หินพวกนี้เห็นได้ชัดว่าถูกน้ำกัดเซาะมานานหลายปีจนเปลี่ยนเป็นสีขาว
ห่างจากหินไปไม่ไกลคือแม่น้ำ ตอนนี้เป็นช่วงปลายหน้าหนาว เป็นช่วงน้ำน้อย แต่หากเป็นหน้าร้อนแม่น้ำน่าจะมีน้ำมากกว่านี้
มีสองทางที่จะไปยังเวิ่นสุย ทางหนึ่งคือไปตามแม่น้ำ ในขณะที่อีกทางหนึ่งอ้อมไปทางเหนือและเดินทางยากกว่า
เฉินฉางเซิงเลือกเส้นทางเหนือ มันต่างไปจากเส้นทางที่เขาเคยเลือกไว้ แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนเช่นกัน
ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองฮั่นชิวเป็นภูเขาหินกว้างใหญ่และไร้ซึ่งชีวิต หลังจากผ่านภูเขานี้ก็เดินทางอ้อมหนองน้ำกว้างก็จะไปถึงศูนย์บัญชาการกองทัพซงโจว
ศูนย์บัญชาการกองทัพซงโจวเป็นศูนย์บัญชาการกองทัพที่ห่างไกลที่สุดในบรรดาศูนย์บัญชาการกองทัพสิบกว่าศูนย์ของต้าโจวในแดนเหนือ อยู่ใกล้กับดินแดนของเผ่าปีศาจอย่างมาก
เมื่อเดินทางผ่านภูเขาหินที่มีต้นหญ้าขึ้นไม่กี่ต้น เฉินฉางเซิงย่อมต้องนึกถึงเรื่องที่เซวียสิ่งชวนสร้างชื่อขึ้นจากศูนย์บัญชาการกองทัพซงโจว จากนั้นก็นึกไปถึงเซวียฮูหยินและประมุขหนุ่มตระกูลเซวียที่เพิ่งเข้าสำนักฝึกหลวงเมื่อปีก่อน ในที่สุดเขาก็นึกไปถึงว่าเขาไม่ได้พบกับลั่วลั่วมาหลายปีแล้ว
ดวงตะวันลอยอยู่บนท้องฟ้าด้านตะวันตก มีแสงเพียงน้อยนิดที่ทะลวงผ่านฝุ่นทรายในอากาศมาได้ ดูเหมือนว่ามันอารมณ์ไม่ดี
เมื่อเขาข้ามผ่านภูเขาหิน หนานเค่อก็หรี่ตาลง แล้วใบหน้าเล็กๆ ของนางพลันเปลี่ยนเป็นระแวดระวังขึ้นมา
แม้ว่านางจะกลายเป็นคนปัญญาอ่อนที่ลืมเรื่องในอดีตไป แต่นางก็ยังคงความแข็งแกร่งเอาไว้เช่นเดิม นางย่อมสามารถสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา
เฉินฉางเซิงมองไปที่นาง
หนานเค่อเงยหน้าขึ้นและสูดดมราวกับสุนัขตัวน้อย
“เจ้าดมอะไร” เฉินฉางเซิงถาม
“เลือด กลิ่นเลือดเข้มข้นมาก”
เสียงของหนานเค่อราบเรียบอย่างยิ่ง มีท่าทีเฉยชา เหมือนกับว่านางกำลังพูดถึงกลิ่นอาหาร
เฉินฉางเซิงถาม “เจ้าได้กลิ่นของตัวประหลาดนั้นหรือเปล่า”
หลังออกจากเมืองฮั่นชิว ตัวประหลาดนั่นก็ไม่ปรากฏกายอีกเลย แต่เฉินฉางเซิงยังรักษาความระวังตัวเอาไว้ หากตัวประหลาดนั่นมาจากนรกภูมิจริงๆ หากเขาประเมินได้ถูกต้อง มันก็ต้องเป็นปัญหาที่น่ารำคาญอย่างมาก
หนานเค่อส่ายหน้า นางก้มหน้าคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็เดินไปตามสันเขาต่อไป
นับตั้งแต่เขาออกจากเมืองฮั่นชิว พื้นดินและท้องฟ้าต่างก็มีสีเทาหม่นมัวเช่นเดียวกัน
แต่เมื่อพวกเขาเดินข้ามภูเขา สีสันของโลกก็พลันเปลี่ยนไป
ฝั่งนี้ของภูเขาเป็นสีแดง ไม่ใช่ดินสีแดงตามธรรมชาติ แต่ถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดง
มีเลือดและศพอยู่ทุกหนแห่ง
ศพบางศพเหมือนกับภูเขาลูกเล็กๆ จากขนหยาบและชุดเกราะรูปทรงพิเศษ พวกเขาน่าจะเป็นทหารจากเผ่าหมีสีน้ำตาล
ยังมีศพอีกมากมายที่เป็นเผ่ามนุษย์
หินบนพื้นต่างก็ถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดงฉาน เลือดแห้งเหนียวแผ่กลิ่นเหม็นเน่าไปในอากาศ
เหมือนกับเกิดสงครามขนาดย่อมขึ้นในที่แห่งนี้
ในซากศพเหล่านี้ ยังมีคนผู้หนึ่งรอดชีวิต เขายืนขึ้นช้าๆ และหันมาทางเฉินฉางเซิง
ในอากาศที่หนาวเหน็บเขาสวมเสื้อผ้าชั้นเดียว ถึงกับม้วนแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นแทนแขน กางเกงก็สั้นกว่ากางเกงทั่วไป ทำให้ดูน่าขันทีเดียว แต่เมื่อตระหนักว่าเขาทำเช่นนี้เพื่อให้ง่ายต่อการโจมตีและเคลื่อนไหวก็ทำให้คนรู้สึกเย็นเยียบขึ้นมาในหัวใจ
เขายังเป็นเหมือนเช่นก่อน
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าเขาได้ย้อนกลับไปที่การสอบใหญ่ ยืนอยู่ตรงหน้าพระราชวังหลีและมองไปที่ผู้เยาว์คนนี้กลางแสงยามเช้า
แค่พริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปห้าปี
เฉินฉางเซิงเดินไปหาเขา
เจ๋อซิ่วเดินมาพบเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงกางแขนออก เตรียมที่จะโอบกอดอย่างอบอุ่นตามแบบของถังซานสือลิ่ว
แต่เจ๋อซิ่วกำกระบี่ดวงตามีประกายสีแดง น่าประหลาดใจนักที่เขากำลังเตรียมที่จะทำการแปลงสภาพบ้าคลั่ง
เฉินฉางเซิงมองตามสายตาของเขาและตระหนักว่าเขามองไปที่หนานเค่อ เขาเข้าใจและกล่าวว่า “ไม่เป็นไร”
เจ๋อซิ่วไม่ได้ลดความระมัดระวังลง มองไปที่หนานเค่อและถาม “เกิดอะไรขึ้น”
ในสวนโจว เขาไม่ได้พบกับหนานเค่อด้วยตัวเองแต่ด้วยนิสัยของเขา เขาย่อมศึกษาอย่างรอบคอบเพื่อเตียมตัวเอาไว้หากต้องพบกันในอนาคต ที่น่าประหลาดใจก็คือครั้งต่อมาที่เขาได้พบกับองค์หญิงเผ่ามาร นางกลับอยู่ข้างกายเฉินฉางเซิงและเห็นได้ชัดว่านางทำตัวเป็นผู้ตาม
เฉินฉางเซิงวางมือลง ใช้สายตาบ่งบอกว่าไม่สะดวกที่จะพูดเรื่องนี้อย่างละเอียดและกล่าว “ข้าจะอธิบายกับเจ้าภายหลัง”
จากนั้นก็มองไปบนพื้นที่เต็มไปด้วยซากศพรอบๆ แล้วถาม “เกิดอะไรขึ้น”
“มีคนกลัวว่าเจ้าจะมาจากทางเหนือเลยส่งคนมาฆ่าเจ้า”
น้ำเสียงของเจ๋อซิ่วยังคงราบเรียบ ไร้อารมณ์ เหมือนกับที่เคยเป็นมาในอดีต ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดทำให้เขาระคายเคืองได้
เหมือนกับภาพน่าสยองและแผนการลับเบื้องหลัง การลอบสังหารสังฆราชไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
หนานเค่อพลันกล่าวขึ้นอย่างกังวลและไม่เชื่อ “เจ้าฆ่าคนทั้งหมดนี้อย่างนั้นหรือ”
นางจำเจ๋อซิ่วไม่ได้ แต่นางก็สัมผัสได้ว่าเขาอันตรายเพียงใด ความกังวลของนางนั้นเป็นที่คาดเดาได้ ส่วนเรื่องความไม่เชื่อนั้นก็นับว่ามีเหตุผลอย่างยิ่ง
เมื่อพวกเขาถูกส่งมาฆ่าเฉินฉางเซิง ทหารเผ่าหมีสีน้ำตาลกับมนุษย์เหล่านี้ย่อมต้องเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่ง มียอดฝีมืออยู่ด้วยมากมาย
ไม่ว่าเจ๋อซิ่วจะมีทักษะในการต่อสู้เพียงใด เขาก็ไม่อาจฆ่าคนมากมายเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะหนีรอดไปได้
เฉินฉางเซิงก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ประหลาดมาก ต่อให้เจ๋อซิ่วสามารถก้าวหน้าในการบำเพ็ญตนอย่างมากในช่วงสามปีมานี้ เขาก็ไม่อาจที่จะบรรลุถึงระดับนี้ได้
“ข้ามีผู้ช่วย” เจ๋อซิ่วตอบ
ราวกับจะพิสูจน์คำพูดของเขา เสียงหอนของหมาป่ามากมายพลันดังขึ้นจากสันเขาที่อยู่ห่างไป
“มีผู้เยาว์บางคนในเผ่าลอบออกมาและตอนนี้ก็ติดตามข้าอยู่ นอกจากนั้นข้าก็มีคนรู้จักในเมืองซงโจวอยู่บ้าง”
เจ๋อซิ่วกล่าวกับเฉินฉางเซิง “เผ่าหมีสีน้ำตาลนั้นเจ้าเล่ห์ตลอดมา เราต้องซ่อนตัวรออยู่สามวันจากนั้น…”
เฉินฉางเซิงพลันรู้สึกยินดีอย่างมากและไม่ได้สนใจสิ่งที่เจ๋อซิ่วกล่าวต่อมา
ทัศนคติของเผ่าหมาป่าที่มีต่อเจ๋อซิ่วดูเหมือนจะเปลี่ยนไปและเขายังมีคนรู้จักอย่างน่าประหลาดใจอีกด้วย
ในอดีตเรื่องเช่นนี้ไม่อาจเป็นไปได้
เจ๋อซิ่วที่มีดาวโดดเดี่ยวสวรรค์สาบเป็นดาวชะตา กลับมีเพื่อนร่วมทางอย่างนั้นหรือ
ดูเหมือนว่าช่วงเวลาในสำนักฝึกหลวงได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงกับเหล่าผู้คนที่อาศัยอยู่ในนั้น
……
……
ในคืนเดียวกันนั้นที่ค่ายพักซึ่งสร้างจากไม้ในทะเลทรายอีกฝั่งหนึ่งของหุบเขา มันอยู่เหนือลมจึงไม่ได้กลิ่นเลือด เจ๋อซิ่วใช้เวลาครู่หนึ่งขุดถ้ำขนาดลึกสามจั้งลึกเข้าไปในดินที่แข็งและเย็น พื้นถ้ำนั้นแห้งและยังอบอุ่นอยู่บ้าง ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกสัตว์อสูรรบกวน
เจ๋อซิ่วใช้ชีวิตแบบนี้มานับตั้งแต่ยังเด็กมาก
หนานเค่อนอนอยู่บนเตียงที่ก้นถ้ำ เฉินฉางเซิงนำแข็งออกมาและเริ่มรักษานาง
เมื่อการรักษาเสร็จสิ้น หนานเค่อก็หลับไปแล้ว เขาดึงผ้าห่มขึ้นจนถึงคอนาง จากนั้นก็หันกลับและออกจากถ้ำไป
เจ๋อซิ่วนั่งยองๆ อยู่บนพื้นนอกถ้ำ มองดูบางอย่างอยู่
เขายังคงคุ้นเคยกับการนั่งยองๆ มากว่าการนั่งพื้น เหมือนกับหมาป่าเดียวดายเตรียมพร้อมที่จะโจมตีหรือหลบหนีได้ทุกขณะ