ภาคที่ 6 บทที่ 122 สู่สวรรค์

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 122 สู่สวรรค์

ในระบบการบ่มเพาะพลังของมนุษย์ ยังมีกฎเกณฑ์ที่จำต้องก้าวถึงก่อนที่จะก้าวขึ้นสูงไปแต่ละขั้นได้อย่าง

เหมาะสมอยู่

ด่านก่อเกิดลมปราณเปิดทะเลทอง ด่านกลั่นโลหิตจุดโคมใจ ด่านทะลวงลมปราณก่อตำหนัก ด่านสู่พิสดารร่างแท่นบงกช ด่านผลาญจิตวิญญาณสร้างตำหนักเซียน ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินเปิดหยินหยาง ด่านมหาราชันจักต้องครองตำหนักสวรรค์ เพื่อให้สามารถเข้าใจเรื่องความเป็นตาย ขึ้นสู่จุดสูงสุดของการบ่มพลัง

แน่นอนว่าอธิบายเช่นนี้นับว่ายังง่ายกว่าการปฏิบัติจริงมาก

โดยง่ายก็คือ การทะลวงสู่ด่านมหาราชันจะต้องเปิดทางผ่านให้กับเจตจำนงแห่งสวรรค์ ดังนั้นจึงต้องสร้าง ‘ห้องต้อนรับ’ ขึ้นมาภายในร่าง เพื่อที่จะสามารถผสานเจตจำนงตนกับสวรรค์ได้

เหตุใดต้องทะลวงสู่ด่านนี้จึงจะสามารถเข้าใจกฎแห่งพลังได้? เพราะว่าอย่างน้อยสำหรับมนุษย์ การจะรับเจตจำนงแห่งสวรรค์ได้ มีแต่ต้องทะลวงสู่ด่านมหาราชันเท่านั้น

ดังนั้นด่านมหาราชันจึงเป็นรากฐานหลักในการควบคุมกฎแห่งพลัง ที่ซูเฉินสามารถทำได้เป็นเพราะโชคช่วยเท่านั้น

และสวรรค์รองรับก็คือการเปลี่ยนจากความตายเป็นชีวิต เป็นกระบวนการที่อันตรายเหลือหลาย ไม่ทันระวังเพียงเล็กน้อยก็อาจกลายเป็นสิ้นชีพได้

ซูเฉินอยู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินได้ไม่นาน แต่เพราะมีดวงตาคู่นี้การบ่มเพาะพลังจึงรวดเร็วยิ่งนัก รากฐานก็มั่นคง แต่ความเข้าใจในหนทางสู่ด่านมหาราชันมีเพียงผิวเผิน เขาเลยไม่คิดจะทะลวงด่านในเร็ววันนี้ เท่าที่เขาคาดการณ์ กว่าจะถึงจุดนั้นก็ใช้เวลาอีก 10 ปี

แต่สิ่งที่คิดไว้ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ชะตาลิขิต ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะถูกเครื่องมือสกัดจิตโจมตีเช่นนี้

เครื่องมือสกัดจิตดึงวิญญาณออกจากร่างเนื้อ ทำให้กายเนื้อตาย น่าตกใจไม่น้อยที่กระบวนการนี้ดันสอดคล้องกับขั้นแรกของการก้าวสู่ด่านมหาราชันพอดิบพอดี นั่นคือ ‘กายมลาย’

การทะลวงสู่ด่านมหาราชันยกระดับจิตและกายของมนุษย์ไปพร้อมกัน สุดท้ายก็ผสานทั้งสองเข้ากับเจตจำนงแห่งสวรรค์ สร้างองค์รวมสามสิ่งในหนึ่งเดียวขึ้นมา

ยามซูเฉินกำลังตาย เขาพลันรู้ว่ากระบวนการของเครื่องมือสกัดจิตมีความสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ที่มนุษย์จำเป็นต้องใช้ในการทะลวงสู่ด่านมหาราชันอยู่หลายข้อ เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว เขาจึงตระเตรียมตำหนักสวรรค์เพื่อรอรับเจตจำนงแห่งสวรรค์และผสานเป็นหนึ่งเดียวกันกับมัน

ความตายที่ตามมาด้วยการฟื้นคืนชีพ!

เขาตัดสินใจเช่นนั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมีความเสี่ยงสูงมาก

แต่เขาก็ไร้ทางเลือก หากไม่คว้าโอกาสนี้ไว้ ต่อไปก็คงไร้ความกล้าอีก

ดังนั้นซูเฉินจึงไม่ฝืนต่อต้านกระบวนการ เตรียมตัวพร้อมสำหรับการทะลวงสู่ด่านมหาราชัน

เขาเริ่มวางรากฐานตำหนักสวรรค์

การรับเจตจำนงแห่งสวรรค์มีส่วนเกี่ยวข้องกับก้าวที่สองสู่ด่านมหาราชัน… ‘ประกายแสง’

ในการทะลวงพลัง ประกายแสงเป็นขั้นที่ทั้งสำคัญมากและน้อยที่สุดไปพร้อมกัน

ที่สำคัญน้อยที่สุดเพราะว่าหากทำไม่สำเร็จก็ไม่ส่งผลใดต่อการทะลวง ดังนั้นจึงเป็นขั้นที่ค่อนข้างปลอดภัย

แต่กลับกันแล้ว มันก็เป็นขั้นที่สำคัญที่สุด เพราะจะเป็นขั้นที่เป็นตัวตัดสินว่าจะสามารถเข้าใจกฎแห่งพลังได้หรือไม่ หลังจากการทะลวงสู่ด่านมหาราชันแล้วจะไปได้ไกลแค่ไหน อยู่ที่ขั้นตอนนี้

ซูเฉินไม่รู้ว่าคนอื่นประสบพบเจอกับอะไรยามรับเจตจำนงแห่งสวรรค์ แต่ทันทีที่เขาสร้างตำหนักสวรรค์สำเร็จ กายมลายสิ้นแล้ว เขาก็พลันสัมผัสได้ถึงความลับซับซ้อนมากมายของใต้หล้านี้ได้อย่างชัดเจน

กฎแห่งพลัง!

กฎแห่งพลังไม่เคยกระจ่างแจ้งสู่สายตาเขาเช่นนี้มาก่อน

การมองเห็นของคนส่วนใหญ่มักเห็นเพียงหมอกเลือนพร่ามัวในขั้นประกายแสง แต่ซูเฉินกลับสามารถเห็นทุกสิ่งได้อย่างชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยสัมผัส

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าสิ่งที่ลึกซึ้งลึกลับ สิ่งที่ไม่สามารถใช้คำใดอธิบายได้นี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกในสายตาซูเฉินนั่นเอง

เขามีความเชี่ยวชาญในกฎแห่งพลังอยู่เล็กน้อยมานมนานแล้ว ระหว่างนั้นยังสามารถทำความเข้าใจในกฎแห่งพลังไฟ แสง และจิตได้อีกด้วย

ความเข้าใจในกฎแห่งพลังของเขาสูงกว่าคนทั่วไปที่อยู่ในระดับพื้นฐานพลังเช่นเขามาก ดังนั้นในขั้นตอนนี้ซึ่งนับว่ายากลำบากสำหรับผู้อื่น กลับเป็นขั้นตอนที่ง่ายที่สุดสำหรับเขา

ซูเฉินคิดได้ดังนั้นแล้ว ก็ไม่ยั้งมือออมแรง

ภายใต้ประกายแสงจ้า เขาจึงเริ่มล่วงรู้ถึงหลักการขั้นพื้นฐานที่บริสุทธิ์ที่สุดแห่งธรรมชาติ เติมเต็มความรู้ที่ยังขาดในอดีต

แต่ซูเฉินก็มีความลำบากเช่นกัน

ขั้นที่สามในการทะลวงด่านคือเชื่อมวิญญาณ

ร่างกายและวิญญาณจะผสานกัน จากนั้นขึ้นสู่สวรรค์

ซูเฉินทำข้อแรกไม่ได้ แต่ทำอย่างหลังได้ เพราะเครื่องมือสกัดจิตแยกร่างจิตจากกายเนื้อเขาไปแล้ว ทำให้มันไม่อาจเชื่อมต่อกันได้

และนี่ยังเป็นข้อแตกต่างที่สำคัญที่สุดในการทะลวงสู่ด่านมหาราชันและความสามารถของเครื่องมือสกัดจิต

ทะลวงสู่ด่านมหาราชันจำเป็นต้อง ‘แกล้ง’ ตาย แต่ความตายที่เกิดจากเครื่องมือสกัดจิตนั้นเป็นของจริง

ร่างกายจะเหี่ยวเฉาไปจริง ไม่อาจฟื้นคืนได้อีก เหลือไว้เพียงร่างจิตเท่านั้น

หากกายเนื้อไม่สามารถฟื้นคืนได้ เช่นนั้นความพยายามทั้งหลายก็สูญเปล่า อย่างไรมนุษย์ก็ไม่ได้เห็นกายเนื้อเป็นเพียงเปลือกนอกให้กายจิตใช้อาศัยอยู่เท่านั้น แต่มองมันเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการบ่มเพาะฝึกตน

แต่เคราะห์ดีที่ซูเฉินยังมีเทียนไขชีวิตติดตัวไว้

เทียนไขชีวิตจะช่วยเพิ่มพลังชีวิตได้ชั่วคราว

ของสิ่งนี้สามารถทำให้ ‘กระโดดข้ามด่านพลัง’ ได้ และทรงพลังมาก แท้จริงแล้วมันเต็มไปด้วยกฎแห่งพลังชีวิต

เทียนไขชีวิตใช้จิตวิญญาณจุดได้ ดังนั้นซูเฉินจึงจุดขึ้นมาหนึ่งเล่ม และวางมันไว้ในตำหนักสวรรค์ของตน

เปลวเพลิงนี้กลายเป็นแสงแห่งความหวังสุดท้ายที่ซูเฉินรั้งไว้หลังจากได้ตายไปแล้ว ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อกระบวนการของการทะลวงสู่ด่านมหาราชัน

แสงที่มั่วเนี่ยลาซือเห็นว่าโอบร่างซูเฉินนั้นมาจากเทียนไขชีวิต

มันโลดเต้นไปมาบนร่างชายหนุ่ม ระหว่างที่มันมอดไหม้ ร่างกายซูเฉินจึงมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง

ถึงตอนนั้นเองที่มั่วเนี่ยลาซือเข้าใจเรื่องราว

ซูเฉินคิดจะใช้โอกาสนี้ทะลวงสู่ด่านมหาราชัน!

“อย่าแม้แต่จะคิดเชียว!” มั่วเนี่ยลาซือตะโกนลั่น

เขายกไม้เท้าสามมณีขึ้นสูง ซัดริ้วพลังแห่งความตายใส่ซูเฉิน

มันคือลำแสงพิฆาต เมื่ออยู่ในมือมั่วเนี่ยลาซือก็ยิ่งน่าเกรงขาม กระทั่งด่านมหาราชันตัวจริงยังรับมือได้ยาก

มันรุดหน้าเข้าหาวิญญาณซูเฉิน หมายจะทำลายเสียให้สิ้น

เห็นได้ชัดว่ามั่วเนี่ยลาซือไม่คิดเปลี่ยนซูเฉินให้กลายเป็นเผ่าวิญญาณแล้ว

“สายไปแล้ว” ซูเฉินหัวร่อเมื่อเห็นลำแสงพุ่งเข้ามา

ซูเฉินร่างจิตยกมือขึ้น ชี้ไปตรงหน้า เกิดลำแสงคล้ายคลึงกันพุ่งออกมาปะทะ น่าตกใจนักที่ลำแสงพิฆาตไม่อาจบุกเข้ามาได้อีก วิชาอาร์คาร์น่าระดับตำนานกลับถูกสกัดได้เช่นนั้น

มั่วเนี่ยลาซือชะงักไป

ไม่ใช่เพราะซูเฉินสกัดการโจมตีเขาได้อย่างง่ายดาย แต่เป็นเพราะร่างจิตของซูเฉินเป็นคนลงมือโจมตีต่างหาก

หรือก็คือตอนนี้ซูเฉินมีร่างจิต นับว่ากลายเป็นเผ่าวิญญาณแล้ว!

แต่ร่างเนื้อเขาก็ยังคงอยู่ เช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่?

มั่วเนี่ยลาซือเริ่มรู้สึกสับสน

“ประหลาดใจงั้นหรือ?” ซูเฉินหัวเราะ

จากนั้นว่าต่อ “ข้าไม่ใช่ทั้งเผ่าวิญญาณหรือสิ่งมีชีวิตพลังจิตอะไรทั้งสิ้น”

ว่าแล้ว ร่างจิตของเขาก็แตกสลายกลายเป็นดาราระยับนับพัน พุ่งเข้าไปในร่างเนื้อ

มั่วเนี่ยลาซือจึงเข้าใจ

นี่ไม่ใช่ร่างจิต

มันคือร่างเซียน!

จิตของซูเฉินได้รับการยกระดับจนกลายเป็นเซียนไปแล้ว

ในก้าวสุดท้ายก่อนทะลวงสู่ด่านมหาราชัน

ขั้นตอนสุดท้ายจะเริ่มต้นหลังจากกายมลาย ประกายแสง และเชื่อมวิญญาณเสร็จสิ้นแล้ว จะเป็นการบ่มเพาะขัดเกลา เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพลังจิตขึ้นอย่างมาก

หรือก็คือมันเป็นขั้นแรกในการก้าวขึ้นเป็นเทพเซียนนั่นเอง

ดังนั้นผู้คนจึงเรียกมันว่าร่างเซียน

แต่มันก็เป็นเพียงทฤษฎี ไม่มีใครได้กลายเป็นเทพจริง ๆ เลยสักคน เพราะร่างเซียนที่สมบูรณ์จะต้องมีความสามารถในการใช้ร่างจิตเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในร่างเนื้อ

หากแต่วันนี้มั่วเนี่ยลาซือได้ประจักษ์สู่สายตาแล้ว

“ร่างเซียน…” เขาพึมพำออกมา

เขาเข้าใจแล้วว่าความสำเร็จของซูเฉินคงมีผลส่วนใหญ่มาจากเครื่องมือกลายวิญญาณเป็นแน่

เช่นการที่เครื่องมือสกัดจิตสามารถกลั่นจิตในร่างได้ก็มีประโยชน์มากแล้ว

แต่การที่ซูเฉินสามารถคว้าโอกาสในจังหวะคับขันชั่วพริบตาเป็นเรื่องที่น่าตกใจจริง ๆ

มั่วเนี่ยลาซือไม่คิดเลยว่าแทนที่จะสังหารซูเฉินทิ้งไปเสีย เครื่องมือสกัดจิตกลับยิ่งทำให้เขาแกร่งขึ้น ช่วยทะลวงสู่ด่านมหาราชันได้เช่นนี้

และสำหรับซูเฉิน ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก

เมื่อจิตของซูเฉินกลับคืนร่าง ตาของกายเนื้อก็ลืมขึ้น ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบาง “ขอบคุณท่านมาก มั่วเนี่ยลาซือ ดูเหมือนว่าหนทางการทะลวงสู่ด่านมหาราชันไม่ได้ยากเย็นอะไร เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าคงไม่สามารถให้ท่านทำลายเครื่องมือนี้ได้อีกต่อไป”

เทียนไขชีวิตยังคงเผาไหม้อยู่ในร่าง เขาใช้เป็นเล่มที่สามแล้ว มันส่องแสงเรืองออกมาจากภายใน เกิดเป็นแสงสว่างดูลึกล้ำส่องไปโดยรอบ

ตอนนั้นเอง มั่วเนี่ยลาซือพลันรู้สึกราวกับศัตรูตรงหน้าเป็นร่างจุติของสวรรค์ก็มิปาน!

ซูเฉินยกมือขึ้น “หมดเวลาของพวกเจ้าแล้ว เจ้าสิ่งมีชีวิตที่หมายจะหนีการพิพากษาแห่งชีวิตเอ๋ย ตอนนี้พวกเจ้าจงกลับไปยังที่ที่สมควรจะอยู่เสียเถอะ”

ว่าจบก็ปรากฏหลุมพลังขนาดใหญ่ขึ้นเหนือเมืองแห่งความมืดมน

พลังทำลายล้างของมันรุนแรงมาก ได้ยินเสียงคร่ำครวญเบา ๆ ดังมาจากหลุมพลังวน ราวกับว่าเป็นประตูผ่านไปยังคุกใต้ดินที่เต็มไปด้วยเรื่องน่าขวัญผวา

จากนั้นเผ่าวิญญาณตนแล้วตนเล่าก็ถูกดูดเข้าไปในนั้น ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่อาจต้านทานได้

“นี่มันวิชาอะไรกัน!?” หลี่ฉงซาน กู่ชิงลั่ว และคนอื่น ๆ เห็นแล้วก็ตื่นตะลึงไป

พวกเขารู้จักซูเฉินดี แต่ไม่เคยเห็นเขาใช้วิชานี้มาก่อน

“ดูเหมือนว่าจะได้วิชาใหม่มาใช้อีกแล้ว” จูเซียนเหยาว่า

“ไม่ใช่วิชาธรรมดาเสียด้วย” ฉู่อิงหว่านงึมงำ

“อย่างกับเปิดอุโมงค์ผ่านไปอีกแดนหนึ่งได้เลย แต่ข้ารู้สึกผิดปกติ เหมือนกับว่าแดนประหลาดแห่งนั้นไม่ได้มีอยู่จริง” ฉือไคฮวงเอ่ยเสียงฉงน

“มันเป็นแดนมายา ดินแดนประหลาดนั่นสร้างขึ้นจากมายา แท้จริงแล้วไม่ได้มีอยู่จริง ๆ!” หลี่ฉงซานเอ่ยเสียงมั่นใจ

แดนมายาคือโลก ‘ปลอม’ ที่ใช้วิชามายาสร้างขึ้นมา แต่สิ่งต่าง ๆ ภายในดูเหมือนของจริงเป็นยิ่งนัก

แดนมายาสมควรจะเป็นดินแดนที่สร้างขึ้นโดยผู้ที่เข้าใจกฎแห่งพลังมายา นับเป็นสุดยอดวิชามายา เมื่อสิ่งมีชีวิตถูกดึงเข้าไปในแดนมายา ทุกสิ่งอย่างในดินแดนนั้นจะกลายเป็นของจริง ทำให้ผู้ใช้สร้างสิ่งมีชีวิตภายในที่มีพลังเหนือจินตนาการขึ้นได้ ดังนั้นหากจะมีวิชาใดที่นับว่าเกินต้านทาน วิชาแดนมายาเหล่านี้ก็คงรั้งอันดับต้น ๆ

ซูเฉินไม่ใช่ผู้ใช้มายาที่เก่งที่สุด แล้วเขาสร้างแดนมายาขึ้นได้อย่างไร? ช่างเป็นเรื่องที่เกินคาดเสียจริง

หรือว่าจะเข้าใจกฎแห่งพลังมายาแล้ว?

น้ำเสียงซูเฉินลอยมา “ข้ายังไม่เข้าใจกฎแห่งพลังมายาหรอก เพียงแต่ยกระดับลักษณ์เจ็ดสายเลือดเป็นขั้นเซียน ทำให้สามารถสร้างสิ่งที่คล้ายกับแดนมายาขึ้นมาได้”

ยกระดับลักษณ์เจ็ดสายเลือดเป็นขั้นเซียน?

หมายความว่ายังไงกัน?

ไม่มีใครเข้าใจคำพูดเขา

ที่บนฟ้าสูง เมฆดำที่ก่อตัวเป็นวงเริ่มผันเปลี่ยน กลายเป็นหัวมังกรขนาดมหึมา

มันอ้าปากกว้าง กลืนกินเผ่าวิญญาณนับไม่ถ้วนเข้าไป พร้อมกับหอคอยทั้งหลายและเครื่องมือสกัดจิตเข้าไปทั้งหมดในคราวเดียว

ครั้งนี้ทุกคนได้เห็นชัดเจนแล้ว

มังกรนั้นยังคงเป็นลักษณ์มังกรสุริยะ โลกในร่างกายของมันก็ยังเป็นทิวทัศน์ลักษณ์เจ็ดสายเลือด แต่เมื่อซูเฉินใช้มันแล้ว ทิวทัศน์นี้ก็กลายเป็นโลกใบหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยภัยธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตดุร้ายทั้งหลายที่พร้อมฉีกกระชากร่างเผ่าวิญญาณออกเป็นชิ้น ๆ