ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 145 คนในลานบ้านรักกันล้ำลึกเพียงใด

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ภายในลานบ้านที่มิดชิด ชายหญิงสวมกอดกัน ความรักของพวกเขาลึกซึ้งเพียงใดยากบอกได้

ตรงข้ามพวกเขาคือต้นไหวโบราณที่เหลือใบอยู่ไม่กี่ใบ แม้ว่าอยู่ในฤดูหนาว ใต้ต้นไม้มีคนสวมชุดสีน้ำเงินยืนอยู่

คนผู้นี้สวมหน้ากากทองเหลืองทำให้เขาดูราวกับภูตผี

มู่จิ่วซือแบนศีรษะกับไหล่ของเปี๋ยเทียนซิวและมองไปที่คนชุดน้ำเงินเงียบๆ

มันเป็นภาพที่ประหลาดยิ่ง

เปี๋ยเทียนซินไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย

คนในชุดสีน้ำเงินส่ายหน้า เงาของใบไม้บนต้นไหวทาบลงบนหน้ากากเคลื่อนไหวเล็กน้อย

มู่จิ่วซือขมวดคิ้วเล็กน้อยจากนั้นก็หลับตา ไม่มองไปที่คนผู้นั้นอีก

เปี๋ยเทียนซินรับรู้ได้และเขาก็พลันรู้สึกร้อนขึ้นมาเล็กน้อย เขาต้องการจะยื่นมือออกไปแต่ก็ไม่กล้า

ผ่านไปครู่หนึ่งลมเย็นก็พัดผ่านต้นไหวโบราณ ทำให้เกิดการสั่นไหว เปี๋ยเทียนซินจากลานบ้านไปอย่างไม่เต็มใจนัก

มู่จิ่วซือเดินไปใต้ต้นไหวโบราณและจ้องไปที่ดวงตาใต้หน้ากากของคนชุดน้ำเงิน นางถาม “ทำไมไม่ให้ข้าฆ่าเขา”

คนชุดน้ำเงินพูดด้วยเสียงค่อนข้างจริงจัง “เจ้าควรเข้าใจดีว่าการฆ่าเขาเป็นแค่วิธีการไม่ใช่เป้าหมาย”

น้ำเสียงของมู่จิ่วซือเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวขึ้นมา “จะทำให้เฉินฉางเซิงพบกับเจ้าขยะนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จะพลาดโอกาสนี้ได้อย่างไร!”

คนชุดน้ำเงินตอบ “ต่อให้เจ้าฆ่าเปี๋ยเทียนซิน เราก็ไม่อาจป้ายความผิดให้เฉินฉางเซิงได้”

มู่จิ่วซือย้อน “ลมหายใจมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งยังไม่พออีกหรือ ถึงอย่างไรทั่วทั้งต้าลู่ก็มีแค่เขาเท่านั้นที่มีอยู่ข้างกาย”

คนชุดน้ำเงินตอบ “ปัญหาก็คือจูซาไม่ได้อยู่ข้างกายเฉินฉางเซิงในวันนี้”

มู่จิ่วซือตะลึงแล้วถามกลับ “แล้วหญิงสาวที่อยู่ข้างกายเขาตอนนี้เป็นใครกัน”

คนผู้นั้นตอบ “ข้าไม่รู้ ตอนนี้มีคนไปสืบเรื่องนี้แล้ว”

มู่จิ่วซือคิดถึงภาพจากเมื่อครู่ที่ผ่านมา ใบหน้างดงามของนางเผยความเกลียดชังอย่างที่สุด “แล้วข้าต้องทนไปอีกนานแค่ไหน”

หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง คนในชุดสีน้ำเงินก็ตอบ “ไม่มีใครรู้ว่าจังหวะที่ดีที่สุดจะมาถึงตอนไหน เราต้องรอต่อไป”

มู่จิ่วซือย้อน “แล้วเราก็แค่ดูเฉินฉางเซิงเข้าเมืองเวิ่นสุ่ยไปอย่างนั้นหรือ”

คนชุดสีน้ำเงินลูบศีรษะนางอย่างเอ็นดูและกล่าว “ต่อให้เขาเข้าเมืองเวิ่นสุ่ย เขาก็ไม่อาจส่งผลต่อสถานการณ์ภายในเมืองหรือสถานการณ์โดยรวมได้แม้แต่น้อย คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในเมืองนั้นแซ่ถัง แม้แต่เทียนไห่หรืออิ๋นก็ไม่อาจที่จะรับมือได้ แล้วเขาจะทำอะไรได้ แน่นอนว่าเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องประหลาดใจขึ้น มีคนจำนวนหนึ่งซึ่งรวมถึงตัวข้าด้วยพยายามที่จะกันเขาออกไป”

……

……

ในแดนใต้ที่อบอุ่นและรุ่งเรือง หนวดเครารุงรังอาจกระตุ้นสายตาหวาดกลัวและผลักไส แต่ในแดนเหนือบนชายแดนที่คุกรุ่นไปด้วยเลือดและเพลิงมาเป็นเวลาหลายปี มันกลับมอบความได้เปรียบมากมาย ยกตัวอย่างเช่นสามารถสบถด่าและแย่งไหสุรามาจากมือเถ้าแก่โรงเตี๊ยม แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร

มันก็แค่ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ตอนที่ดื่ม

ไม่ว่าจะแค่จิบหรือดื่มอึกใหญ่อย่างห้าวหาญ ทว่าหนวดเคราก็เปรอะสุราได้อย่างง่ายดาย

ในตอนนั้นความรู้สึกนี้ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรนัก แต่หลังจากตื่นขึ้นมาพร้อมอาการเมาค้างมันก็เป็นความรู้สึกเหนียวเหนอะที่น่าหงุดหงิดทีเดียว ทำให้ต้องล้างหนวดเคราอยู่หลายครั้ง

หลังจากไว้เครามาสามปี หลัวปู้มองดูเหล้าที่หยดจากเคราลงพื้นและคิดเป็นครั้งแรกว่าจะโกนทิ้งดีหรือไม่

จากนั้นเขาก็เริ่มคิด ข้าสนใจเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

ดื่มเหล้ากินเนื้อด้วยปากที่เต็มไปด้วยหนวดเคราเป็นสิ่งที่เขาได้พบเจอมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ทำไมเขาถึงไม่สนใจตอนที่อยู่ในกองทหารม้าลาดตระเวนชีหลีซีหรือที่คอกม้าผาชัน แต่กลับมาสนใจในตอนนี้

บางทีเป็นเพราะเขาได้รู้จักกับคนผู้หนึ่งที่รักความสะอาดเป็นอย่างมากในช่วงไม่กี่วันมานี้หรือเปล่า ตอนที่คนผู้นั้นตื่นขึ้นมาจากการหมดสติ เขาไม่อาจกระดิกนิ้วได้ด้วยซ้ำ เลยใช้สายตาบอกให้คนอื่นช่วยเช็ดหน้าให้ ในขณะที่ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ เขาก็ไม่ลืมที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าทุกวัน เหมือนกับเด็กสาวคนนั้น

หลัวปู้นิ่งเงียบไปเมื่อคิดขึ้นมาได้ หรือว่านี่จะเป็นคนแบบที่ศิษย์น้องชอบ ในตอนนั้นเองที่เขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างและเงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกโรงเตี๊ยม ทันเห็นเปี๋ยเทียนซินเดินออกมาจากตรอกพอดี

เช้านี้นอกร้านขายน้ำหอม เขาเห็นเปี๋ยเทียนซินและตามไปได้พบกับบ้านที่ซ่อนอยู่ในตรอก ทว่าเขาไม่ได้เข้าไป เขาสัมผัสได้ว่ามีบางคนในลานบ้าน คนที่แข็งแกร่งอย่างมาก

หลัวปู้เอาดินสอออกมาและเริ่มวาดลงไปบนกระดาษขาวที่เตรียมไว้

ที่เขาวาดก็คือเปี๋ยเทียนซินกับสภาพโดยรอบ อย่างเช่นตรอกนั้นกับต้นไหวโบราณที่เห็นได้อย่างเลือนราง

เห็นได้ชัดว่าเขามีทักษะในเรื่องนี้อย่างมาก แค่วาดดินสอไม่กี่ครั้ง ภาพของตรอกกับต้นไหวก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ภาพของเปี๋ยเทียนซินก็ดูเหมือนจะเคลื่อนไปตามดินสอ ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะมีชีวิตขึ้นมา คิ้วที่ดูเหมือนจะบินขึ้นนั้นก็ดูราวกับของจริง

หากจิตรกรที่อยู่ข้างกายหวังจื่อเช่อมาเห็นเข้า เขาคงคิดหาวิธีชิงตัวหลัวปู้ลากกลับไปวัดมหายาน ทำให้เขายอมเป็นศิษย์

ใช่แล้ว ทักษะการวาดของเขานั้นดีจนเหมือนกับว่าเขาอยู่อีกระดับหนึ่ง

หลังจากวาดเสร็จเขาก็ไม่ได้จากไป แต่ยังนั่งรออยู่ในโรงเตี๊ยม ในที่สุดหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เห็นคนที่เขาต้องการจะเห็น

มู่จิ่วซือกับคนใส่หน้ากากชุดสีน้ำเงินนั่งรถม้าจากไป บังเอิญที่สายลมพัดม่านขึ้นพอดี

นี่เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ไม่พอให้สายตามองเห็นได้ชัดเจน แต่หลัวปู้สามารถวาดมันได้

ในเวลาอันสั้น ภาพวาดก็เสร็จสิ้น

ภาพวาดนี้เปี่ยมไปด้วยรายละเอียดและมีเสน่ห์ ไม่ว่าใครที่รู้จักมู่จิ่วซือหรือคนชุดน้ำเงินก็ไม่มีทางที่จะมองภาพนี้แล้วเข้าใจผิดเป็นคนอื่นไปได้

หลัวปู้มองดูคนทั้งสองในภาพ หลัวปู้ก็ขมวดคิ้วกล่าว “ดินแดนต้าซีช่างทะเยอทะยานจริงๆ แต่พวกเขาตามใครกันแน่”

……

……

เฉินฉางเซิงไม่เชื่อว่าการพบเจอเปี๋ยเทียนซินในเมืองฮั่นชิวเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะความเป็นไปได้นั้นน้อยเกินไป

นี่หมายความว่ามันเป็นไปได้สูงที่จะเป็นการจัดฉาก ซึ่งหมายความว่าการเคลื่อนไหวของเขาไม่ใช่ความลับอีกต่อไป

อันที่จริงการที่เขาพบกับตัวประหลาดในโรงเตี๊ยมหลิวซู่ก็ได้พิสูจน์เรื่องนี้แล้ว

ระยะทางจากเมืองฮั่นชิวไปยังเวิ่นสุ่ยนั้นยาวไกลกว่าพันลี้ เขายังต้องพบเจอกับเรื่องมากมายระหว่างการเดินทาง

หากเขายังทำตามความคิดตัวเอง เขาย่อมไม่ยินดีที่จะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ หลังจากออกจากคอกม้าผาชัน เขาก็ไม่ได้บอกใครในนิกายหลวง แต่รีบรุดไปยังเมืองเวิ่นสุ่ยก่อนที่จะพูดอะไร อย่างไรก็ตาม ในจดหมายนั้นบอกอย่างชัดเจนว่าหากเขาต้องการจะกลับจิงตูอย่างปลอดภัยก็ต้องหาคนผู้นั้นให้ได้ก่อน

คนผู้นั้นที่ได้เปิดเผยร่องรอยของเขาเป็นใครกันแน่

ย้อนไปตอนที่เขาเรียนเพลงกระบี่จากซูหลีในดินแดนรกร้าง เขาก็ได้เรียนรู้หลักพิชัยสงครามด้วยเช่นกัน แต่ด้วยลักษณะนิสัยส่วนตัวของเขา เขายังไม่อาจเข้าใจความซับซ้อนของโลกและจิตใจมนุษย์ได้ โชคยังดี คนเขียนจดหมายนั้นรู้เรื่องพวกนี้ดี ดังนั้นเขาจึงย่อมรู้คำตอบของคำถามนี้

มันง่ายมาก มีเพียงแค่สามคนเท่านั้นที่รู้เส้นทางของเขา

เฉินฉางเซิงมองดูหินขาวบนทางเดินอย่างเงียบงันเป็นเวลานาน