ทะเลทรายยามค่ำคืนหนาวเย็นมาก เมื่อไม่มีลมฝุ่นทรายที่ลอยอยู่ตอนกลางวันก็ค่อยๆ ตกลงสู่พื้น เหลือไว้แต่อากาศบริสุทธิ์อย่างยิ่ง
ดวงดาวบนท้องฟ้าราตรีนั้นมากมายหนาแน่นจนดูเกินจริงอยู่บ้าง
เมืองซีหนิงอยู่ห่างจากสุสานเมฆาแค่ไม่กี่ร้อยลี้เลยทำให้มีหมอกอยู่บ่อยครั้ง ส่งผลให้เฉินฉางเซิงเคยเห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเช่นนี้ตอนที่อยู่ในแดนกันดารระหว่างเดินทางลงใต้กับซูหลีเท่านั้น
ดวงดาวสุกใสส่องแสงให้ทะเลทราย รังสีดวงดาวที่ไม่อาจมองเห็นได้ก็ดูราวกับเข้มข้นขึ้น ตกลงบนเข็มที่อยู่ระหว่างนิ้วของเขาและมอบวิธีทำความสะอาดที่ดีที่สุด
“หันมา” เฉินฉางเซิงกล่าวกับเจ๋อซิ่ว
เจ๋อซิ่วหันกลับโดยไม่ถามว่าทำไม
คำพูดแบบนี้ถูกพูดขึ้นหลายครั้งตอนอยู่ในสำนักฝึกหลวงกับสุสานเทียนซู ดังนั้นเขาย่อมรู้ขั้นตอนดี
เข็มปักลงบนลำคอเจ๋อซิ่วช้าๆ และเริ่มสั่นอยู่ระหว่างนิ้วของเฉินฉางเซิง
เจ๋อซิ่วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เฉินฉางเซิงรู้ว่านี่เป็นการแสดงออกถึงความเจ็บปวด เพราะเจ๋อซิ่วไม่ใช่คนที่ขมวดคิ้วยามเจ็บปวดด้วยคิดว่านั่นเป็นการบ่งบอกว่าเขาไม่อดทนพอ
หากแม้แต่เจ๋อซิ่วยังรู้สึกเจ็บปวด มันจะเจ็บปวดถึงเพียงไหนกัน
เฉินฉางเซิงส่งปราณแท้เข้าสู่เส้นลมปราณของเจ๋อซิ่วและเริ่มตรวจสอบสภาพร่างกาย
เจ๋อซิ่วหลับตาลง
ในเวลาอันสั้น ปราณแท้ที่แทบจะสัมผัสไม่ได้ไหลไปราวกับน้ำหลากพุ่งผ่านไปตามเส้นลมปราณของเจ๋อซิ่ว
เลือดของเขาก็เดือดพล่านเป็นการตอบสนอง
นิ้วของเฉินฉางเซิงที่จับเข็มแทบจะเด้งออก
ขนตาของเจ๋อซิ่วสั่นเทา
นี่เป็นอาการป่วยของเจ๋อซิ่ว ทันใดใจคิด
ทั้งในตำราแพทย์และคัมภีร์เต๋า อาการป่วยตั้งแต่เกิดนี้เป็นผลจากความขัดแย้งทางสายเลือดที่สืบทอดมาและส่งผลถึงตาย ไม่มียาใดรักษาได้
นี่เป็นเหตุผลที่ซูหลีกับสำนักกระบี่หลีซานถึงได้มีท่าทีคัดค้านความสัมพันธ์ระหว่างเจ๋อซิ่วกับชีเจียนอย่างมาก
เฉินฉางเซิงไม่ได้คลายนิ้วนอก แต่กลับรอคอยอยู่เงียบๆ เขายังปักเข็มเพิ่มไปอีกสองเล่มบนเส้นลมปราณของเจ๋อซิ่ว
หลังจากเวลาผ่านไป เขาก็ดึงเข็มออกมาและจ้องไปที่ดวงตาของเจ๋อซิ่ว “เจ้าไม่ได้กินยาตามกำหนดใช่ไหม”
หลังจากสังหารโจวทง เขากับเจ๋อซิ่วก็ออกจากจิงตู แม้ว่าพวกเขาต่างก็มายังแดนเหนือ แต่ไม่เคยได้พบกันเลยสักครั้ง
แต่เขาได้เตรียมเทียบยาไว้ก่อนแล้ว บอกไว้ชัดเจนว่าจะกินยาอย่างไรและต้องระวังตรงไหน
คืนนี้แม้จะดูเหมือนว่าอาการป่วยของเจ๋อซิ่วจะไม่แย่ลงแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ดีขึ้นเช่นกัน ต้องมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน
เมื่อเขามองไปที่ดวงตาสดใสจริงจังของเฉินฉางเซิง เจ๋อซิ่วก็รู้สึกขอโทษขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่ใบหน้าของเขายังคงไม่แสดงความรู้สึกใด
“ข้าต่อสู้อยู่ตลอด ไม่ว่าจะสืบข่าวศัตรูหรือไล่ล่าสังหาร ต่างก็ล้วนต้องใช้เวลายาวนาน บางครั้งก็ต้องซ่อนตัวอยู่ในหิมะเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน”
เขากล่าวต่อ “แล้วข้าจะเอาเวลาที่ไหนมากินยา แล้วยาพวกนั้นก็นำปัญหามาให้ข้า มันต้องต้มแต่ข้าไม่อาจจุดไฟได้”
เฉินฉางเซิงไม่รู้จะพูดอะไรดี หลังจากหยุดไป เขาก็กล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าจะคิดหาวิธีอื่นดู และดูว่าจะทำให้เป็นผงหรือยาเม็ดแทนได้ไหม”
ได้ยินเช่นนี้ เจ๋อซิ่วคิดถึงข่าวลือและถาม “เจ้าให้ข้ากินยาจูซาอย่างนั้นหรือ”
เฉินฉางเซิงพยักหน้า
เมื่อปีกว่าที่ผ่านมา เฉินฉางเซิงได้คิดหาวิธีบางอย่างเพื่อแก้ความขัดแย้งระหว่างกฎศักดิ์สิทธิ์สองข้อ ทำให้เขาสามารถทำให้เลือดตัวเองเป็นยาจูซาได้ ในครั้งแรกเขาให้จี๊ดจี๊ดส่งยาให้เจ๋อซิ่วแต่…เขาได้พบว่าเลือดของเขาไม่อาจใช้รักษาอาการป่วยของเจ๋อซิ่วได้
ข่าวลือเกี่ยวกับยาจูซาที่แพร่อยู่ในตอนนี้ว่าสามารถช่วยชีวิตคนใกล้ตายนั้นออกจะเกินจริงไปหน่อย
ยาจูซาส่งผลต่อการล้มตายของคนที่ได้รับบาดเจ็บเสียแขนขาหรือเสียเลือดมากเกินไปในสนามรบก็จริง แต่มันไม่อาจรักษาอาการป่วยได้ทุกชนิด
อย่างเช่นอาการป่วยของเจ๋อซิ่วหรือการป่วยของหนานเค่อ
ไม่ว่าจะเป็นทันใดใจคิดหรือวิญญาณเทพโกลาหล ต่างก็ล้วนเป็นอาการป่วยที่ประหลาดและหายากอย่างยิ่ง
เจ๋อซิ่วถาม “อาการป่วยของข้ารักษาได้หรือไม่”
เฉินฉางเซิงเป็นแพทย์ขั้นสุดยอดและมีความเข้าใจในเส้นลมปราณอย่างหาใดเปรียบมิได้
หากแม้แต่เขายังไม่อาจรักษาอาการป่วยของเจ๋อซิ่วได้ มันก็คงไร้ทางรักษาจริงๆ
เฉินฉางเซิงไม่ได้พยายามจะหลอกลวงเขาและกระซิบบอก “สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก”
เจ๋อซิ่วดูสงบอย่างมาก บางทีอาจชาด้าน หลังจากได้ยินคำตอบเขาก็แค่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะถาม “แล้วนางล่ะ”
เฉินฉางเซิงส่ายหน้าและตอบ “ข้ายังไม่พบวิธีรักษา แค่ใช้ยากับเข็มช่วยรักษาสมดุลให้กับวิญญาณของนาง”
“ข้าเห็นว่านางไม่ใช่คนปัญญาอ่อนจริงๆ”
“คนปัญญาอ่อนนั้นมีหลายพันแบบ”
“แล้วจะทำให้นางฟื้นขึ้นมาได้อย่างไร”
“ข้าแค่หวังว่านางจะพบโชคดีและตื่นขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง”
เจ๋อซิ่วมองตาเขาแล้วถาม “เจ้าเคยคิดไหมว่าจะทำอย่างไรหากนางตื่นขึ้นมาจริงๆ”
เฉินฉางเซิงพบว่าไม่อาจจิตนาการเห็นภาพนั้นได้ เขาครุ่นคิดถึงคำถามนี้อีกครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ข้าจะคิดตอนที่เวลานั้นมาถึง”
เจ๋อซิ่วกล่าวต่อ “ต่อให้นางไม่อาจตื่นขึ้นอีกเลย หากมีคนจำนางได้ มันก็ยังก่อให้เกิดปัญหาใหญ่อยู่ดี”
เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของเขา
หนานเค่อไม่ใช่คนธรรมดา
นางไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ
นางเป็นมาร เป็นองค์หญิงของเผ่ามาร
ต้องรู้ว่าด้วยความแข็งแกร่งของซูหลีก็ยังต้องปิดบังความรักที่มีต่อองค์หญิงเผ่ามารจากโลกและเก็บชื่อบุตรสาวไว้เป็นความลับขณะที่เลี้ยงนางขึ้นมาบนเขาหลีซาน
และเขาไม่ใช่ซูหลี
แน่นอนว่าสถานการณ์ของเขาต่างไปจากซูหลี เขาไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบนั้นกับหนานเค่อ
แต่หากเขามีหนานเค่ออยู่ข้างกายตลอดเวลา เขาย่อมต้องพบกับปัญหาอย่างแน่นอน
คำถามของเจ๋อซิ่วทำให้เขานึกถึงองค์หญิงเผ่ามารที่ตายในสระเย็นของพรรคไร้รัก ทำให้เขานึกถึงบทสนทนาระหว่างราชามารสองรุ่นในคืนนั้นบนเทือกเขา
ราชามารหนุ่มตกใจอย่างมากเมื่อเห็นเขามารฟ้า เพราะทุกคนในเมืองเสวี่ยเหล่าเชื่อว่าองค์หญิงเผ่ามารได้นำของศักดิ์สิทธิ์ไปกับนางด้วยตอนที่นางหนีไปยังโลกมนุษย์เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ใครจะไปคิดว่าเมื่อเวลาผ่านไป เขามารฟ้าจะปรากฏขึ้นอีกครั้งอยู่ในมือของบิดาเขา
เทียบกับเหตุการณ์อื่นที่เกิดขึ้นในคืนนั้น นี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น แต่ตอนนี้เมื่อเขาคิดดูแล้ว มันมีข้อมูลสำคัญที่ซ่อนเอาไว้อยู่
หากเขามารฟ้าถูกองค์หญิงนำออกไปจากเมืองเสวี่ยเหล่าจริง ถ้าอย่างนั้นหลังจากนางตาย มันก็เป็นไปได้มากว่าเขามารฟ้าจะตกอยู่ในพรรคไร้รัก
แล้วมันกลับไปอยู่ในมือของราชามารได้อย่างไรกัน
จากนั้นเขาก็นึกไปถึงตัวประหลาดน้อยที่เขาพบในเมืองฮั่นชิวที่เหมือนจะมาจากนรกภูมิตนนั้น
วิชาโบราณที่แม้แต่ในพระราชวังหลีก็ยังไม่มี หากยังมีที่ใดในโลกที่ยังรักษามันเอาไว้อีก ก็คงเป็นพรรคไร้รักที่เก่าแก่โบราณพอๆ กัน
เฉินฉางเซิงคิดเงียบๆ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องหาคนในนิกายหลวงที่ทำงานให้กับราชสำนัก แต่การหาคนที่ร่วมมือกับเผ่ามารนั้นสำคัญยิ่งกว่า
คำถามนี้อยู่ในใจเขามาตั้งแต่บนเทือกเขาคืนนั้น
ด้วยการช่วยเหลือของใครบางคน ราชามารหนุ่มสามารถหลอกลวงคนนับไม่ถ้วนและเปลี่ยนตัวกับนักสร้างค่ายกลหนุ่มบนแคร่หามได้
ตอนนี้เขามองดูแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าไม่ใช่แค่คนผู้หนึ่งที่ร่วมมือกับเผ่ามาแต่เป็นพรรคหนึ่ง หรืออาจเป็นตระกูลสูงศักดิ์ตระกูลหนึ่ง