บทที่ 123 ผนึกเซียน
ซูเฉินยังไม่เข้าใจกฎแห่งพลังมายาจริง ๆ แต่ดินแดนลักษณ์เจ็ดสายเลือดนี้ก็ไม่แตกต่างจากแดนมายาสักเสี้ยว เผ่าวิญญาณที่ถูกดูดเข้าไปภายในนับไม่ถ้วนต่างถูกแดนนั้นทรมานโดยมีซูเฉินคอยจับจ้องด้วยสายตาเย็นยะเยือก
ในฐานะที่เป็นผู้สร้างแดน เขามีอำนาจอยู่เหนือทุกสิ่ง จัดการเผ่าวิญญาณได้หลายวิธี แต่ซูเฉินก็ไม่ทำอะไร เพียงแต่จับจ้องอย่างเงียบเชียบ เปิดสัมผัสทั้งหมดแผ่ขยายออกไปเท่านั้น
ความรู้สึกนี้ช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน มันทำให้ซูเฉินนึกถึงเจ้าแดนฝันขึ้นมา
โลกของทั้งสองมีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง
ที่แตกต่างคือโลกของเจ้าแดนฝันสร้างขึ้นจากพลังจิตล้วน ในขณะที่โลกของซูเฉินไม่ใช่เช่นนั้น ดังนั้นมันจึงไม่กว้างขวางใหญ่โตได้เท่าแดนฝัน แต่ก็แลกกับการที่ซูเฉินสามารถควบคุมแดนได้มากกว่า
ซูเฉินมองเผ่าวิญญาณถูกดินแดนฉีกกระชากร่าง ก็พลันส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “ไร้สาระสิ้นดี”
เขาโบกมือคราหนึ่ง ส่งเผ่าวิญญาณเข้าไปภายในพลังสูญ ตอนที่ดึงกลับมาล้วนกลายเป็นผลึกพลังสูญกันจนหมด
“ซูเฉิน!!!” เสียงคำรามมั่วเนี่ยลาซือดังก้องฟ้า
ซูเฉินกลับไม่สนใจเขาสักนิด ศีรษะมังกรยักษ์พุ่งลงมาหามั่วเนี่ยลาซือที่กำลังยกมือขึ้น
ริ้วแสงสีดำสนิทพุ่งออกมาจากไม้เท้า นี่คือการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของผู้นำเผ่าวิญญาณแล้ว แต่เมื่อเทียบกับคนที่เพิ่งทะลวงด่านมหาราชันกลับด้อยกว่าชัดเจน
ความแตกต่างระหว่างด่านพลังมีไม่มาก แต่ความต่างของพลังนั้นมีสูง
มังกรยักษ์เหินร่างลงมาเมื่อแสงดำปะทะร่างมันแล้วจางลง
เปรี๊ยะ!
ไม้เท้าสามมณีเริ่มส่งเสียงแตกช้า ๆ ภายใต้แรงกดดัน ก่อนจะแตกกระจายในที่สุด
จังหวะนั้น มงกุฎของมั่วเนี่ยลาซือก็เริ่มขยับ เกิดวิญญาณประหลาดขึ้นสองตน คืออาเจียหลิวซือและขาปี่เอ๋อซือ เผ่าวิญญาณที่หลบหนีไปก่อนหน้าทั้งสองตน
ทั้งสองถูกดูดเข้าไปในมงกุฎของมั่วเนี่ยลาซือนี่เอง
เมื่ออดีตผู้นำเผ่าวิญญาณทั้งสองปรากฎตัวก็โผเข้าหามั่วเนี่ยลาซือทันที จังหวะนั้นมั่วเนี่ยลาซือก็ผสานร่างเข้ากับอาเจียหลิวซือและขาปี่เอ๋อซือ กลิ่นอายพลันลุกโชน เกิดแสงสว่างจ้าแผ่ออกจากร่าง
“อ้อ? ยังเหลืออุบายให้ใช้อยู่อีกสินะ” ซูเฉินเริ่มรู้สึกสนใจขึ้นอีกครั้ง
แม้การรวมร่างเผ่าวิญญาณทั้งสามเข้าด้วยกันจะมอบพลังล้นฟ้าให้ แต่ก็มีผลข้างเคียงรุนแรงเช่นกัน มองบางมุมก็ไม่อาจเรียกว่าไพ่ตายได้ มั่วเนี่ยลาซือใกล้จะตายอยู่รอมร่อ ไม่หวังเอาชนะอีก ขอแค่ก่อนตายได้โจมตีศัตรูอย่างแรงสักครั้งก็พอ
เมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ คนส่วนมากย่อมล่าถอย เพราะครั้งนี้คงจะเป็นวิชาสุดท้ายของศัตรูเข้าจริง ๆ แล้ว
ทว่าซูเฉินกลับอยากเห็นความแข็งแกร่งของเผ่าวิญญาณที่รวมร่างกันด้วยสายตาตน
ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ยอมถอย ศีรษะมังกรหายไป ตัวเขาไปปรากฏอยู่ข้างกายมั่วเนี่ยลาซือ
ถึงตอนนี้มั่วเนี่ยลาซือก็ได้กลายร่างเป็นเผ่าวิญญาณสามเศียร สูงกว่าสามร้อยจั้งแล้ว ใบหน้าบิดเบี้ยวขยับไปมาด้วยเพราะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตผสม ไม่เห็นคราบใบหน้าของมั่วเนี่ยลาซือหลงเหลืออยู่อีกต่อไป แต่ความเกลียดชังที่มีต่อซูเฉินกลับยังไม่ลดลงแม้แต่นิด
“เพื่อความรุ่งโรจน์ของเผ่าวิญญาณ!” มั่วเนี่ยลาซือร้องเสียงโหยหวนฟังไม่ชัดเจน ก่อนจะอ้าปากกว้างแล้วพุ่งเข้ากัดซูเฉิน
พายุพลังจิตอันรุนแรงซัดใส่ซูเฉิน
ซูเฉินรู้สึกราวกับว่ากำลังเผชิญกับคลื่นยักษ์สาดใส่ แรงกดดันที่ได้รับยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูด
แต่กระนั้นแรงกดดันดังกล่าวก็ไม่สามารถทำอะไรชายหนุ่มได้
หากเปรียบการโจมตีของมั่วเนี่ยลาซือเป็นพายุ ซูเฉินก็เหมือนเป็นหินผาตั้งตระหง่านมั่นคง
เป็นศิลาที่ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าลมจะพัดแรงโหมกระหน่ำสักเพียงไร
พายุพลังจิตนี้รุนแรงแต่ไม่แม่นยำ ดังนั้นจึงใช้ไม่ได้ผลกับเขา
แต่นี่เป็นเพียงการระบายความโกรธแค้นของมั่วเนี่ยลาซือเท่านั้น ยังไม่ใช่การโจมตีของจริง
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ต่างหากถึงจะเป็นปัญหาหนักที่เขาต้องรับมือ
ตูม!!!
พายุพลังจิตพัดผ่านซูเฉินไปแล้วแต่กลับไม่สลายหายไป มันยิ่งขยายใหญ่ขึ้น ปรากฏขึ้นเป็นกรงขังอย่างรวดเร็ว
ซูเฉินรู้สึกเหมือนตนเองเป็นเพียงใบหญ้าในแดนแห่งนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างดูสูงใหญ่ราวกับภูเขา ใหญ่เสียจนเหยียบเขาจมไว้ใต้ฝ่าเท้าได้
“แดนมายาหรือ?” ซูเฉินเลิกคิ้วขึ้นสูง
นี่ล่ะคือแดนมายาของแท้!
เขาสามารถทำให้ภาพลวงตาจับต้องได้ แม้มันจะมีตัวตนอยู่ภายในแดนมายาเพียงเท่านั้น แต่ก็เป็นสิ่งที่เขาสามารถควบคุมได้ สามารถใช้เพื่อกำจัดภัยคุกคามใด ๆ ที่ตนเองลากเข้าแดนมาได้
การรวมร่างทำให้มั่วเนี่ยลาซืออยู่เหนือขีดจำกัดของเผ่าวิญญาณส่วนมากไปแล้ว แกร่งกล้าเสียจนสามารถควบคุมกฎแห่งพลังมายาได้
ทว่าซูเฉินกลับผิดหวังยิ่งนัก “ได้เท่านั้นเองหรือ?”
“หากสังหารเจ้าได้ก็พอ!” มั่วเนี่ยลาซือคำรามลั่นดังจากท้องฟ้า
แรดตัวเท่าภูเขาขนาดย่อมวิ่งพุ่งเข้ามาทางซูเฉิน
“นี่มัน… ยังไกลจากคำว่าพอมากนัก!” ซูเฉินเพียงปล่อยหมัดหนึ่งออกไปเท่านั้น
ซึ่งดูราวกับมดตัวน้อยที่พยายามหยุดยั้งคชสารตัวใหญ่
แต่เจ้ามดกลับทำได้สำเร็จ
จังหวะที่ซูเฉินปล่อยท่าหมัดออกมา ลำแสงสีขาวจาง ๆ ก็พุ่งออกจากหมัด ปะทะเข้ากับกีบเท้าที่กำลังกระทืบลงมา กีบเท้าเจ้าแรดยักษ์แยกออกเป็นสองส่วน มันร้องเสียงเกรี้ยวกราด ก่อนร่างจะสลายกลายเป็นจุดแสงนับไม่ถ้วน
แดนมายาสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตในแดนสร้างอันตรายจริงขึ้นมาได้ แต่ไม่สามารถลดพละกำลังของซูเฉินลงได้
ดังนั้นแม้ว่ามั่วเนี่ยลาซือจะสรรค์สร้างแดนได้อย่างน่าเกรงขาม แต่พวกมันกลับไม่สามารถต้านรับหมัดเดียวของซูเฉินได้
เคราะห์ดีที่มั่วเนี่ยลาซือไม่ได้คิดใช้เพียงแรดตัวเดียว
แดนมายาเป็นแดนที่เต็มไปด้วยอันตราย ก็เพราะว่าสามารถสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้อย่างไม่จำกัด
“กองทัพไร้ที่สิ้นสุดของข้า จงออกมาเสีย กลืนกินมันให้สิ้น!”
สิ้นเสียงคำรามโกรธของมั่วเนี่ยลาซือ ภาพมายานับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นแล้วพุ่งเข้าใส่ซูเฉิน เคลื่อนตัวเข้ามาเรากับคลื่นยักษ์สาดใส่
สิ่งมีชีวิตมายาพวกนี้ค่อนข้างอ่อนแอ ซูเฉินซัดพลังคราวเดียวก็สังหารสิ้นได้ แต่ไม่ว่าเขาจะสังหารมากเท่าไหร่ พวกมันก็มากันไม่จบไม่สิ้น พอตัวหนึ่งตายอีกตัวก็มาแทนที่ วนเวียนไปเช่นนี้ไม่รู้จบ
ดังนั้นไม่ว่าจะโจมตีอย่างไรก็ไม่สามารถสังหารทหารมายาเหล่านี้ได้หมด
แม้แต่พืชพรรณรอบกายซูเฉินยังอันตราย หากถูกหญ้าแต่ละใบเข้า มันอาจระเบิดซัดริ้วคมออกมาแทงได้
แท้จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นลม เป็นเมฆ หรือเป็นฝน ก็สามารถทำอันตรายร้ายแรงได้ทั้งนั้น
นี่คือสิ่งที่น่ากลัวภายในแดนมายา หากผู้สร้างมีความประสงค์อันใด ทุกอย่างก็ก่อให้เกิดอันตรายได้ทั้งสิ้น
หากเป็นผู้ที่อ่อนแอกว่าซูเฉินมาก ถูกจับเข้ามาในแดนมายาแห่งนี้ ก็คงถูกกลืนกินไปนานแล้ว
กระทั่งซูเฉินยังเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า เจ้าพวกนั้นแม้จะอ่อนแอ แต่ในโลกจริงก็แกร่งเทียบเท่าด่านสู่พิสดารเลยทีเดียว การที่แดนมายาสามารถสร้างสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งเทียบเท่าด่านสู่พิสดารขึ้นมาได้อย่างไม่จำกัดเช่นนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแดนมายาเป็นสถานที่ที่อันตรายมากเพียงไหน
“น่าประทับใจไม่ใช่น้อยเลย!” นัยน์ตาของซูเฉินฉายแววตื่นเต้น “แต่ที่นี่เหมือนมีแต่ร่องรอยของตาแก่นั่นเต็มไปหมด ท่านคงจะเรียนมาจากเขางั้นสินะ? ดูแล้วท่านกับเขาก็สนิทสนมกันไม่น้อยเลยทีเดียว”
ครั้งนี้มั่วเนี่ยลาซือไม่สนใจคำอีกฝ่าย
ซูเฉินกลับหัวเราะ “แม้แดนมายาจะทรงพลัง แต่การใช้พลังหล่อเลี้ยงมันไว้ไม่ใช่เรื่องง่าย ในเมื่อเรามากันจนถึงจุดนี้แล้ว ข้าคงต้องขอนำกฎแห่งพลังใหม่ที่เพิ่งทำความเข้าใจได้มาใช้บ้าง”
กฎแห่งพลังใหม่ที่เพิ่งทำความเข้าใจ?
มั่วเนี่ยลาซือชะงักไป
ขั้นประกายแสงนับเป็นกระบวนการเหมาะเจาะที่จะทำความเข้าใจกฎแห่งพลังอื่นพอดิบพอดี
หากไม่ได้เลือกกฎแห่งพลังมายา ก็หมายความว่าเขาสนใจสิ่งอื่นที่เหนือไปกว่านั้น
มั่วเนี่ยลาซือพลันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเป็นตอนนั้นเองที่นัยน์ตาซูเฉินส่องแสงวาบขึ้น “ด้วยอำนาจคำของข้า ข้าขอมอบชีวา! จงตื่นขึ้น!”
สิ้นเสียงสั่ง เทพอสูรก็พุ่งเข้าใส่ซูเฉิน แต่จู่ ๆ มันก็หยุดเคลื่อนไหว ภายในดวงตาเกิดแสงสีแดงหม่น มันพลันแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า
มั่วเนี่ยลาซือสัมผัสได้ว่าสิ่งมีชีวิตมายาเหล่านั้นเหมือนจะหลุดจากการควบคุมของตนได้
เป็นไปได้อย่างไรกัน?
มันวิชาอะไรกัน?
พริบตาต่อมา เหล่าสัตว์อสูรก็เริ่มแยกย้ายกระจายตัว พุ่งเข้าใส่สัตว์อสูรที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของซูเฉิน เริ่มโจมตีพวกมัน
ไม่เพียงเท่านั้น กระทั่งต้นไม้และองค์ประกอบทางชีวภาพทั้งหลายในดินแดน ก็ราวกับจะมีเจตจำนงเป็นของตนเองขึ้นมา บ้างหันมาต่อสู้กันเอง บ้างก็โจมตีแดนมายาเลยด้วยซ้ำ
แดนมายาคือมั่วเนี่ยลาซือ ดังนั้นการโจมตีเหล่านี้ก็หมายถึงโจมตีตัวเขา
ความปั่นป่วนที่พลันเกิดส่งผลให้มั่วเนี่ยลาซือบาดเจ็บไม่น้อย เพิ่มภาระหนักในการใช้พลังมากขึ้น
“ไม่! เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร? มันเป็นไปได้อย่างไร!?” มั่วเนี่ยลาซือเริ่มร้องเสียงหวาดกลัวออกมา
“ข้าเพียงแต่มอบชีวิตที่พวกมันกระหายอยากได้มานานอย่างไรเล่า” ซูเฉินตอบเสียงสงบ
ที่เบื้องหลังคือลักษณ์เจ็ดสายเลือดซึ่งปรากฏขึ้นอีกครั้ง เทพอสูรทั้งเจ็ดซึ่งได้รับการยกย่องสูงส่งจากโลกจริงปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ มังกรสุริยะบินวนอยู่เหนือหัวท่าทางน่าเกรงขาม
พวกมันดูเหมือนจริงยิ่งนัก
มั่วเนี่ยลาซือพลันเข้าใจบางอย่าง ร้องขึ้นด้วยเสียงตื่นตะลึง “ร่างเซียน! ผนึกเซียนทุกสรรพสิ่ง! เจ้าทำความเข้าใจผนึกเซียนทุกสรรพสิ่งได้แล้วหรือ!?”
เห็นได้ชัดว่ากฎแห่งพลังประเภทนี้ สามารถทำให้สิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งและพัฒนาขึ้นอย่างไร้ที่สิ้นสุด สุดท้ายก็จะถึงขั้นที่ก้าวสู่การเป็นเซียนเป็นเทพเจ้าไป
นี่คือกฎแห่งพลังผนึกเซียนในตำนานที่ซูเฉินรู้จักตอนได้ร่างเซียน
ดังนั้นชายหนุ่มจึงได้บอกทุกคนเกี่ยวกับกฎแห่งพลังใหม่ที่ได้มาแล้ว ทว่าในตอนนั้นไม่มีใครคิดเชื่อ คิดว่าเขาเพียงคุยโวโอ้อวดเท่านั้น
แต่กระบวนการเกิดร่างเซียนมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่จะสามารถมอบให้ได้ ไม่ใช่ผลอันมาจากน้ำพักน้ำแรงของผู้ใด
ดังนั้นจึงไม่มีใครคาดคิดว่าจะสามารถเชี่ยวชาญกฎแห่งพลังผนึกเซียนได้ ถึงแม้มันจะมีอยู่จริงก็ตาม
คนที่สามารถทำได้ จะส่งใครให้กลายเป็นเทพเซียนก็ได้ทั้งนั้น
เช่นนี้เหนือกว่าการได้เป็นเทพเซียนเองเสียอีก
หากตนเองยังไม่สามารถเป็นเทพเซียนได้เอง แล้วจะมีแก่ใจไปสร้างคนอื่นให้เป็นเซียนได้หรือ?
ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดใส่ใจลองเพ้อฝันดูว่าหากได้กฎแห่งพลังเช่นนั้นมาอยู่ในมือจะเป็นอย่างไร
ในโลกที่เต็มไปด้วยม่านหมอกแห่งนั้น จะเห็นกฎแห่งพลังก็ยากมากแล้ว ใครจะไปสามารถเลือกกฎแห่งพลังที่ต้องการทำความเข้าใจได้กันเล่า?
แต่เจ้านี่ก็คือกฎแห่งพลังที่ซูเฉินเลือก
แท้จริงแล้วชายหนุ่มไม่ได้เลือกมันด้วยซ้ำ พอพละกำลังของเขาสูงถึงระดับหนึ่ง มันก็มาปรากฏขึ้นเอง
ก่อนหน้านี้ ซูเฉินเชี่ยวชาญกฎแห่งพลังสูญ และมีความเข้าใจส่วนหนึ่งในกฎแห่งพลังสายฟ้า ไฟ ลม และกฎแห่งพลังจิต
แต่ช่างน่าประหลาดนัก ที่ความเข้าใจในกฎแห่งพลังทั้งสี่ เป็นพื้นฐานของการเข้าใจกฎแห่งพลังผนึกเซียนเสียได้
หลังจากได้กฎแห่งพลังผนึกเซียนมาแล้ว ซูเฉินรู้ว่าตนเองจำเป็นต้องทำความเข้าใจกฎแห่งพลังอื่นให้ลึกซึ้งขึ้นเพื่อที่จะเชี่ยวชาญกฎแห่งพลังผนึกเซียนนี้ได้
ตอนนี้ร่างเซียนของเขาอยู่ขั้นสื่อสารกับสรรพสิ่ง ดังนั้นลักษณ์เจ็ดสายเลือดของเขาจึงพอเปรียบกับแดนมายาได้
แต่มันก็ไม่เหมือนแดนมายาที่สามารถทำให้มายาเป็นจริง ร่างเซียนมุ่งเน้นโลกจริงเสียมากกว่า
แม้แดนมายาที่สามารถสร้างมายาให้กลายเป็นจริงได้จะดูน่าชมเชย แต่มันก็อยู่ได้ภายในแดนมายาแห่งนั้นเท่านั้น พูดโดยง่ายก็คือเหมือนขู่ให้กลัวจะทำอะไรจริงไม่ได้ ทว่าร่างเซียนกลับสามารถมอบจิตวิญญาณให้กับสิ่งใดก็ตามที่มีตัวตนอยู่ สูงส่งถึงขั้นที่สามารถมีศักยภาพแฝงได้ทีเดียว
ในเชิงทฤษฎี กฎแห่งพลังผนึกเซียนของซูเฉินจะทำให้เขาอยู่เหนือทุกสิ่งอย่างเมื่อบรรลุถึงขั้นผนึกเซียนทุกสรรพสิ่งได้
แต่แน่นอนว่าหนทางยังอีกไกลนัก
แต่เขาก็มีความสามารถมอบเจตจำนงให้สิ่งมีชีวิตมายาเหล่านี้ได้ ทำให้พวกมันคิดกบฏ และเมื่อใช้พลังจากแดนมายา ซูเฉินก็สามารถแสดงลักษณ์เจ็ดสายเลือดได้อย่างเต็มที่สมบูรณ์
เมื่อซูเฉินเห็นเจ็ดเทพอสูรปรากฏขึ้นพร้อมกันเป็นครั้งแรก ก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “ไม่แปลกใจเลยที่คนเขาว่าศัตรูนั้นเป็นเสมือนบันไดแห่งการฝึกฝน หากไม่ได้ท่านช่วยเหลือ ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ถึงจะก้าวสู่จุดนี้ได้ มั่วเนี่ยลาซือ หากท่านยังทำอะไรได้อีก ก็แสดงออกมาเสียเถอะ”
เขาตั้งตารอดูทุกอย่างอยู่แล้ว…