน แต่กลับพบกับความยากลำบากในการเพิ่มพลังจิตให้กับเผ่าอื่นจนถึงระดับที่เหมาะสม และด้วยความที่แยกตัวออกมาจากเผ่าอื่น เผ่าวิญญาณจึงไม่เต็มใจหรือไม่สามารถเพาะพันธุ์เผ่าอื่นเพื่อการทดลองสกัดจิตได้

แต่ก็ยังใช้เครื่องมือกับเผ่าอื่นได้สำเร็จอยู่หลายคน ทำให้เกิดเผ่าวิญญาณพิเศษที่สามารถนำมาใช้ลงสนามรบได้

เผ่าวิญญาณพิสดารเหล่านั้นปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับสิ่งประดิษฐ์ล้มเหลวอื่นก่อนหน้า แต่เสียดายนักที่พวกมันถูกทะเลพลังของผู้เชี่ยวชาญนับหมื่นดูดกลืนไปแล้ว

ทว่ามั่วเนี่ยลาซือเชื่อว่าร่างจิตของซูเฉินจะแตกต่างออกไป

“เจ้ากำลังจะกลายเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของข้า เป็นวิญญาณอำมฤตดวงใหม่!” มั่วเนี่ยลาซือประกาศก้องตื่นเต้น

ความตายของซูเฉินย่อมทำให้ศัตรูปั่นป่วนแน่นอน ภัยคุกคามเผ่าวิญญาณได้ถูกจัดการแล้ว!

ร่างจิตใหม่นี้ต้องใช้เวลากว่าจะเกิดสมดุล มั่วเนี่ยลาซือจึงไม่สนมันอยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับหันไปทางสนามรบ “หยุดดิ้นรนเสียเถอะมนุษย์ผู้โง่เขลา! หัวหน้าเจ้าตายแล้ว! ชะตาพวกเจ้าดับแล้ว!”

น้ำเสียงมั่วเนี่ยลาซือดังก้องทั่วสนามต่อสู้ ทั้งมนุษย์และคนเถื่อนที่ได้ยินต่างพากันชะงักไป

ว่าอะไรนะ?

หัวหน้าพวกเขาตายแล้วงั้นหรือ?

แล้วซูเฉินที่ยืนอยู่บนฟ้านั่นคืออะไร? ก็เห็นยังลอยอยู่บนนั้นไม่ใช่หรือ?

จะตายได้อย่างไรกัน?

เผ่าวิญญาณสิ้นสติไปแล้วหรือ?

การโจมตีหยุดเพียงครู่หนึ่งก่อนจะดำเนินต่อในทันที

เห็นได้ชัดว่าคิดว่ามั่วเนี่ยลาซือโกหก

“เอาเถอะ อย่างไรก็ไร้ประโยชน์แล้ว” มั่วเนี่ยลาซือพึมพำ

ในเมื่อไม่เชื่อ เขาก็เต็มใจจะให้พวกมันได้ลิ้มรสความสิ้นหวังที่แท้จริงเอง

เขายกไม้เท้ามณีสามสีขึ้น เล็งไปยังกายเนื้อของซูเฉินบนฟ้า

กายเนื้อนั่นตายแล้ว แต่แม้จะไร้ชีพ มันกลับยังลอยเด่นอยู่บนฟ้าไม่ร่วงลงมา

ทำให้มั่วเนี่ยลาซือสงสัยเล็กน้อย

แต่มั่วเนี่ยลาซือคิดเพียงว่าคงเป็นกลที่ซูเฉินเตรียมไว้ หรืออาจเป็นผลจากสมบัติใดที่เขาพกติดตัว ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

แต่เมื่อไม้เท้าทำงาน ร่างของซูเฉินกลับไม่เริ่มเผาไหม้ เขาจึงรู้ว่าผิดปกติแล้ว

มั่วเนี่ยลาซือชะงักงันอย่างเห็นได้ชัด เขายกไม้เท้ามณีสามสีชี้ไปยังร่างของซูเฉินเป็นคราวที่สอง “จงมอดไหม้!”

ครั้งนี้เกิดบางอย่างขึ้นในที่สุด

เกิดแสงสีแดงปะทุขึ้นมาราวกับเปลวไฟปะทุที่กลางร่างของซูเฉิน

มั่วเนี่ยลาซือถอนหายใจโล่งอก

เขาเกลียดความฉงนใจ โดยเฉพาะความฉงนที่มาในยามสำคัญเช่นนี้

แต่ถึงแม้เปลวเพลิงดวงน้อยจะเริ่มมอดไหม้ แต่มันก็ไม่ลามไปยังส่วนอื่นของซากศพอย่างรวดเร็วดังที่เขาคิดไว้ กลับลามเลียไปช้า ๆ แทน

ที่น่าตกใจไปกว่านั้น ขณะที่เปลวไฟยังคงลามไปเรื่อย ซากศพนั่นก็เหมือนกับจะฟื้นคืนชีพขึ้นมา

ในเวลาเดียวกันนั้น ซูเฉินที่ควรต้องทิ้งร่างไปแล้วกลับลืมตาขึ้น “ความตายมันเป็นเช่นนี้เองหรือ? เส้นแบ่งระหว่างเป็นตายเต็มไปด้วยความลับล้ำลึกยิ่งนัก ทั้งน่ากลัวและอันตราย ขอบคุณท่านมาก มั่วเนี่ยลาซือ ที่มอบพลังจิตที่กล้าแข็งกว่าเดิมให้ข้า ช่วยกรุยหนทางสู่ราชันให้ข้า”

เขาว่าแล้ว เพลิงที่กลางกายเนื้อเขาก็ระเบิดพุ่งขึ้นฟ้าไป

เกิดเมฆประหลาดขึ้นบน ‘ท้องฟ้า’ สะท้อนตอบรับกับกายเนื้อเบื้องล่าง

“สวรรค์รองรับ…” มั่วเนี่ยลาซือร้องเสียงตกตะลึง “ด่านมหาราชัน!?”