ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 147 ทุกคนที่เจ้ารักษาและช่วยชีวิต...ไม่ใช่มนุษย์

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ทะเลทรายยามค่ำคืนหนาวเย็นมาก เมื่อไม่มีลมฝุ่นทรายที่ลอยอยู่ตอนกลางวันก็ค่อยๆ ตกลงสู่พื้น เหลือไว้แต่อากาศบริสุทธิ์อย่างยิ่ง

ดวงดาวบนท้องฟ้าราตรีนั้นมากมายหนาแน่นจนดูเกินจริงอยู่บ้าง

เมืองซีหนิงอยู่ห่างจากสุสานเมฆาแค่ไม่กี่ร้อยลี้เลยทำให้มีหมอกอยู่บ่อยครั้ง ส่งผลให้เฉินฉางเซิงเคยเห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเช่นนี้ตอนที่อยู่ในแดนกันดารระหว่างเดินทางลงใต้กับซูหลีเท่านั้น

ดวงดาวสุกใสส่องแสงให้ทะเลทราย รังสีดวงดาวที่ไม่อาจมองเห็นได้ก็ดูราวกับเข้มข้นขึ้น ตกลงบนเข็มที่อยู่ระหว่างนิ้วของเขาและมอบวิธีทำความสะอาดที่ดีที่สุด

“หันมา” เฉินฉางเซิงกล่าวกับเจ๋อซิ่ว

เจ๋อซิ่วหันกลับโดยไม่ถามว่าทำไม

คำพูดแบบนี้ถูกพูดขึ้นหลายครั้งตอนอยู่ในสำนักฝึกหลวงกับสุสานเทียนซู ดังนั้นเขาย่อมรู้ขั้นตอนดี

เข็มปักลงบนลำคอเจ๋อซิ่วช้าๆ และเริ่มสั่นอยู่ระหว่างนิ้วของเฉินฉางเซิง

เจ๋อซิ่วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

เฉินฉางเซิงรู้ว่านี่เป็นการแสดงออกถึงความเจ็บปวด เพราะเจ๋อซิ่วไม่ใช่คนที่ขมวดคิ้วยามเจ็บปวดด้วยคิดว่านั่นเป็นการบ่งบอกว่าเขาไม่อดทนพอ

หากแม้แต่เจ๋อซิ่วยังรู้สึกเจ็บปวด มันจะเจ็บปวดถึงเพียงไหนกัน

เฉินฉางเซิงส่งปราณแท้เข้าสู่เส้นลมปราณของเจ๋อซิ่วและเริ่มตรวจสอบสภาพร่างกาย

เจ๋อซิ่วหลับตาลง

ในเวลาอันสั้น ปราณแท้ที่แทบจะสัมผัสไม่ได้ไหลไปราวกับน้ำหลากพุ่งผ่านไปตามเส้นลมปราณของเจ๋อซิ่ว

เลือดของเขาก็เดือดพล่านเป็นการตอบสนอง

นิ้วของเฉินฉางเซิงที่จับเข็มแทบจะเด้งออก

ขนตาของเจ๋อซิ่วสั่นเทา

นี่เป็นอาการป่วยของเจ๋อซิ่ว ทันใดใจคิด

ทั้งในตำราแพทย์และคัมภีร์เต๋า อาการป่วยตั้งแต่เกิดนี้เป็นผลจากความขัดแย้งทางสายเลือดที่สืบทอดมาและส่งผลถึงตาย ไม่มียาใดรักษาได้

นี่เป็นเหตุผลที่ซูหลีกับสำนักกระบี่หลีซานถึงได้มีท่าทีคัดค้านความสัมพันธ์ระหว่างเจ๋อซิ่วกับชีเจียนอย่างมาก

เฉินฉางเซิงไม่ได้คลายนิ้วนอก แต่กลับรอคอยอยู่เงียบๆ เขายังปักเข็มเพิ่มไปอีกสองเล่มบนเส้นลมปราณของเจ๋อซิ่ว

หลังจากเวลาผ่านไป เขาก็ดึงเข็มออกมาและจ้องไปที่ดวงตาของเจ๋อซิ่ว “เจ้าไม่ได้กินยาตามกำหนดใช่ไหม”

หลังจากสังหารโจวทง เขากับเจ๋อซิ่วก็ออกจากจิงตู แม้ว่าพวกเขาต่างก็มายังแดนเหนือ แต่ไม่เคยได้พบกันเลยสักครั้ง

แต่เขาได้เตรียมเทียบยาไว้ก่อนแล้ว บอกไว้ชัดเจนว่าจะกินยาอย่างไรและต้องระวังตรงไหน

คืนนี้แม้จะดูเหมือนว่าอาการป่วยของเจ๋อซิ่วจะไม่แย่ลงแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ดีขึ้นเช่นกัน ต้องมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน

เมื่อเขามองไปที่ดวงตาสดใสจริงจังของเฉินฉางเซิง เจ๋อซิ่วก็รู้สึกขอโทษขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่ใบหน้าของเขายังคงไม่แสดงความรู้สึกใด

“ข้าต่อสู้อยู่ตลอด ไม่ว่าจะสืบข่าวศัตรูหรือไล่ล่าสังหาร ต่างก็ล้วนต้องใช้เวลายาวนาน บางครั้งก็ต้องซ่อนตัวอยู่ในหิมะเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน”

เขากล่าวต่อ “แล้วข้าจะเอาเวลาที่ไหนมากินยา แล้วยาพวกนั้นก็นำปัญหามาให้ข้า มันต้องต้มแต่ข้าไม่อาจจุดไฟได้”

เฉินฉางเซิงไม่รู้จะพูดอะไรดี หลังจากหยุดไป เขาก็กล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าจะคิดหาวิธีอื่นดู และดูว่าจะทำให้เป็นผงหรือยาเม็ดแทนได้ไหม”

ได้ยินเช่นนี้ เจ๋อซิ่วคิดถึงข่าวลือและถาม “เจ้าให้ข้ากินยาจูซาอย่างนั้นหรือ”

เฉินฉางเซิงพยักหน้า

เมื่อปีกว่าที่ผ่านมา เฉินฉางเซิงได้คิดหาวิธีบางอย่างเพื่อแก้ความขัดแย้งระหว่างกฎศักดิ์สิทธิ์สองข้อ ทำให้เขาสามารถทำให้เลือดตัวเองเป็นยาจูซาได้ ในครั้งแรกเขาให้จี๊ดจี๊ดส่งยาให้เจ๋อซิ่วแต่…เขาได้พบว่าเลือดของเขาไม่อาจใช้รักษาอาการป่วยของเจ๋อซิ่วได้

ข่าวลือเกี่ยวกับยาจูซาที่แพร่อยู่ในตอนนี้ว่าสามารถช่วยชีวิตคนใกล้ตายนั้นออกจะเกินจริงไปหน่อย

ยาจูซาส่งผลต่อการล้มตายของคนที่ได้รับบาดเจ็บเสียแขนขาหรือเสียเลือดมากเกินไปในสนามรบก็จริง แต่มันไม่อาจรักษาอาการป่วยได้ทุกชนิด

อย่างเช่นอาการป่วยของเจ๋อซิ่วหรือการป่วยของหนานเค่อ

ไม่ว่าจะเป็นทันใดใจคิดหรือวิญญาณเทพโกลาหล ต่างก็ล้วนเป็นอาการป่วยที่ประหลาดและหายากอย่างยิ่ง

เจ๋อซิ่วถาม “อาการป่วยของข้ารักษาได้หรือไม่”

เฉินฉางเซิงเป็นแพทย์ขั้นสุดยอดและมีความเข้าใจในเส้นลมปราณอย่างหาใดเปรียบมิได้

หากแม้แต่เขายังไม่อาจรักษาอาการป่วยของเจ๋อซิ่วได้ มันก็คงไร้ทางรักษาจริงๆ

เฉินฉางเซิงไม่ได้พยายามจะหลอกลวงเขาและกระซิบบอก “สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก”

เจ๋อซิ่วดูสงบอย่างมาก บางทีอาจชาด้าน หลังจากได้ยินคำตอบเขาก็แค่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะถาม “แล้วนางล่ะ”

เฉินฉางเซิงส่ายหน้าและตอบ “ข้ายังไม่พบวิธีรักษา แค่ใช้ยากับเข็มช่วยรักษาสมดุลให้กับวิญญาณของนาง”

“ข้าเห็นว่านางไม่ใช่คนปัญญาอ่อนจริงๆ”

“คนปัญญาอ่อนนั้นมีหลายพันแบบ”

“แล้วจะทำให้นางฟื้นขึ้นมาได้อย่างไร”

“ข้าแค่หวังว่านางจะพบโชคดีและตื่นขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง”

เจ๋อซิ่วมองตาเขาแล้วถาม “เจ้าเคยคิดไหมว่าจะทำอย่างไรหากนางตื่นขึ้นมาจริงๆ”

เฉินฉางเซิงพบว่าไม่อาจจิตนาการเห็นภาพนั้นได้ เขาครุ่นคิดถึงคำถามนี้อีกครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ข้าจะคิดตอนที่เวลานั้นมาถึง”

เจ๋อซิ่วกล่าวต่อ “ต่อให้นางไม่อาจตื่นขึ้นอีกเลย หากมีคนจำนางได้ มันก็ยังก่อให้เกิดปัญหาใหญ่อยู่ดี”

เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของเขา

หนานเค่อไม่ใช่คนธรรมดา

นางไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ

นางเป็นมาร เป็นองค์หญิงของเผ่ามาร

ต้องรู้ว่าด้วยความแข็งแกร่งของซูหลีก็ยังต้องปิดบังความรักที่มีต่อองค์หญิงเผ่ามารจากโลกและเก็บชื่อบุตรสาวไว้เป็นความลับขณะที่เลี้ยงนางขึ้นมาบนเขาหลีซาน

และเขาไม่ใช่ซูหลี

แน่นอนว่าสถานการณ์ของเขาต่างไปจากซูหลี เขาไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบนั้นกับหนานเค่อ

แต่หากเขามีหนานเค่ออยู่ข้างกายตลอดเวลา เขาย่อมต้องพบกับปัญหาอย่างแน่นอน

คำถามของเจ๋อซิ่วทำให้เขานึกถึงองค์หญิงเผ่ามารที่ตายในสระเย็นของพรรคไร้รัก ทำให้เขานึกถึงบทสนทนาระหว่างราชามารสองรุ่นในคืนนั้นบนเทือกเขา

ราชามารหนุ่มตกใจอย่างมากเมื่อเห็นเขามารฟ้า เพราะทุกคนในเมืองเสวี่ยเหล่าเชื่อว่าองค์หญิงเผ่ามารได้นำของศักดิ์สิทธิ์ไปกับนางด้วยตอนที่นางหนีไปยังโลกมนุษย์เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ใครจะไปคิดว่าเมื่อเวลาผ่านไป เขามารฟ้าจะปรากฏขึ้นอีกครั้งอยู่ในมือของบิดาเขา

เทียบกับเหตุการณ์อื่นที่เกิดขึ้นในคืนนั้น นี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น แต่ตอนนี้เมื่อเขาคิดดูแล้ว มันมีข้อมูลสำคัญที่ซ่อนเอาไว้อยู่

หากเขามารฟ้าถูกองค์หญิงนำออกไปจากเมืองเสวี่ยเหล่าจริง ถ้าอย่างนั้นหลังจากนางตาย มันก็เป็นไปได้มากว่าเขามารฟ้าจะตกอยู่ในพรรคไร้รัก

แล้วมันกลับไปอยู่ในมือของราชามารได้อย่างไรกัน

จากนั้นเขาก็นึกไปถึงตัวประหลาดน้อยที่เขาพบในเมืองฮั่นชิวที่เหมือนจะมาจากนรกภูมิตนนั้น

วิชาโบราณที่แม้แต่ในพระราชวังหลีก็ยังไม่มี หากยังมีที่ใดในโลกที่ยังรักษามันเอาไว้อีก ก็คงเป็นพรรคไร้รักที่เก่าแก่โบราณพอๆ กัน

เฉินฉางเซิงคิดเงียบๆ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องหาคนในนิกายหลวงที่ทำงานให้กับราชสำนัก แต่การหาคนที่ร่วมมือกับเผ่ามารนั้นสำคัญยิ่งกว่า

คำถามนี้อยู่ในใจเขามาตั้งแต่บนเทือกเขาคืนนั้น

ด้วยการช่วยเหลือของใครบางคน ราชามารหนุ่มสามารถหลอกลวงคนนับไม่ถ้วนและเปลี่ยนตัวกับนักสร้างค่ายกลหนุ่มบนแคร่หามได้

ตอนนี้เขามองดูแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าไม่ใช่แค่คนผู้หนึ่งที่ร่วมมือกับเผ่ามาแต่เป็นพรรคหนึ่ง หรืออาจเป็นตระกูลสูงศักดิ์ตระกูลหนึ่ง