“จริงสิ ประธานอู๋ครับ ตึกทางด้านขวาเป็นโรงหลอมเหรอครับ?”
เยี่ยเทียนพบว่า เหมืองทองคำและโรงหลอมแห่งนี้ของอู๋เต๋อหลินตั้งอยู่ติดกัน พอขุดหินขึ้นมาจากในเหมืองได้แล้ว ก็ใช้สายพานส่งตรงเข้าไปในโรงหลอมได้เลย
เยี่ยเทียนเคยฟังเฉินสี่ฉวนอธิบายการหลอมทองคำ เขาใช้โซเดียมไซยาไนด์กับอัลคาไลน์เหลว น้ำที่มีโมเลกุลทองคำอยู่จะไหลเข้าไปในถังซึ่งใส่ถ่านกัมมันต์ผ่านรางน้ำ ทำให้ทองคำถูกดูดซับโดยถ่าน รอจนกว่าโมเลกุลของทองคำไหลจนหมดหรือถ่านดูดซับจนเต็มแล้ว ค่อยเอาถ่านออกเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป
หลังจากผ่านขั้นตอนเผาถ่านแล้ว ก็จะสามารถเห็นทองคำได้ด้วยตาเปล่า แต่ว่าวิธีหลอมทองแบบนี้ในปัจจุบันไม่ค่อยนำมาใช้เท่าไหร่แล้ว อู๋เต๋อหลินควรจะใช้วิธีบดกวนแล้วสกัดออกมาด้วยความร้อนสูง ซึ่งจำเป็นต้องใช้เครื่องเผานั่นเอง
“ใช่แล้วล่ะ ทางนั้นฉันสามารถหลอมทองคำบริสุทธิ์ 99.99% ได้เลยทีเดียว เสี่ยวจ้าว ถามทำไมหรือ?”
อู๋เต๋อหลินพยักหน้า ว่ากันโดยทั่วไป สถานที่หลอมทองคำล้วนเป็นแหล่งเก็บความลับสูงสุดของแต่ละเหมือง รอบด้านโรงหลอมของอู๋เต๋อหลิน มีเวรยามสะพายอาวุธสงครามอยู่ทุกด้าน คนงานทั่วไปจึงไม่สามารถเข้าใกล้ได้แม้แต่นิดเดียว
แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เยี่ยเทียนจึงถามขึ้นตามธรรมชาติ และอู๋เต๋อหลินก็ตอบกลับไปอย่างนั้น พูดออกไปแล้วถึงได้รู้ว่า ตนเองไม่ได้คุ้นเคยกับอีกฝ่ายถึงขั้นนั้นนี่นา?
“ประธานอู๋ครับ อาคารหลังนี้ของคุณตกแต่งไม่ค่อยดีนัก รูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ทำให้รังสีที่แผ่ออกมาจากถ้ำเหมืองระเหยออกไปได้ยาก ส่งผลกระทบต่อพนักงานอย่างใหญ่หลวง”
เยี่ยเทียนเองก็ไม่รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยหรือเปล่า จึงพยายามเรียบเรียงคำพูดของตนเอง แล้วกล่าวต่อ “หากพูดถึงเรื่องฮวงจุ้ย พื้นที่สี่เหลี่ยมบวกกับมีรูปร่างเป็นอักษรคน ก็จะกลายเป็นกรงขัง ประธานอู๋ครับ หากถามนักโทษที่ถูกคุมขัง เขาจะได้รับโชควาสนาดีหรือเปล่า?”
คำพูดนี้ของเยี่ยเทียนไม่ได้ข่มขู่อู๋เต๋อหลิน เขาเองก็สามารถมองออกว่า เมื่อก่อนอาคารหลังนี้เป็นทรงกลม แต่เพื่อให้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ได้ดีขึ้น จึงได้เปลี่ยนจากทรงกลมมาเป็นทรงสี่เหลี่ยม อาการผิดปกติของร่างกายอู๋เต๋อหลิน เกรงว่าจะเริ่มขึ้นนับตั้งแต่ตอนนั้น
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง เสี่ยวจ้าว นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะรู้เรื่องฮวงจุ้ยด้วย? งั้นดูให้ฉันหน่อยสิ ว่าเรื่องนี้จะแก้ไขอย่างไรดี?”
โต๊ะทำงานของอู๋เต๋อหลิน สามารถมองเห็นทั้งอาคารผ่านกระจกได้พอดิบพอดี เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนี้ เขาจึงรู้สึกว่าตัวเองเหมือนกับนักโทษที่ถูกคุมขังในตะรางขึ้นมาจริงๆ จนนั่งไม่ลงขึ้นมาทันที
ด้วยเหตุนี้การทำนายดวงชะตาจึงถูกจัดประเภทให้เป็นความเชื่อเหลวไหลในยุคศักดินาเป็นระยะเวลายาวนาน นั่นเป็นเพราะการกระทำเช่นนี้ ส่งผลร้ายต่อสังคมอย่างใหญ่หลวง คำพูดของเหล่านักทำนายดวงชะตาที่ไร้ซึ่งความสามารถใดๆ สามารถทำให้คนแบกรับความหนักอกหนักใจได้อย่างแน่นอน
เนื่องจากคำพูดของนักทำนายดวงชะตาก่อให้เกิดบ้านแตกสาแหรกขาด มีคนล้มตายมาไม่น้อย ตอนที่เยี่ยเทียนท่องเที่ยวในยุทธภพ ยังเคยพบนักทํานายดวงชะตาคนหนึ่งทํานายวันเดือนปีเกิดให้คน บอกว่าภรรยาของเขาคนนั้นมีดวงกินผัว เวลานั้นเหมาะเจาะตอนที่ฝ่ายชายทำการค้าล้มเหลวพอดี จึงนำเอาสาเหตุนี้ไปกล่าวโทษฝ่ายภรรยา หลังกลับบ้านไปก็ทะเลาะกับภรรยา จนถึงขั้นใช้มีดทำอาหารฟันภรรยาจนเสียชีวิต
ดังนั้นไม่จำเป็นว่านักทำนายดวงชะตาจะพูดได้ถูกต้องหรือไม่ เพียงแค่พูดออกไป ก็กลายเป็นแรงกดดันให้คนฟังแล้ว และจะมีผลยิ่งขึ้นต่อคนมีเงิน อู๋เต๋อหลินก็ไม่ใช่ข้อแม้ เวลานั้นเขาลืมไปสนิทว่าเยี่ยเทียนเป็นเพียงแขกที่เข้ามาเยี่ยมชมเหมืองทอง กลับลุกขึ้นขอคำชี้แนะอย่างจริงจัง
“เถ้าแก่ครับ ข้างล่างกำลังจะมีการผลัดกะ จะให้ใครลงไปครับ?”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะพูด คนผู้หนึ่งก็เคาะเปิดประตูห้องทำงานเข้ามา แวบแรกที่มองเห็นหวาจวินก็ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าหนุ่ม เห็นเถ้าแก่คุยง่าย เลยพาคนมาที่นี่ทุกรอบเลยหรือไง?”
หวาจวินสนิทสนมกับคนที่เข้ามาอย่างมาก หลังจากได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ก็ยิ้มแหะๆ ตอบว่า “พี่ปิน ผมก็แค่ทำการโฆษณาให้เหมืองของพวกเราเท่านั้นเอง คนที่เคยมาแอฟริกาใต้ ใครบ้างจะไม่รู้ว่าที่เคปทาวน์มีเหมืองทองที่ชาวจีนอย่างพวกเราเป็นคนลงทุน!”
“พูดจาได้ดีนี่ วันนี้จะลงไปข้างล่างไหมล่ะ?” คนที่มาชื่อว่าเฉินปิน เป็นคนที่ติดตามอู๋เต๋อหลินมาเป็นกลุ่มแรกๆ นับว่าเป็นคนเก่าคนแก่ในเหมือง จึงใช้คำพูดอย่างเป็นกันเอง
“ข้างบนร้อนตับแตก ข้างล่างก็หนาวแทบตาย ผมไม่ลงไปดีกว่า” หวาจวินส่ายหน้ารัว ๆ เขาเป็นไกด์ภาคพื้นดินมาสามสี่ปี ยังเคยลงไปถ้ำใต้เหมืองแค่สองสามครั้งเท่านั้น บรรยากาศข้างล่างนั่นไม่ค่อยโสภาเท่าไหร่จริงๆ
“เอาเถอะ อาปิน ฉันจะแนะนำให้เธอรู้จัก คนนี้คือคุณจ้าว เดี๋ยวเขาจะตามลงไป”
อู๋เต๋อหลินโบกมือ ตัดบทสนทนาของคนทั้งสอง ยิ้มขออภัยไปทางเยี่ยเทียน บอกว่า “เสี่ยวจ้าว ต้องขอโทษด้วย เชิญเธอพูดต่อได้เลย ต้องทำอย่างไรถึงจะแก้ไขอักษรคุมขังนี่ได้?”
จิตวิทยามนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ ปกติไม่คิดเป็นเรื่องอะไร แต่พอถูกคนทักเข้า ก็กลับกลายเป็นเรื่องในใจ อู๋เต๋อหลินมองตึกของตนเองเป็นเหมือนกรงขังเข้าทุกที จึงไม่สนใจสายตางงงันของเฉินปิน หันไปขอคำชี้แนะจากเยี่ยเทียนอย่างถ่อมตน
เยี่ยเทียนยิ้ม ตอบว่า “ประธานอู๋ครับ จะแก้ไขเป็นเรื่องง่ายมาก ว่ากันตามความสัมพันธ์ของปัญจธาตุ ไฟสามารถข่มโลหะ คุณแค่ต้องขยายตำแหน่งหลอมแร่มาทางอาคารนี้สักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว”
พื้นที่ฮวงจุ้ยแห่งนี้ของอู๋เต๋อหลิน ความจริงไม่นับว่าซับซ้อนอะไร ขอเพียงเป็นคนที่มีความรู้ด้านฮวงจุ้ยสักเล็กน้อยก็สามารถขจัดปัดเป่าได้ เพียงแต่ดินแดนแอฟริกาใต้อยู่ไกลปืนเที่ยง ไม่มีนักทำนายดวงชะตาคนไหนยอมข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อมาหาเงินต่างชาติ ไม่อย่างนั้นสถานที่นี้ก็คงมีคนมองออกและแก้ไขไปนานแล้ว ไหนเลยจะต้องตกถึงมือเยี่ยเทียน?
“งั้นก็ง่ายน่ะสิ แค่ย้ายตำแหน่งก็พอ”
อู๋เต๋อหลินฟังอยู่สักครู่ สีหน้าก็แสดงให้เห็นถึงความยินดี เดิมทีเขายังนึกกังวลว่าเยี่ยเทียนจะทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ โดยการปรับเปลี่ยนโรงหลอมอย่างสิ้นเชิง ถ้าหากแค่ย้ายตำแหน่งหลอมแร่ ก็นับว่าเป็นเรื่องง่ายดาย
“เอาเถอะครับ ประธานอู๋ ให้คุณจ้าวลงเหมืองเถอะครับ พี่ปินรอนานแล้ว”
อู๋เต๋อหลินเชื่อคำพูดของเยี่ยเทียน แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเชื่อ หวาจวินออกจะรู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ เขาเติบโตในต่างประเทศ ถึงแม้จะสามารถพูดภาษาจีนได้ แต่ระบบความคิดยังแตกต่างจากชาวจีนอยู่มาก จึงไม่เข้าใจคำพูดของเยี่ยเทียนแม้แต่น้อย
“ได้สิ อาปิน วันนี้ลำบากนายหน่อยนะ พาคุณจ้าวลงไปด้วยตัวเองที ดูแลให้ปลอดภัยล่ะ”
อู๋เต๋อหลินพยักหน้า หันหน้าไปมองเยี่ยเทียน กล่าวว่า “เสี่ยวเจ้า รอเธอขึ้นมาแล้วพวกเรามาดื่มกันสัก สองสามแก้ว วันนี้นับว่าเธอได้ช่วยเหลือฉันแล้วล่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ประธานอู๋เกรงใจเกินไปแล้ว”
ด้วยสถานะของเยี่ยเทียนในปัจจุบัน ไม่สามารถทํานายดวงชะตาให้คนเพื่อเงินได้อีกแล้ว เขาเพียงถูกชะตากับ อู๋เต๋อหลิน บวกกับชาวจีนสร้างเนื้อสร้างตัวในแดนโพ้นทะเลยากลำบาก จึงได้แนะนำไปตามสะดวก หลังจากพูดคุยกันตามมารยาทแล้ว เยี่ยเทียนก็ตามเฉินปินออกจากห้องทำงาน
“คุณจ้าวครับ ช่วยใส่ชุดนิรภัยด้วยครับ…”
เมื่อครู่เห็นความสนิทสนมของหัวหน้ากับเยี่ยเทียน อาปินจึงนอบน้อมต่อเยี่ยเทียน พูดจากับเขาอย่างเกรงอกเกรงใจขึ้นมาทันที
“อากาศร้อนขนาดนี้ ใส่ชุดแบบนี้ด้วยเหรอครับ?”
เห็นชุดนิรภัยผิวหนาเตอะบนพื้น เยี่ยเทียนก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ แม้ว่าหลังจากเขาปิดรูขุมขนแล้ว อุณหภูมิเย็นหรือร้อนก็ไม่อาจแทรกซึมเข้ามาในร่างกาย แต่หากร่างกายต้องคลุมอีกหนึ่งชั้นก็คงไม่สบายตัวนัก
อาปินได้ยินแล้วยิ้มออกมา ตอบว่า “คุณจ้าว ชุดนี้จำเป็นต้องใส่ครับ คุณแค่อดทนสักหน่อย ความจริงก็แค่ร้อนบนผิวดินเล็กน้อย พอลงไปข้างล่างแล้ว อาจจะรู้สึกหนาวก็ได้”
“ที่คุณพูดก็จริง ได้ครับ ผมจะใส่!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า อุณหภูมิบนผิวดินและใต้ดินแน่นอนว่าต้องแตกต่างกัน ในวังหรือบ้านของฮ่องเต้หรือผู้มีอิทธิพลทั้งหลายในสมัยโบราณมักจะขุดลึกลงไปใต้ดินหลายสิบเมตร แล้วแบ่งเป็นห้าหกชั้น แต่ละชั้นใช้ผ้าหนาหนาเป็นฉนวน เพื่อป้องกันอากาศร้อน
ช่วงหน้าหนาวก็นำน้ำแข็งที่กลายเป็นก้อนวางไว้ในห้องเก็บน้ำแข็งชั้นล่างสุด พอถึงหน้าร้อนจะไม่ละลาย นำมาใช้ทำหวานเย็นน้ำบ๊วยดับร้อนในได้ แน่นอนว่าคนที่สามารถหาความเพลิดเพลินใจได้ระดับนี้ ไม่มีใครที่ไม่มีอำนาจล้นฟ้าหรือร่ำรวยมหาศาล
“คุณจ้าว หมวกนิรภัยก็ต้องใส่ครับ นี่เป็นกฎเหล็กของเถ้าแก่ หากเป็นคนที่ลงไปในเหมือง จะต้องใส่ทุกคน” รอให้เยี่ยเทียนใส่ชุดนิรภัยหนาเตอะเสร็จแล้ว อาปินก็ส่งหมวกนิรภัยใบหนึ่งให้เยี่ยเทียน อู๋เต๋อหลินเคยทำงานในเหมือง จึงให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นพิเศษ
หลังจากสวมใส่เสร็จแล้ว เยี่ยเทียนก็ตามหลังอาปิน เดินเข้าไปยังโครงสร้างทางเข้าออกเหมืองทอง
พื้นที่โครงสร้างนี้ใหญ่มาก ภายในกว้างขวางหลายร้อยตารางเมตร แบ่งได้เป็นหลายเขต แต่ละเขตล้วนมีคนงานกำลังง่วนอยู่ ตรงข้ามประตูเป็นลิฟท์แห่งหนึ่งที่สามารถขนคนได้ทั้งหมดยี่สิบคนในเวลาเดียวกัน ด้านข้างลิฟท์ เป็นสายพานสองสาย เครื่องจักรสั่นสะเทือนส่งเสียงดังอึกทึก ขนเอาแร่ทองคำดิบขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันจากใต้ดินขึ้นมาด้านบน
“เหมืองทองแห่งนี้ไม่เลวเลย!”
แร่หินทองคำที่อยู่บนสายพานส่วนใหญ่มีสีดำมะเมื่อม ขนาดที่ต่อให้เป็นคนในวงการมองแค่ลักษณะภายนอก ยังมองไม่ออก แต่ว่าคุณสมบัติของธาตุทั้งห้าที่แผ่ออกมาจากภายในทองคำ กลับไม่สามารถหลบหลีกญานสัมผัสของเยี่ยเทียนได้
“แน่นอนอยู่แล้วครับ เหมืองทองแห่งนี้สามารถจัดอยู่ในสามอันดับแรกของเคปทาวน์” เฉินปินยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ และในเวลานั้นเอง ลิฟท์ด้านล่างก็เคลื่อนขึ้นมาบนพื้นดิน คนงานยี่สิบกว่าคนเดินออกมาจากด้านใน
“คุณจ้าวครับ พวกเราลงไปกันเถอะ”
รอให้คนงานออกมากันจนหมดแล้ว เฉินปินก็เรียกให้เยี่ยเทียนเข้าไปในลิฟท์ ความจริงทีแรกพวกเขาจะต้องลงไปพร้อมกับคนงานเหมือง แต่ว่าอู๋เต๋อหลินฝากฝังเยี่ยเทียนให้เป็นแขกพิเศษ เฉินปินจึงไม่ปล่อยให้เยี่ยเทียนเข้าลิฟท์กับคนงานเหล่านั้น
“มิน่าล่ะเหมืองแร่ถึงเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายสุดๆ”
พอเข้าไปในลิฟท์ เยี่ยเทียนก็อดส่ายหน้าไม่ได้ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ จะติดตั้งลิฟท์ที่ใช้ในอาคารก็ทำไม่ได้ ลิฟท์ประเภทนี้ความจริงก็เป็นแค่กรงเหล็กขนาดใหญ่ใช้รอกดึงขึ้นมา อัตราความปลอดภัยจึงไม่สูงเท่าไหร่นัก
ขณะที่ลิฟท์เคลื่อนลงไป ลำแสงรอบด้านก็ค่อยๆ มืดสลัวลง ทุกๆ จุดที่ลึกลงไปสิบกว่าเมตร จะมีดวงไฟสีเหลืองหม่นเล็กๆ นอกจากเสียง “ครืดคราด” น่ารำคาญที่ได้ยินอยู่ริมหู ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย
เหมืองแห่งนี้อยู่ใต้พื้นดินร้อยกว่าเมตร เพียงขึ้นลิฟท์ใช้เวลาไม่กี่นาที ตอนลงมาถึงก้นเหมือง คนงานอีกกลุ่มที่เตรียมตัวจะขึ้นไปก็รออยู่ตรงนั้นแล้ว
“ไอโลหะเข้มข้นมากเลย!” พอมาถึงชั้นล่างสุดของเหมือง ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็มีสีหน้าอันตกตะลึง
………………………………………….