ภาคที่ 6 บทที่ 123 ผนึกเซียน

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 123 ผนึกเซียน

ซูเฉินยังไม่เข้าใจกฎแห่งพลังมายาจริง ๆ แต่ดินแดนลักษณ์เจ็ดสายเลือดนี้ก็ไม่แตกต่างจากแดนมายาสักเสี้ยว เผ่าวิญญาณที่ถูกดูดเข้าไปภายในนับไม่ถ้วนต่างถูกแดนนั้นทรมานโดยมีซูเฉินคอยจับจ้องด้วยสายตาเย็นยะเยือก

ในฐานะที่เป็นผู้สร้างแดน เขามีอำนาจอยู่เหนือทุกสิ่ง จัดการเผ่าวิญญาณได้หลายวิธี แต่ซูเฉินก็ไม่ทำอะไร เพียงแต่จับจ้องอย่างเงียบเชียบ เปิดสัมผัสทั้งหมดแผ่ขยายออกไปเท่านั้น

ความรู้สึกนี้ช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน มันทำให้ซูเฉินนึกถึงเจ้าแดนฝันขึ้นมา

โลกของทั้งสองมีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง

ที่แตกต่างคือโลกของเจ้าแดนฝันสร้างขึ้นจากพลังจิตล้วน ในขณะที่โลกของซูเฉินไม่ใช่เช่นนั้น ดังนั้นมันจึงไม่กว้างขวางใหญ่โตได้เท่าแดนฝัน แต่ก็แลกกับการที่ซูเฉินสามารถควบคุมแดนได้มากกว่า

ซูเฉินมองเผ่าวิญญาณถูกดินแดนฉีกกระชากร่าง ก็พลันส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “ไร้สาระสิ้นดี”

เขาโบกมือคราหนึ่ง ส่งเผ่าวิญญาณเข้าไปภายในพลังสูญ ตอนที่ดึงกลับมาล้วนกลายเป็นผลึกพลังสูญกันจนหมด

“ซูเฉิน!!!” เสียงคำรามมั่วเนี่ยลาซือดังก้องฟ้า

ซูเฉินกลับไม่สนใจเขาสักนิด ศีรษะมังกรยักษ์พุ่งลงมาหามั่วเนี่ยลาซือที่กำลังยกมือขึ้น

ริ้วแสงสีดำสนิทพุ่งออกมาจากไม้เท้า นี่คือการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของผู้นำเผ่าวิญญาณแล้ว แต่เมื่อเทียบกับคนที่เพิ่งทะลวงด่านมหาราชันกลับด้อยกว่าชัดเจน

ความแตกต่างระหว่างด่านพลังมีไม่มาก แต่ความต่างของพลังนั้นมีสูง

มังกรยักษ์เหินร่างลงมาเมื่อแสงดำปะทะร่างมันแล้วจางลง

เปรี๊ยะ!

ไม้เท้าสามมณีเริ่มส่งเสียงแตกช้า ๆ ภายใต้แรงกดดัน ก่อนจะแตกกระจายในที่สุด

จังหวะนั้น มงกุฎของมั่วเนี่ยลาซือก็เริ่มขยับ เกิดวิญญาณประหลาดขึ้นสองตน คืออาเจียหลิวซือและขาปี่เอ๋อซือ เผ่าวิญญาณที่หลบหนีไปก่อนหน้าทั้งสองตน

ทั้งสองถูกดูดเข้าไปในมงกุฎของมั่วเนี่ยลาซือนี่เอง

เมื่ออดีตผู้นำเผ่าวิญญาณทั้งสองปรากฎตัวก็โผเข้าหามั่วเนี่ยลาซือทันที จังหวะนั้นมั่วเนี่ยลาซือก็ผสานร่างเข้ากับอาเจียหลิวซือและขาปี่เอ๋อซือ กลิ่นอายพลันลุกโชน เกิดแสงสว่างจ้าแผ่ออกจากร่าง

“อ้อ? ยังเหลืออุบายให้ใช้อยู่อีกสินะ” ซูเฉินเริ่มรู้สึกสนใจขึ้นอีกครั้ง

แม้การรวมร่างเผ่าวิญญาณทั้งสามเข้าด้วยกันจะมอบพลังล้นฟ้าให้ แต่ก็มีผลข้างเคียงรุนแรงเช่นกัน มองบางมุมก็ไม่อาจเรียกว่าไพ่ตายได้ มั่วเนี่ยลาซือใกล้จะตายอยู่รอมร่อ ไม่หวังเอาชนะอีก ขอแค่ก่อนตายได้โจมตีศัตรูอย่างแรงสักครั้งก็พอ

เมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ คนส่วนมากย่อมล่าถอย เพราะครั้งนี้คงจะเป็นวิชาสุดท้ายของศัตรูเข้าจริง ๆ แล้ว

ทว่าซูเฉินกลับอยากเห็นความแข็งแกร่งของเผ่าวิญญาณที่รวมร่างกันด้วยสายตาตน

ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ยอมถอย ศีรษะมังกรหายไป ตัวเขาไปปรากฏอยู่ข้างกายมั่วเนี่ยลาซือ

ถึงตอนนี้มั่วเนี่ยลาซือก็ได้กลายร่างเป็นเผ่าวิญญาณสามเศียร สูงกว่าสามร้อยจั้งแล้ว ใบหน้าบิดเบี้ยวขยับไปมาด้วยเพราะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตผสม ไม่เห็นคราบใบหน้าของมั่วเนี่ยลาซือหลงเหลืออยู่อีกต่อไป แต่ความเกลียดชังที่มีต่อซูเฉินกลับยังไม่ลดลงแม้แต่นิด

“เพื่อความรุ่งโรจน์ของเผ่าวิญญาณ!” มั่วเนี่ยลาซือร้องเสียงโหยหวนฟังไม่ชัดเจน ก่อนจะอ้าปากกว้างแล้วพุ่งเข้ากัดซูเฉิน

พายุพลังจิตอันรุนแรงซัดใส่ซูเฉิน

ซูเฉินรู้สึกราวกับว่ากำลังเผชิญกับคลื่นยักษ์สาดใส่ แรงกดดันที่ได้รับยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูด

แต่กระนั้นแรงกดดันดังกล่าวก็ไม่สามารถทำอะไรชายหนุ่มได้

หากเปรียบการโจมตีของมั่วเนี่ยลาซือเป็นพายุ ซูเฉินก็เหมือนเป็นหินผาตั้งตระหง่านมั่นคง

เป็นศิลาที่ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าลมจะพัดแรงโหมกระหน่ำสักเพียงไร

พายุพลังจิตนี้รุนแรงแต่ไม่แม่นยำ ดังนั้นจึงใช้ไม่ได้ผลกับเขา

แต่นี่เป็นเพียงการระบายความโกรธแค้นของมั่วเนี่ยลาซือเท่านั้น ยังไม่ใช่การโจมตีของจริง

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ต่างหากถึงจะเป็นปัญหาหนักที่เขาต้องรับมือ

ตูม!!!

พายุพลังจิตพัดผ่านซูเฉินไปแล้วแต่กลับไม่สลายหายไป มันยิ่งขยายใหญ่ขึ้น ปรากฏขึ้นเป็นกรงขังอย่างรวดเร็ว

ซูเฉินรู้สึกเหมือนตนเองเป็นเพียงใบหญ้าในแดนแห่งนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างดูสูงใหญ่ราวกับภูเขา ใหญ่เสียจนเหยียบเขาจมไว้ใต้ฝ่าเท้าได้

“แดนมายาหรือ?” ซูเฉินเลิกคิ้วขึ้นสูง

นี่ล่ะคือแดนมายาของแท้!

เขาสามารถทำให้ภาพลวงตาจับต้องได้ แม้มันจะมีตัวตนอยู่ภายในแดนมายาเพียงเท่านั้น แต่ก็เป็นสิ่งที่เขาสามารถควบคุมได้ สามารถใช้เพื่อกำจัดภัยคุกคามใด ๆ ที่ตนเองลากเข้าแดนมาได้

การรวมร่างทำให้มั่วเนี่ยลาซืออยู่เหนือขีดจำกัดของเผ่าวิญญาณส่วนมากไปแล้ว แกร่งกล้าเสียจนสามารถควบคุมกฎแห่งพลังมายาได้

ทว่าซูเฉินกลับผิดหวังยิ่งนัก “ได้เท่านั้นเองหรือ?”

“หากสังหารเจ้าได้ก็พอ!” มั่วเนี่ยลาซือคำรามลั่นดังจากท้องฟ้า

แรดตัวเท่าภูเขาขนาดย่อมวิ่งพุ่งเข้ามาทางซูเฉิน

“นี่มัน… ยังไกลจากคำว่าพอมากนัก!” ซูเฉินเพียงปล่อยหมัดหนึ่งออกไปเท่านั้น

ซึ่งดูราวกับมดตัวน้อยที่พยายามหยุดยั้งคชสารตัวใหญ่

แต่เจ้ามดกลับทำได้สำเร็จ

จังหวะที่ซูเฉินปล่อยท่าหมัดออกมา ลำแสงสีขาวจาง ๆ ก็พุ่งออกจากหมัด ปะทะเข้ากับกีบเท้าที่กำลังกระทืบลงมา กีบเท้าเจ้าแรดยักษ์แยกออกเป็นสองส่วน มันร้องเสียงเกรี้ยวกราด ก่อนร่างจะสลายกลายเป็นจุดแสงนับไม่ถ้วน

แดนมายาสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตในแดนสร้างอันตรายจริงขึ้นมาได้ แต่ไม่สามารถลดพละกำลังของซูเฉินลงได้

ดังนั้นแม้ว่ามั่วเนี่ยลาซือจะสรรค์สร้างแดนได้อย่างน่าเกรงขาม แต่พวกมันกลับไม่สามารถต้านรับหมัดเดียวของซูเฉินได้

เคราะห์ดีที่มั่วเนี่ยลาซือไม่ได้คิดใช้เพียงแรดตัวเดียว

แดนมายาเป็นแดนที่เต็มไปด้วยอันตราย ก็เพราะว่าสามารถสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้อย่างไม่จำกัด

“กองทัพไร้ที่สิ้นสุดของข้า จงออกมาเสีย กลืนกินมันให้สิ้น!”

สิ้นเสียงคำรามโกรธของมั่วเนี่ยลาซือ ภาพมายานับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นแล้วพุ่งเข้าใส่ซูเฉิน เคลื่อนตัวเข้ามาเรากับคลื่นยักษ์สาดใส่

สิ่งมีชีวิตมายาพวกนี้ค่อนข้างอ่อนแอ ซูเฉินซัดพลังคราวเดียวก็สังหารสิ้นได้ แต่ไม่ว่าเขาจะสังหารมากเท่าไหร่ พวกมันก็มากันไม่จบไม่สิ้น พอตัวหนึ่งตายอีกตัวก็มาแทนที่ วนเวียนไปเช่นนี้ไม่รู้จบ

ดังนั้นไม่ว่าจะโจมตีอย่างไรก็ไม่สามารถสังหารทหารมายาเหล่านี้ได้หมด

แม้แต่พืชพรรณรอบกายซูเฉินยังอันตราย หากถูกหญ้าแต่ละใบเข้า มันอาจระเบิดซัดริ้วคมออกมาแทงได้

แท้จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นลม เป็นเมฆ หรือเป็นฝน ก็สามารถทำอันตรายร้ายแรงได้ทั้งนั้น

นี่คือสิ่งที่น่ากลัวภายในแดนมายา หากผู้สร้างมีความประสงค์อันใด ทุกอย่างก็ก่อให้เกิดอันตรายได้ทั้งสิ้น

หากเป็นผู้ที่อ่อนแอกว่าซูเฉินมาก ถูกจับเข้ามาในแดนมายาแห่งนี้ ก็คงถูกกลืนกินไปนานแล้ว

กระทั่งซูเฉินยังเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า เจ้าพวกนั้นแม้จะอ่อนแอ แต่ในโลกจริงก็แกร่งเทียบเท่าด่านสู่พิสดารเลยทีเดียว การที่แดนมายาสามารถสร้างสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งเทียบเท่าด่านสู่พิสดารขึ้นมาได้อย่างไม่จำกัดเช่นนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแดนมายาเป็นสถานที่ที่อันตรายมากเพียงไหน

“น่าประทับใจไม่ใช่น้อยเลย!” นัยน์ตาของซูเฉินฉายแววตื่นเต้น “แต่ที่นี่เหมือนมีแต่ร่องรอยของตาแก่นั่นเต็มไปหมด ท่านคงจะเรียนมาจากเขางั้นสินะ? ดูแล้วท่านกับเขาก็สนิทสนมกันไม่น้อยเลยทีเดียว”

ครั้งนี้มั่วเนี่ยลาซือไม่สนใจคำอีกฝ่าย

ซูเฉินกลับหัวเราะ “แม้แดนมายาจะทรงพลัง แต่การใช้พลังหล่อเลี้ยงมันไว้ไม่ใช่เรื่องง่าย ในเมื่อเรามากันจนถึงจุดนี้แล้ว ข้าคงต้องขอนำกฎแห่งพลังใหม่ที่เพิ่งทำความเข้าใจได้มาใช้บ้าง”

กฎแห่งพลังใหม่ที่เพิ่งทำความเข้าใจ?

มั่วเนี่ยลาซือชะงักไป

ขั้นประกายแสงนับเป็นกระบวนการเหมาะเจาะที่จะทำความเข้าใจกฎแห่งพลังอื่นพอดิบพอดี

หากไม่ได้เลือกกฎแห่งพลังมายา ก็หมายความว่าเขาสนใจสิ่งอื่นที่เหนือไปกว่านั้น

มั่วเนี่ยลาซือพลันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเป็นตอนนั้นเองที่นัยน์ตาซูเฉินส่องแสงวาบขึ้น “ด้วยอำนาจคำของข้า ข้าขอมอบชีวา! จงตื่นขึ้น!”

สิ้นเสียงสั่ง เทพอสูรก็พุ่งเข้าใส่ซูเฉิน แต่จู่ ๆ มันก็หยุดเคลื่อนไหว ภายในดวงตาเกิดแสงสีแดงหม่น มันพลันแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า

มั่วเนี่ยลาซือสัมผัสได้ว่าสิ่งมีชีวิตมายาเหล่านั้นเหมือนจะหลุดจากการควบคุมของตนได้

เป็นไปได้อย่างไรกัน?

มันวิชาอะไรกัน?

พริบตาต่อมา เหล่าสัตว์อสูรก็เริ่มแยกย้ายกระจายตัว พุ่งเข้าใส่สัตว์อสูรที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของซูเฉิน เริ่มโจมตีพวกมัน

ไม่เพียงเท่านั้น กระทั่งต้นไม้และองค์ประกอบทางชีวภาพทั้งหลายในดินแดน ก็ราวกับจะมีเจตจำนงเป็นของตนเองขึ้นมา บ้างหันมาต่อสู้กันเอง บ้างก็โจมตีแดนมายาเลยด้วยซ้ำ

แดนมายาคือมั่วเนี่ยลาซือ ดังนั้นการโจมตีเหล่านี้ก็หมายถึงโจมตีตัวเขา

ความปั่นป่วนที่พลันเกิดส่งผลให้มั่วเนี่ยลาซือบาดเจ็บไม่น้อย เพิ่มภาระหนักในการใช้พลังมากขึ้น

“ไม่! เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร? มันเป็นไปได้อย่างไร!?” มั่วเนี่ยลาซือเริ่มร้องเสียงหวาดกลัวออกมา

“ข้าเพียงแต่มอบชีวิตที่พวกมันกระหายอยากได้มานานอย่างไรเล่า” ซูเฉินตอบเสียงสงบ

ที่เบื้องหลังคือลักษณ์เจ็ดสายเลือดซึ่งปรากฏขึ้นอีกครั้ง เทพอสูรทั้งเจ็ดซึ่งได้รับการยกย่องสูงส่งจากโลกจริงปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ มังกรสุริยะบินวนอยู่เหนือหัวท่าทางน่าเกรงขาม

พวกมันดูเหมือนจริงยิ่งนัก

มั่วเนี่ยลาซือพลันเข้าใจบางอย่าง ร้องขึ้นด้วยเสียงตื่นตะลึง “ร่างเซียน! ผนึกเซียนทุกสรรพสิ่ง! เจ้าทำความเข้าใจผนึกเซียนทุกสรรพสิ่งได้แล้วหรือ!?”

เห็นได้ชัดว่ากฎแห่งพลังประเภทนี้ สามารถทำให้สิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งและพัฒนาขึ้นอย่างไร้ที่สิ้นสุด สุดท้ายก็จะถึงขั้นที่ก้าวสู่การเป็นเซียนเป็นเทพเจ้าไป

นี่คือกฎแห่งพลังผนึกเซียนในตำนานที่ซูเฉินรู้จักตอนได้ร่างเซียน

ดังนั้นชายหนุ่มจึงได้บอกทุกคนเกี่ยวกับกฎแห่งพลังใหม่ที่ได้มาแล้ว ทว่าในตอนนั้นไม่มีใครคิดเชื่อ คิดว่าเขาเพียงคุยโวโอ้อวดเท่านั้น

แต่กระบวนการเกิดร่างเซียนมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่จะสามารถมอบให้ได้ ไม่ใช่ผลอันมาจากน้ำพักน้ำแรงของผู้ใด

ดังนั้นจึงไม่มีใครคาดคิดว่าจะสามารถเชี่ยวชาญกฎแห่งพลังผนึกเซียนได้ ถึงแม้มันจะมีอยู่จริงก็ตาม

คนที่สามารถทำได้ จะส่งใครให้กลายเป็นเทพเซียนก็ได้ทั้งนั้น

เช่นนี้เหนือกว่าการได้เป็นเทพเซียนเองเสียอีก

หากตนเองยังไม่สามารถเป็นเทพเซียนได้เอง แล้วจะมีแก่ใจไปสร้างคนอื่นให้เป็นเซียนได้หรือ?

ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดใส่ใจลองเพ้อฝันดูว่าหากได้กฎแห่งพลังเช่นนั้นมาอยู่ในมือจะเป็นอย่างไร

ในโลกที่เต็มไปด้วยม่านหมอกแห่งนั้น จะเห็นกฎแห่งพลังก็ยากมากแล้ว ใครจะไปสามารถเลือกกฎแห่งพลังที่ต้องการทำความเข้าใจได้กันเล่า?

แต่เจ้านี่ก็คือกฎแห่งพลังที่ซูเฉินเลือก

แท้จริงแล้วชายหนุ่มไม่ได้เลือกมันด้วยซ้ำ พอพละกำลังของเขาสูงถึงระดับหนึ่ง มันก็มาปรากฏขึ้นเอง

ก่อนหน้านี้ ซูเฉินเชี่ยวชาญกฎแห่งพลังสูญ และมีความเข้าใจส่วนหนึ่งในกฎแห่งพลังสายฟ้า ไฟ ลม และกฎแห่งพลังจิต

แต่ช่างน่าประหลาดนัก ที่ความเข้าใจในกฎแห่งพลังทั้งสี่ เป็นพื้นฐานของการเข้าใจกฎแห่งพลังผนึกเซียนเสียได้

หลังจากได้กฎแห่งพลังผนึกเซียนมาแล้ว ซูเฉินรู้ว่าตนเองจำเป็นต้องทำความเข้าใจกฎแห่งพลังอื่นให้ลึกซึ้งขึ้นเพื่อที่จะเชี่ยวชาญกฎแห่งพลังผนึกเซียนนี้ได้

ตอนนี้ร่างเซียนของเขาอยู่ขั้นสื่อสารกับสรรพสิ่ง ดังนั้นลักษณ์เจ็ดสายเลือดของเขาจึงพอเปรียบกับแดนมายาได้

แต่มันก็ไม่เหมือนแดนมายาที่สามารถทำให้มายาเป็นจริง ร่างเซียนมุ่งเน้นโลกจริงเสียมากกว่า

แม้แดนมายาที่สามารถสร้างมายาให้กลายเป็นจริงได้จะดูน่าชมเชย แต่มันก็อยู่ได้ภายในแดนมายาแห่งนั้นเท่านั้น พูดโดยง่ายก็คือเหมือนขู่ให้กลัวจะทำอะไรจริงไม่ได้ ทว่าร่างเซียนกลับสามารถมอบจิตวิญญาณให้กับสิ่งใดก็ตามที่มีตัวตนอยู่ สูงส่งถึงขั้นที่สามารถมีศักยภาพแฝงได้ทีเดียว

ในเชิงทฤษฎี กฎแห่งพลังผนึกเซียนของซูเฉินจะทำให้เขาอยู่เหนือทุกสิ่งอย่างเมื่อบรรลุถึงขั้นผนึกเซียนทุกสรรพสิ่งได้

แต่แน่นอนว่าหนทางยังอีกไกลนัก

แต่เขาก็มีความสามารถมอบเจตจำนงให้สิ่งมีชีวิตมายาเหล่านี้ได้ ทำให้พวกมันคิดกบฏ และเมื่อใช้พลังจากแดนมายา ซูเฉินก็สามารถแสดงลักษณ์เจ็ดสายเลือดได้อย่างเต็มที่สมบูรณ์

เมื่อซูเฉินเห็นเจ็ดเทพอสูรปรากฏขึ้นพร้อมกันเป็นครั้งแรก ก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “ไม่แปลกใจเลยที่คนเขาว่าศัตรูนั้นเป็นเสมือนบันไดแห่งการฝึกฝน หากไม่ได้ท่านช่วยเหลือ ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ถึงจะก้าวสู่จุดนี้ได้ มั่วเนี่ยลาซือ หากท่านยังทำอะไรได้อีก ก็แสดงออกมาเสียเถอะ”

เขาตั้งตารอดูทุกอย่างอยู่แล้ว…