บทที่ 2049 สะกดจิตครั้งที่สาม
เยี่ยหวันหวั่นไม่มีเวลามาสนใจเสียงวิจารณ์ของผู้คนรอบข้าง ถือคะแนนเกียรติยศที่เพิ่งได้รับมาสดๆ ร้อนๆ วิ่งฉิวไปหาผู้อำนวยการเฒ่าแล้ว
เยี่ยหวันหวั่นเปิดประตูเข้าไปเสียงดัง ‘ปัง…’
ผู้อำนวยการเฒ่าเหมือนรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าเธอจะมาหาตัวเอง จึงรออยู่ตรงนั้นแล้ว
เยี่ยหวันหวั่นหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะหนังสือ “ผู้อำนวยการคะ คะแนนเกียรติยศของฉันครบถ้วนแล้วค่ะ”
“ไม่เลวๆ ชนรุ่นหลังช่างร้ายกาจเสียจริง!” คล้ายว่าผู้อำนวยการจะอารมณ์ดี ใบหน้าของเขาทอสีแดงเปล่งปลั่ง
เยี่ยหวันหวั่นหัวเราะคิกคักแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ผู้อำนวยการคะ ท่านว่า การที่ฉันสามารถทวงคืนศิลาจารึกของโรงเรียนชื่อเยี่ยนกลับมาได้ในครั้งนี้ มีผลงานใหญ่ขนาดนี้ ท่านจะเพิ่มการสะกดจิตให้ฉันอีกสักครั้งได้ไหมคะ”
“เธอมันจิ้งจอกน้อยเจ้าเล่ห์ พูดจาใหญ่โตเชียวนะ ที่รับปากจะช่วยสะกดจิตให้เธอเดิมทีก็เป็นกรณีพิเศษอยู่แล้ว หนึ่งครั้งต่อคะแนนเกียรติยศห้าหมื่นคะแนน ขาดไปไม่ได้แม้แต่คะแนนเดียว ผลงานของเธอ ก็ถือว่าเป็นการตอบแทนความเอ็นดูที่ฉันมีให้เธอแล้วกัน” ผู้อำนวยการเฒ่ากล่าวพลางลูบเครา
เยี่ยหวันหวั่นขบฟันกราม หมดคำพูดแล้ว จิ้งจอกเฒ่าตัวนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะหน้าไม่อายยิ่งกว่าเธอซะอีก รู้ว่าเธอต้องการฟื้นฟูความทรงจำอย่างเร่งด่วน นี่เป็นการกดดันให้เธอจัดการภารกิจมากมายนั้นให้เสร็จสิ้นสินะ!
จากนั้นผู้อำนวยการก็เอ่ยขึ้นว่า “ถ้าเตรียมตัวมาดีแล้ว งั้นพวกเรามาเริ่มกันเลยเถอะ”
เยี่ยหวันหวั่นไม่สนใจอะไรมากมายอีกต่อไปแล้ว เอนตัวนอนลงบนเก้าอี้ยาวอย่างอดรนทนไม่ไหว “เริ่มเถอะค่ะ”
ผู้อำนวยการทำเหมือนที่ผ่านมา สะกดจิตเธอให้เข้าสู่ห้วงลึก
เยี่ยหวันหวั่นหลับตาลง โลกก็ค่อยๆ เต็มไปด้วยความมืดมิด
เธอรู้สึกราวกับตัวเองกำลังเดินลอดผ่านอุโมงค์ทางเดินยาวเหยียด ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน จู่ๆ เบื้องหน้าของเธอก็เริ่มเปิดโล่งสว่างไสว มีลำแสงมากมายส่องลอดเข้ามา
ในฉากมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังสังสรรค์กันอยู่ เยี่ยหวันหวั่นมองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยมากมาย ทั้งหมดเป็นคนของพันธมิตรอู๋เว่ย
“ผู้นำครับ คุณดูสิ นี่คือหลานชายของผม ฟู่หมิงซี เด็กคนนั้นอย่างอื่นไม่ได้เรื่องเลย มีแต่หน้าตาที่พอเข้าท่า นิสัยก็ว่านอนสอนง่ายมากด้วย คิดว่าน่าจะเข้าตาท่านผู้นำนะครับ!” ดูจากรูปร่างหน้าตาของผู้พูดแล้วน่าจะเป็นผู้อาวุโสรอง
“หลานชายนายงั้นเหรอ”
“ใช่ๆๆ ผู้นำคิดว่าเป็นยังไงบ้างครับ”
เยี่ยหวันหวั่นรับรูปภาพมาดูแวบหนึ่ง จากนั้นก็เผยสีหน้าตกตะลึงนิดๆ
หน้าตาของฟู่หมิงซีคนนี้นับว่ายอดเยี่ยมจริงๆ ช่วงหลายปีมานี้เธอไปมาทั่วทุกสารทิศตั้งแต่เหนือจรดใต้แล้ว คนงามแบบไหนบ้างที่จะไม่เคยพบเห็น แต่สิ่งที่ทำให้เธอสนใจคือ ใบหน้าของฟู่หมิงซีคนนี้ดูคล้ายคลึงกับใครคนหนึ่งอยู่บ้าง
แม้ว่าจะเป็นความคล้ายคลึงที่น้อยนิดมาก แต่ก็ทำให้เธอมีสีหน้าเลื่อนลอยไปแวบหนึ่ง
พอผู้อาวุโสรองเห็นว่ามีหวังแล้ว จึงรีบเอ่ยว่า “ถ้าหากผู้นำไม่รังเกียจ รอให้เขาจบมหาลัยแล้ว ก็จะให้เขามาติดตามผู้นำ! ถึงยังไงก็รู้จักหัวนอนปลายเท้า รู้นิสัยความประพฤติผู้นำวางใจได้เลยครับ!”
“ได้สิ!” เยี่ยหวันหวั่นตอบรับ
ผู้อาวุโสรองดีอกดีใจขึ้นมาทันที “ดีเหลือเกิน ผู้นำครับ งั้นเรื่องมงคลนี้ก็ตกลงตามนี้เลยนะครับ!”
เมื่อความทรงจำดำเนินมาถึงตรงนี้…
เยี่ยหวันหวั่นที่ถูกสะกดจิตอยู่ก็มีความรู้สึกอยากที่จะระอักเลือดออกมาวูบหนึ่งโดยไม่มีสาเหตุ
ทำไมกันนะไม่ง่ายเลยกว่าจะได้รับโอกาสในการสะกดจิตครั้งที่สามมา ไม่น่าเชื่อเลยว่าความทรงจำแรกสุดจะเป็นประวัติศาสตร์อันดำมืดของเธอ!
ไม่น่าเชื่อเลยว่าตอนนั้นเธอจะตกปากรับคำเรื่องฟู่หมิงซีเอาไว้จริงๆ
ถึงจะพูดออกไปเพราะความเมาก็เถอะ แต่ความจริงที่ว่าเธอรับปากด้วยตัวเองน่ะไม่ผิดแน่
เวรกรรมจริงๆ…
ในส่วนนี้ปล่อยให้เธอหลงลืมต่อไปเถอะ เธอไม่อยากจดจำมันเลย
ในเวลาเดียวกันนี้ เธอสังเกตเห็นว่า ตัวเองคล้ายจะเข้าถึงอารมณ์ของตัวเองในตอนนั้นได้ ช่วงที่พูดคุยกับผู้อาวุโสรอง ทั้งจิตใจร่างกายล้วนว่างเปล่าไปหมด เหมือนจะไม่มีกะจิตกะใจกับอะไรทั้งนั้น
เธอเดาได้เลยว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่ตอนนั้นจะเป็นช่วงที่เพิ่งถูกจี้ซิวหร่านปฏิเสธมาไม่นาน และเห็นได้ชัดว่าในใจยังคงปล่อยวางไม่ได้ ดังนั้นถึงได้ใจลอยไปเพราะฟู่หมิงซีหน้าตาคล้ายกับจี้ซิวหร่านอยู่นิดหน่อย
—————————————————————
บทที่ 2050 มองแวบหนึ่งตราตรึงใจ
เยี่ยหวันหวั่นยังไม่ทันได้ขบคิดอย่างลึกซึ้ง ฉากก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ตรงหน้าคือห้องโถงใหญ่ที่โอ่อ่าสง่างาม
“อู๋โยว หลานพาคนในพันธมิตรอู๋เว่ยของหลานไปด้วยกันซะ”
“แต่ว่า คุณตาคะ…”
“ทำไม ตอนนี้แม้แต่คำพูดของตาหลานก็ไม่เชื่อฟังแล้วสินะ”
“อู๋โยวไม่กล้าหรอกค่ะ”
หลังจากบทสนทนาระหว่างเธอกับคุณตาจบลง ฉากก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง
เยี่ยหวันหวั่นพบว่า เธอคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้มาก เป็นสำนักงานใหญ่อาชูร่า
ดูเหมือนพวกเขากำลังนำกำลังคนเข้าโจมตีอาชูร่า รอบข้างเต็มไปด้วยเสียงเอะอะโวยวาย
เยี่ยหวันหวั่นเชื่อมโยงเข้ากับบทสนทนาที่คุยกับคุณตาก่อนหน้านี้แล้วใคร่ครวญดู สรุปได้ว่า ตอนนั้นเพราะเธอได้รับคำสั่งจากคุณตา จึงได้ช่วยกลุ่มสหพันธ์วิทยายุทธ์บุกเข้าโจมตีคุกคนบาปสินะ
ส่วนตัวเธอเอง ดูเหมือนจะไม่อยากมีส่วนรวมในการบุกโจมตีของสหพันธ์วิทยายุทธ์เลยสักนิด แต่เป็นเพราะคำสั่งของคุณตา จึงจำเป็นต้องเชื่อฟัง
เธอย้อนนึกขึ้นได้ว่า ปีนั้น พันธมิตรอู๋เว่ยเข้าร่วมทีมปราบปรามคุกคนบาป ดูเหมือนว่าเธอในฐานะของไป๋เฟิงผู้นำพันธมิตรอู๋เว่ยจะต้องเป็นทัพหน้าพาลูกน้องส่วนหนึ่งเข้าโจมตีอาชูร่าก่อนเป็นกลุ่มแรก
เนื่องจากการโจมตีเป็นไปด้วยความล่าช้า ดังนั้น เธอจึงแอบแทรกซึมเข้าไปในสำนักงานใหญ่อาชูร่าเพียงลำพัง เพราะคิดจะขโมยแผนการรบของพวกเขา
พอนึกย้อนมาถึงตรงนี้ เยี่ยหวันหวั่นก็ตื่นเต้นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
อาชูร่า!
ในที่สุดก็ปรากฏเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับคุณเก้าขึ้นในความทรงจำของเธอแล้ว!
ไม่รู้เลยว่าสรุปแล้วเธอกับคุณเก้าไปรู้จักกันได้ยังไง
หรือจะเป็นอย่างที่เรียกกันว่าไม่ต่อยตีไม่รู้จัก
ยังมีสิ่งที่น่าสังเกตอีกอย่างคือ เธอจำได้ว่าในการสะกดจิตสองครั้งก่อน ความทรงจำจะหนักอึ้งถ่วงทับ มืดมนอึมครึมไปหมด แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป ฉากที่ปรากฏตรงหน้าสว่างสดใสเป็นพิเศษ ทำให้หัวใจเธอหยุดเต้นไปแวบหนึ่ง
คล้ายว่าบางสิ่งที่งดงามล้ำค่าราวกับผลึกคริสตัลที่ซุกซ่อนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ ถูกเปิดแง้มออกมาอย่างแผ่วเบา
เห็นเพียงว่าเธอกระโดดขึ้นไปบนหลังคา ไต่กำแพงเหินละลิ่ว จนมาถึงสวนรกร้างด้านหลังสำนักงานใหญ่โดยไม่ทันรู้ตัว
ดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นเขตหวงห้ามของอาชูร่า มีไว้สำหรับกักขังลงโทษนักโทษที่ฝ่าฝืนกฎของอาชูร่าโดยเฉพาะ
เยี่ยหวันหวั่นตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิมแล้ว ที่นี่คือสถานที่ที่ครั้งก่อนซือเยี่ยหานพาเธอมาแก้พิษไม่ใช่เหรอ
ตอนนั้นเธอยังแปลกใจอยู่เลย รู้สึกว่าคุ้นเคยกับที่นั่นอยู่บ้าง
เธอขอเดาเลยว่า มีความเป็นไปได้แปดสิบเปอร์เซ็นต์ว่าจะเป็นสถานที่ที่เธอได้พบกับซือเยี่ยหานเป็นครั้งแรก!
ขณะที่เยี่ยหวันหวั่นก็กำลังย้อนทวนความทรงจำต่อไปอย่างเป็นสุข ผลคือวินาทีต่อมาได้เกิดฉากอันน่าสลดขึ้น
เกิดเสียงดัง ‘สวบ’ เธอเหยียบโดนกับดักของอาชูร่า
กลไกถูกเปิดใช้งานทันที ใบมีดแหลมคมนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่เธอ ทั้งต้นขาและหน้าท้องส่วนล่างของเธอล้วนได้รับบาดเจ็บ
แม้ว่าเยี่ยหวันหวั่นจะอยู่ในสภาวะสะกดจิตระลึกความทรงจำ ไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวด แต่ก็จินตนาการถึงความหวาดเสียวที่เกือบโดนแทงจนพรุนเป็นเม่นออก
เยี่ยหวันหวั่นอยากจะยื่นขอรีฟันด์กับผู้อำนวยการเฒ่าแล้ว ทำไมความทรงจำที่กลับคืนมามีแต่เรื่องโหดร้ายแบบนี้ล่ะ
มองเห็นเพียงว่าเยี่ยหวันหวั่นโยกซ้ายย้ายขวา ไม่ง่ายเลยกว่าจะพ้นกับดักมาได้ แต่ก็เหนื่อยล้าและเต็มไปด้วยบาดแผลแล้ว
ท้องฟ้ามืดสลัว เยี่ยหวันหวั่นบุกเข้าไปบ้านพักหลังหนึ่งด้วยความลนลาน
เยี่ยหวันหวั่นกระโดดเข้าไปในสนามหญ้า ภายในสวนว่างเปล่าไร้ผู้คน
ช่วงเวลานี้เป็นฤดูหนาว หิมะแรกของรัฐอิสระได้โปรยปรายลงมาในค่ำคืนนี้ ดวงจันทร์แขวนลอยส่องสว่างอยู่เหนือศีรษะ บ้านพักกลางสวนที่รกร้างว่างเปล่าหลังจากถูกปกคลุมด้วยชั้นหิมะสีขาวเงินยวง เมื่ออยู่ในคืนฤดูหนาวแบบนี้ จึงแลดูงดงามเป็นพิเศษ
และในเวลานี้ เยี่ยหวันหวั่นได้พบเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมบางๆ ตัวหนึ่ง ยืนอยู่ริมทะเลสาบ
เพราะได้ยินเสียงฝีเท้าของเยี่ยหวันหวั่น ชายหนุ่มจึงค่อยๆ หันมา และมองไปที่เธอ…
แค่เห็นแวบเดียว เยี่ยหวันหวั่นก็ทึ่มทื่อไป ลืมเลือนแม้แต่ความเจ็บปวดบนร่างกาย
ตอนนี้นาทีนี้
นอกจากสีสันของพระจันทร์กับสีสันของหิมะแล้ว
เขาคือสีสันอันงดงามอย่างที่สาม…
……………………………….