บทที่ 121 เป็นตาย
มั่วเนี่ยลาซือเห็นศิษย์นิกายไร้ขอบเขตนับพันเข้าโจมตีก็รู้สึกผิดหวังนัก
แต่เมื่อเห็นซูเฉินมาถึงที่ ในใจก็ก่อเกิดความหวังขึ้นอีกครั้ง
หากสังหารซูเฉินได้ นั่นดีกว่าสังหารศิษย์นิกายไร้ขอบเขตเป็นหมื่นได้เสียอีก
“เปลี่ยนเป้าหมายเป็นซูเฉิน!” มั่วเนี่ยลาซือสั่งโดยพลัน
เครื่องมือสกัดจิตจึงปรับให้หันหน้าเข้าหาซูเฉินทันที
ปกติแล้วระยะโจมตีของวงแสงคือประมาณหนึ่งฉื่อ แต่เมื่อได้เครื่องสังเวยจากเผ่าวิญญาณนับไม่ถ้วน วงแสงก็ขยายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อได้ยินคำสั่งมั่วเนี่ยลาซือ วงแสงก็หมุนไปทางซูเฉิน
ซูเฉินสัมผัสถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามาได้ ราวกับถูกสิ่งมีชีวิตน่าขวัญผวาจับจ้องอยู่ก็มิปาน ขนอ่อนทั่วร่างพากันลุกชัน
แต่ซูเฉินกลับไม่ถอย ดึงของบางอย่างออกมาอย่างไม่ลังเล โยนมันขึ้นไปในอากาศ
มันคือแผ่นหิน แผ่นเดียวกันกับที่เขานำออกมาจากหุบเขาทรุด ภายในมีพลังสูญที่ทรงพลังเกินคาดอยู่
มันทำให้ซูเฉินเอาชีวิตรอดจากโลหิตสวรรค์อันน่าผวามาได้ เป็นของป้องกันที่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ สามารถสร้างเกราะพลังสูญขึ้นมาได้
จากนั้นมา ซูเฉินก็สั่งให้คนในนิกายนำมันมาปรับให้เป็นเครื่องป้องกันส่วนตัว สามารถสกัดวิชาสังหารได้ไม่ว่าวิชาใด
เขาจึงเต็มใจลงมาทั้งที่รู้ถึงความเสี่ยง ว่าหากเขาเผยตัว เผ่าวิญญาณก็คงเล็งสังหารชายหนุ่มแทนที่จะเป็นศิษย์นิกายที่ตนรักเหมือนลูกอย่างไม่ต้องสงสัย หากเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้มีใครต้องทิ้งชีวิตไปสักคน
ซูเฉินคิดว่าวิชาสังหารสุดท้ายของอีกฝ่ายจะเป็นโลหิตสวรรค์ แต่กลับคาดการณ์พลาดเพราะยังไม่เข้าใจวิชานั้นดี
แม้โลหิตสวรรค์จะทรงพลัง แต่ก็มีข้อจำกัดหนึ่ง คือใช้ได้ในแดนพลังสูญแยกเดี่ยวเท่านั้น ดังนั้นเผ่าวิญญาณในหุบเขาทรุดจึงใช้เครื่องสังเวยเล็กน้อยและใช้วิชานี้ได้
แม้ถ้ำว่านไหลจะอยู่ใต้ดินและมีพลังต้นกำเนิดล้อมรอบจนแยกออกจากพื้นพสุธา แต่ก็ยังไม่ตัดขาดออกจากโลกภายนอกเสียทีเดียว ยังคงอยู่บนทวีปต้นกำเนิด การใช้โลหิตสวรรค์ในแดนขนาดใหญ่เช่นนี้ แม้เผ่าวิญญาณจะสังเวยชีพกันจนหมดก็คงไม่อาจใช้ได้
ดังนั้นมองมุมหนึ่ง โลหิตสวรรค์ก็นับเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ออกมาล้มเหลว ไม่มีวันเห็นความสำเร็จ
ทันทีที่ซูเฉินดึงแผ่นหินออกมา ก็รู้สึกถึงพลังแข็งแกร่งโอบล้อมร่างเอาไว้ ยึดเขาไว้กับที่ ขยับแม้สักนิดก็ไม่ได้
แต่กลับไม่เหมือนกับพลังทำลายล้างน่าเกรงขามของโลหิตสวรรค์ พลังนี้ราวกับกำลังแทรกซึมเข้าร่างเข้าไปโดยตรงมากกว่า
ความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้เริ่มซึมซาบไปทั่วร่าง รู้สึกราวกับถูกฉีกกระชากร่าง บิดร่างกายเขาเบี้ยวจนเกินทน
ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือเขาไม่สามารถต่อต้านมันได้เลย
นี่มัน… เกิดอะไรขึ้นกัน?
ซูเฉินรู้สึกราวกับร่างจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แต่ร่างกายทุกส่วนก็ยังอยู่ครบไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างไร
ดูเหมือนความเจ็บปวดทรมานนี้จะมาจากจิตงั้นหรือ?
แย่แล้ว!
เขารู้ทันทีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
เครื่องมือสกัดจิต!
เผ่าวิญญาณใช้เครื่องมือสกัดจิตกับเขา
นอกจากเผ่าจิตวิญญาณทมิฬแล้ว ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่สามารถทนอยู่ได้อีกหลังจากที่กายเนื้อแปรเปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณ เดิมทีเครื่องมือนี้ใช้สร้างเผ่าวิญญาณ แต่ตอนนี้เผ่าวิญญาณกลับนำมันมาใช้กับเขา
ที่สำคัญคือ เกราะป้องกันพลังสูญของแผ่นหินก็ไม่อาจช่วยอะไรได้
บัดซบ!
ซูเฉินก่นด่าอยู่ในใจ
เขารู้ว่าตนเองต้องรีบลงมือ ไม่เช่นนั้นยามที่เครื่องมือสกัดจิตทำการเปลี่ยนกายเนื้อของเขาให้กลายเป็นจิตวิญญาณโดยสมบูรณ์ เขาก็จะตายเข้าจริง ๆ
“อ๊าก!!!”
ซูเฉินคำรามลั่น
ภายนอกเห็นเพียงลูกกระเดือกของเขาปูดโปนขึ้นมาเล็กน้อย เค้นเอาเสียงจากลำคอออกมาได้นิดหนึ่ง แต่ในแดนพลังจิตนั้น เกิดแรงโจมตีจิตกล้าแข็งกระจายไปทั่วทิศทาง
ซูเฉินเริ่มสูญเสียการควบคุมกายเนื้อไป แต่ความแข็งแกร่งของพลังจิตเริ่มพุ่งสูงขึ้นเมื่อมันเริ่มตกผลึก
“คิดจะเปลี่ยนข้าให้กลายเป็นร่างวิญญาณงั้นหรือ?” ซูเฉินกัดฟันแน่น
เขาหันไปมองเผ่าวิญญาณเบื้องล่าง
เผ่าวิญญาณเหล่านั้นค่อย ๆ หายไป สลายกลายเป็นเถ้าธุลี ปากก็ยังร่ายคาถาไม่หยุด
นอกจากเผ่าวิญญาณเหล่านั้น ก็ยังมีเครื่องมือขนาดใหญ่น่าประหลาด เรืองแสงสีขาวออกมาจาง ๆ อยู่อีกเครื่องหนึ่ง
คงจะเป็นเครื่องมือสกัดจิต
เครื่องมือสกัดจิตทรงพลังเกินคาด มากเสียจนซูเฉินไม่สามารถต้านทานมันได้แม้แต่น้อย แต่มันก็มีจุดอ่อน นั่นคือกระบวนการต้องใช้เวลานานพอสมควร
ทำให้ซูเฉินมีโอกาสรอดอยู่เสี้ยวหนึ่ง
เขารู้ว่าตนเองเหลือเวลาอีกไม่มาก ร่างวิญญาณของเขาเริ่มก่อเกิดขึ้นแล้ว พลังจิตกำลังถูกดึงออกจากร่างอย่างช้า ๆ
พลังชีวิตของเขาก็ถูกดูดออกไปพร้อมกัน
แรกเริ่มก็ถูกดูดออกไปจากเท้าซ้าย ลามมาที่น่อง จากนั้นก็เป็นที่ต้นขา ลามไปจนถึงศีรษะ
หากมันขึ้นถึงศีรษะ พลังชีวิตทั้งหมดก็จะถูกดูดออกไป ร่างกายของเขาก็จะตาย เหลือไว้เพียงร่างวิญญาณเท่านั้น
ร่างจิตวิญญาณนี้จะอยู่ได้ไม่นาน หากปิดเครื่องมือสกัดจิตก็คงจะหายไปในทันที
นั่นก็เพราะว่าสิ่งมีชีวิตส่วนมากที่ไม่ใช่เผ่าจิตวิญญาณทมิฬมีพลังจิตไม่มากพอ ไม่สามารถอดทนกับสภาพแวดล้อมโหดร้ายโดยรอบเมื่อไม่ได้รับการปกป้องจากกายเนื้อได้
แต่ซูเฉินนั้นแตกต่าง พลังจิตของเขาถึงระดับที่มนุษย์คนใดยากที่จะสามารถบรรลุได้ ดังนั้นจึงมีโอกาสที่ร่างวิญญาณของเขาอาจจะคงอยู่
แต่กระนั้นซูเฉินก็ไม่คิดอยากจะเปลี่ยนเป็นร่างวิญญาณ
“ข้า… เป็น… มนุษย์!” ซูเฉินเค้นคำออกมาอย่างยากลำบาก จ้องมองเบื้องล่างด้วยแรงใจแข็งกล้าไม่สั่นคลอน
เขาไม่ต้องการเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดที่อยู่ระหว่างเส้นแบ่งเป็นตาย ไม่คิดจะทิ้งร่างกายมนุษย์ของตนไปเช่นนี้
แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไร จิตของเขาก็ยังถูกดึงออกจากกายเนื้อ ที่กำลังจะตายลงอย่างช้า ๆ
“ตายเสียเถอะ!” มั่วเนี่ยลาซือเงื้อไม้เท้ามณีสามสีขึ้นสูง ส่งพลังทั้งหมดเข้าเครื่องมือสกัดจิตเพื่อเร่งการทำงาน เขาสัมผัสได้ว่าชีวิตเผ่าวิญญาณตนอื่น ๆ ถูกใช้ไปทีละตน ๆ ทว่ามีแต่ต้องทำลายคู่ต่อสู้น่ากลัวเช่นนี้ลง เผ่าวิญญาณจึงจะพอมีทางรอด
ตายไปเสีย แล้วกลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกเราซะ!
เผ่าวิญญาณนับไม่ถ้วนคำรามเสียงเคียดแค้นออกมาพร้อมกัน
พวกเขาสามารถสัมผัสพลังจิตอันทรงพลังของซูเฉินได้ รู้ว่าอีกฝ่ายอาจกลายเป็นร่างวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็ดูไม่เสียขวัญสักนิด แต่กลับยิ่งตื่นเต้น ยิ่งเร่งเร้าเครื่องมือสกัดจิตให้ทำงานเร็วขึ้นไปอีก
ร่างจิตของซูเฉินยังคงลอยอยู่บนอากาศ แรงสลายดำเนินมาถึงอกเขาแล้ว
ดูจากภายนอกก็เหมือนไม่ได้เกิดอะไรขึ้นเลย ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตคิดว่าเขาเพียงหยุดมองอะไรบางอย่างเท่านั้น
จิตของซูเฉินทั้งขู่คำรามสะบัดไปมาไม่ยอมทน ทว่าก็เพียงสร้างคลื่นพลังจิตหลายระลอกออกมา ถูกเผ่าวิญญาณรวมพลังสกัดไว้ได้ มีเพียงเผ่าวิญญาณที่สัมผัสถึงความดิ้นรนของเขาได้ คนอื่นไม่รู้เลยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
บางทีสิ่งนี้อาจทำให้สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เศร้าโศกนัก แต่กลับนำพาความยินดีใหญ่หลวงมาให้เผ่าวิญญาณ
แก้แค้น!
แก้แค้น!
แก้แค้น!
เผ่าวิญญาณนับไม่ถ้วนพากันร้องส่งเสียงดุดัน จังหวะนั้น นิสัยเย็นชาสันโดษได้แปรเปลี่ยนเป็นอารมณ์ดิบเถื่อนไปแล้ว
“ตาย! เปลี่ยนร่างเสีย! กลายมาเป็นพวกเราเผ่าวิญญาณ!” มั่วเนี่ยลาซือคำรามออกมา ไม่อาจระงับความตื่นเต้นได้
ในที่สุดแรงทำลายก็ลามมาถึงคอ
ใบหน้าซูเฉินค่อย ๆ แข็งทื่อ
เป็นเหมือนดั่งรูปสลักยืนนิ่งอยู่กลางอากาศ
มันยังลามไปเรื่อย ๆ
ลามไปถึงปาก กลืนจมูก กินไปถึงดวงตา และในเฮือกสุดท้าย ก็แตะถึงหนังศีรษะ
จิตของซูเฉินออกจากร่างโดยสมบูรณ์แล้ว!!!
“การสกัดจิตสมบูรณ์!” มั่วเนี่ยลาซือโห่ร้องด้วยความปิติยินดี เครื่องมือสกัดจิตเริ่มลดพลังลงเมื่อทำงานสำเร็จเสร็จสิ้น
ยามสิ้นแสงสีขาว ก็เห็นชัดว่าเผ่าวิญญาณต้องสังเวยชีวิตไปนับพันเพื่อการทำงานครั้งนี้ เพื่อเปลี่ยนซูเฉินให้กลายเป็นร่างวิญญาณ
กระนั้นเพื่อกำจัดซูเฉินก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว
ร่างจิตของซูเฉินตอนนี้ลอยอยู่บนฟ้า
แต่มันกลับเป็นร่างที่มองไม่เห็น
มนุษย์และคนเถื่อนไม่อาจมองเห็น มีเพียงเผ่าวิญญาณที่เห็นว่าร่างเขาสว่างเจิดจ้าราวกับตะวันระอุในคืนเดือนมืด
มั่วเนี่ยลาซือไม่แปลกใจที่ร่างจิตของซูเฉินยังคงอยู่แม้เครื่องสกัดจิตจะหยุดการทำงานไปแล้วก็ตาม
พลังจิตเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการ เผ่าวิญญาณเชี่ยวชาญเรื่องนี้มานาน แต่กลับพบกับความยากลำบากในการเพิ่มพลังจิตให้กับเผ่าอื่นจนถึงระดับที่เหมาะสม และด้วยความที่แยกตัวออกมาจากเผ่าอื่น เผ่าวิญญาณจึงไม่เต็มใจหรือไม่สามารถเพาะพันธุ์เผ่าอื่นเพื่อการทดลองสกัดจิตได้
แต่ก็ยังใช้เครื่องมือกับเผ่าอื่นได้สำเร็จอยู่หลายคน ทำให้เกิดเผ่าวิญญาณพิเศษที่สามารถนำมาใช้ลงสนามรบได้
เผ่าวิญญาณพิสดารเหล่านั้นปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับสิ่งประดิษฐ์ล้มเหลวอื่นก่อนหน้า แต่เสียดายนักที่พวกมันถูกทะเลพลังของผู้เชี่ยวชาญนับหมื่นดูดกลืนไปแล้ว
ทว่ามั่วเนี่ยลาซือเชื่อว่าร่างจิตของซูเฉินจะแตกต่างออกไป
“เจ้ากำลังจะกลายเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของข้า เป็นวิญญาณอำมฤตดวงใหม่!” มั่วเนี่ยลาซือประกาศก้องตื่นเต้น
ความตายของซูเฉินย่อมทำให้ศัตรูปั่นป่วนแน่นอน ภัยคุกคามเผ่าวิญญาณได้ถูกจัดการแล้ว!
ร่างจิตใหม่นี้ต้องใช้เวลากว่าจะเกิดสมดุล มั่วเนี่ยลาซือจึงไม่สนมันอยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับหันไปทางสนามรบ “หยุดดิ้นรนเสียเถอะมนุษย์ผู้โง่เขลา! หัวหน้าเจ้าตายแล้ว! ชะตาพวกเจ้าดับแล้ว!”
น้ำเสียงมั่วเนี่ยลาซือดังก้องทั่วสนามต่อสู้ ทั้งมนุษย์และคนเถื่อนที่ได้ยินต่างพากันชะงักไป
ว่าอะไรนะ?
หัวหน้าพวกเขาตายแล้วงั้นหรือ?
แล้วซูเฉินที่ยืนอยู่บนฟ้านั่นคืออะไร? ก็เห็นยังลอยอยู่บนนั้นไม่ใช่หรือ?
จะตายได้อย่างไรกัน?
เผ่าวิญญาณสิ้นสติไปแล้วหรือ?
การโจมตีหยุดเพียงครู่หนึ่งก่อนจะดำเนินต่อในทันที
เห็นได้ชัดว่าคิดว่ามั่วเนี่ยลาซือโกหก
“เอาเถอะ อย่างไรก็ไร้ประโยชน์แล้ว” มั่วเนี่ยลาซือพึมพำ
ในเมื่อไม่เชื่อ เขาก็เต็มใจจะให้พวกมันได้ลิ้มรสความสิ้นหวังที่แท้จริงเอง
เขายกไม้เท้ามณีสามสีขึ้น เล็งไปยังกายเนื้อของซูเฉินบนฟ้า
กายเนื้อนั่นตายแล้ว แต่แม้จะไร้ชีพ มันกลับยังลอยเด่นอยู่บนฟ้าไม่ร่วงลงมา
ทำให้มั่วเนี่ยลาซือสงสัยเล็กน้อย
แต่มั่วเนี่ยลาซือคิดเพียงว่าคงเป็นกลที่ซูเฉินเตรียมไว้ หรืออาจเป็นผลจากสมบัติใดที่เขาพกติดตัว ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
แต่เมื่อไม้เท้าทำงาน ร่างของซูเฉินกลับไม่เริ่มเผาไหม้ เขาจึงรู้ว่าผิดปกติแล้ว
มั่วเนี่ยลาซือชะงักงันอย่างเห็นได้ชัด เขายกไม้เท้ามณีสามสีชี้ไปยังร่างของซูเฉินเป็นคราวที่สอง “จงมอดไหม้!”
ครั้งนี้เกิดบางอย่างขึ้นในที่สุด
เกิดแสงสีแดงปะทุขึ้นมาราวกับเปลวไฟปะทุที่กลางร่างของซูเฉิน
มั่วเนี่ยลาซือถอนหายใจโล่งอก
เขาเกลียดความฉงนใจ โดยเฉพาะความฉงนที่มาในยามสำคัญเช่นนี้
แต่ถึงแม้เปลวเพลิงดวงน้อยจะเริ่มมอดไหม้ แต่มันก็ไม่ลามไปยังส่วนอื่นของซากศพอย่างรวดเร็วดังที่เขาคิดไว้ กลับลามเลียไปช้า ๆ แทน
ที่น่าตกใจไปกว่านั้น ขณะที่เปลวไฟยังคงลามไปเรื่อย ซากศพนั่นก็เหมือนกับจะฟื้นคืนชีพขึ้นมา
ในเวลาเดียวกันนั้น ซูเฉินที่ควรต้องทิ้งร่างไปแล้วกลับลืมตาขึ้น “ความตายมันเป็นเช่นนี้เองหรือ? เส้นแบ่งระหว่างเป็นตายเต็มไปด้วยความลับล้ำลึกยิ่งนัก ทั้งน่ากลัวและอันตราย ขอบคุณท่านมาก มั่วเนี่ยลาซือ ที่มอบพลังจิตที่กล้าแข็งกว่าเดิมให้ข้า ช่วยกรุยหนทางสู่ราชันให้ข้า”
เขาว่าแล้ว เพลิงที่กลางกายเนื้อเขาก็ระเบิดพุ่งขึ้นฟ้าไป
เกิดเมฆประหลาดขึ้นบน ‘ท้องฟ้า’ สะท้อนตอบรับกับกายเนื้อเบื้องล่าง
“สวรรค์รองรับ…” มั่วเนี่ยลาซือร้องเสียงตกตะลึง “ด่านมหาราชัน!?”