บทที่ 1666 พบเจอกันยาก

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

“ต้องให้ข้ารอพวกเจ้าเสร็จธุระกันก่อนรึเปล่า?”

ด้านนอกมีเสียงโกรธเกรี้ยวจนยั้งอารมณ์ไม่อยู่ของหวงฝู่ตวนหรงดังมา ในฐานะคนเป็นมารดา การที่สามารถที่สามารถทำเรื่องพิลึกถึงขั้นนี้ได้ คงที่อับอายจนทนไม่ไหวจริงๆ ก็คือนางต่างหาก

สองคนที่อยู่ในห้องโดยสารเรือลนลานอีกพักหนึ่ง รีบใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย

หลังจากออกมาแล้ว พอขึ้นมาบนตึกเรือแล้วเจอกันอีกครั้ง พวกเขาก็อึดอัดเก้อเขินมาก เหมียวอี้เดินอยู่ข้างหน้า หวงฝู่จวินโหรวหลบอยู่ข้างหลังอย่างอ่อนปวกเปียก

หวงฝู่ตวนหรงถลึงตาจ้องอย่างโมโหครู่หนึ่ง จากนั้นหันตัวไปเตะเปิดประตู  แล้วเดินกระฟัดกระเฟียดเข้าไป ต่อให้จะโมโหอย่างไร แต่ข้างนอกก็ไม่ใช่สถานที่คุยกัน

เหมียวอี้หันกลับไปส่งสายตาให้หวงฝู่จวินโหรวอีกครั้ง ราวกับกำลังถามว่า ไหนเจ้าบอกว่าแม่เจ้าจะมาพรุ่งนี้ไง?

หวงฝู่จวินโหรวตอบกลับด้วยสายตาที่สื่อว่า ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะ

จะหลบก็หลบไม่พ้น สุดท้ายทั้งสองก็ทำได้เพียงแข็งใจเดินตามเข้าไป

เมื่อเห็นสุนัขตัวผู้กับสุนัขตัวเมียคู่นี้อีกครั้ง ปั้ง! หวงฝู่ตวนหรงที่นั่งลงข้างโต๊ะน้ำชาใช้ฝ่ามือตบโต๊ะ ชี้เสื้อผ้าของทั้งสองที่ยังสวมใส่ไม่เรียบร้อย พร้อมกล่าวอย่างโมโหว่า “พวกเจ้า…” พูดอะไรต่อไม่ไหวแล้ว ไม่รู้ว่าจะด่าอย่างไรดี จะบอกว่าพวกเขาทำผิดเหรอ? แต่นางอนุญาตไปแล้วนะ ในเมื่ออนุญาตไปแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างสุนัขตัวผู้กับสุนัขตัวเมียก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่สุดท้ายก็ยังหาข้ออ้างได้ นางชี้หวงฝู่จวินโหรวพร้อมบอกว่า “เจ้าบอกไม่ใช่เหรอว่าเขาอยากจะเจอข้าเฉยๆ? เจ้าถ่อมาได้ยังไง? เจ้าบอกว่าเจอกันพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ? ทำไมเขามาวันนี้แล้วล่ะ?”

หวงฝู่จวินโหรวชี้เหมียวอี้อย่างอ่อนปวกเปียก “เขาบอกว่าเขาคิดถึงข้า ให้ข้ามาล่วงหน้าหนึ่งวัน”

อะไรนะ? เหมียวอี้ตะลึงค้าง มองนางอย่างงุนงงเล็กน้อย อย่าเล่นอย่างนี้สิ!

แต่แล้วอย่างไรล่ะ? เรื่องแบบนี้ชายหญิงสมัครใจยินยอม ไม่มีเหตุผลที่จะให้ผู้หญิงแบกรับไว้คนเดียว ชายชาตรีอย่างเขาทำได้เพียงยอมรับแล้ว ได้แต่ก้มหน้าเล็กน้อย

ดูผู้หญิงให้ดูมารดา เมื่อเห็นปฏิกิริยาของทั้งสอง ในหัวหวงฝู่ตวนหรงก็ใช้ความคิดเล็กน้อย พอจะเดาได้คร่าวๆ แล้วว่าเรื่องเป็นอย่างไร

เดาได้ก็ส่วนเดาได้ แต่ถ้าพูดคุยเรื่องนี้ต่อไปก็ไม่มีความหมาย หวงฝู่ตวนหรงชี้ทั้งสองพร้อมพยักหน้าพูดอย่างปวดใจ  “ต่อให้พวกเจ้าจะหน้าด้านหน้าทนขนาดไหน แต่ก็ต้องพิจารณาถึงความปลอดภัยของตัวเองสักหน่อยสิ ถ้าให้คนนอกรู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเจ้าสองคนเมื่อไร ต้องให้ข้าพูดซ้ำมั้ยว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง? ไม่รู้จักแยกแยะความสำคัญ…”

ทั้งสองถูกด่ายับเยิน ถูกด่าจนเถียงไม่ออก ทำได้เพียงก้มหน้าฟัง

หลังจากระบายอารมณ์โกรธพอแล้ว สุดท้ายหวงฝู่ตวนหรงก็วกกลับมาพูดธุระหลัก ชำเลืองมองเหมียวอี้พร้อมแสยะยิ้ม “ข้าว่าไม่ต้องรอให้ถึงพรุ่งนี้แล้วมั้ง? ผัดวันประกันพรุ่งไปก็เท่านั้น ว่ามาเถอะ นัดข้ามามีธุระอะไร?”

เหมียวอี้จัดการความรู้สึกตัวเองเล็กน้อย นำระฆังดาราสองอันที่ลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองออกมา แล้ววางไว้บนโต๊ะน้าข้างหวงฝู่ตวนหรง

“หมายความว่ายังไง?” หวงฝู่ตวนหรงเหล่ตาถาม

“หวังว่าต่อไปนี้ผู้อาวุโสจะติดต่อกับข้ามากๆ หน่อย ผู้น้อยจะได้ไม่เดินผิดทาง” เหมียวอี้ตอบอย่างใจเย็น

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ไม่ใช่แค่หวงฝู่ตวนหรงที่หนังตากระตุก แม้แต่หวงฝู่จวินโหรวเองก็แอบตกใจ เข้าใจได้ไม่ยากว่าคำพูดเหมียวอี้หมายความว่าอย่างไร

ที่เหมียวอี้มาครั้งนี้ ก็เพราะอยากสร้างช่องทางการติดต่อลับๆ กับหวงฝู่ตวนหรง เนื่องจากหวงฝู่จวินโหรวรู้เรื่องสมาคมวีรชนอย่างจำกัด แต่หวงฝู่ตวนหรงนั้นต่างกัน ต่อให้นางจะไม่ใช่คนที่อยู่แกนกลาง แต่นางก็ใกล้ชิดกับคนที่อยู่แกนกลางของสมาคมวีรชน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เส้นสายที่ควรจะใช้ก็ยังต้องใช้ เขาต้องอาศัยหวงฝู่ตวนหรงเพื่อรู้ข้อมูลบางอย่างที่ไม่เป็นผลดีต่อเขา จะได้รับมือได้ทันเวลา

แต่สำหรับหวงฝู่ตวนหรงแล้ว การเปิดเผยความลับต่อคนนอกก็ไม่ต่างอะไรกับการทรยศตระกูลหวงฝู่

หวงฝู่ตวนหรงเริ่มใบหน้าตึงแข็งเล็กหน่อย นางตะคอกหวงฝู่จวินโหรว “เป็นผู้หญิงแต่งตัวไม่เรียบร้อย มีอย่างที่ไหน ยังไม่รีบไปจัดเสื้อผ้าอีก”

หวงฝู่จวินโหรวเข้าใจว่ามารดาต้องการให้ตัวเองหลบเลี่ยงไป นางจึงกัดฟันหันตัวเดินออกไปอย่างช้าๆ ก่อนจะออกไปก็ยังส่งสายตาเตือนเหมียวอี้ด้วย บอกใบ้ว่าอย่าทรยศนาง อย่าบอกว่านางเป็นคนเล่นตุกติกกับการนัดครั้งนี้…ต้องการให้ท่านขุนนางเหมียวแบกรับเรื่องไร้ยางอายนี้ไว้คนเดียว

พอร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดสำรวจภายนอก แน่ใจแล้วว่าลูกสาวไปแล้ว หวงฝู่ตวนหรงก็ลุกขึ้นยืน จ้องตาเหมียวอี้พร้อมถ่ายทอดเสียงบอกอย่างเย็นเยียบ “เจ้ากับโหรวโหรวเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ามีเจตนาแอบแฝงใช่มั้ย จุดประสงค์ของเจ้าก็คือสิ่งที่เจ้าพูดออกมาวันนี้ เจ้าหลอกใช้โหรวโหรวมาตลอด ใช่มั้ย?”

เหมียวอี้ตอบว่า “ผู้จัดการใหญ่คิดมากไปแล้ว ในปีนั้นตอนที่ข้ากับจวินโหรวคบกัน ข้าคิดถึงเรื่องพวกนี้เสียทีไหนกันล่ะ แต่วันนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมแล้ว ผู้จัดการใหญ่ก็รู้ว่าสถานการณ์ของข้าตอนนี้เป็นยังไง ข้าต้องการแรงสนับสนุนจากผู้จัดการใหญ่!”

หวงฝู่ตวนหรงจึงบอกว่า “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะกำลังหลอกใช้โหรวโหรวหรือไม่ เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น ข้าไม่มีทางทรยศตระกูลเพื่อลูกสาวตัวเองหรอก…” เมื่อเห็นเหมียวอี้คิดจะโน้มน้าวอีก นางก็ยกมือตัดบท “ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว เจ้าเองก็ไม่ต้องเอาเรื่องโหรวโหรวมาขู่ข้า เจ้าขู่ข้าไม่ได้หรอก ถ้าเรื่องนี้เปิดเผยออกไป ก็ไม่เป็นผลดีกับเจ้าเหมือนกัน ดังนั้นข้าไม่ตอบตกลงเรื่องนี้!”

เหมียวอี้เงียบแล้ว สงสัยตัวเองจะมองโลกในแง่ดีเกินไปหน่อย ทำให้เขาคิดทบทวนตัวเองเช่นกัน ว่าเขามั่นใจในตัวเองเกินไปหรือเปล่า ไม่น่าเชื่อว่าจะพูดอะไรแบบนี้กับหวงฝู่ตวนหรงตรงๆ ได้ ตัวเองมีสิทธิ์อะไรไปขอให้อีกฝ่ายทำอย่างนี้? ตระกูลหวงฝู่ต่างหากที่เป็นรากฐานให้พวกนางสองแม่ลูกตั้งตัว ไม่ใช่เขาเหมียวอี้ สำหรับพวกนางสองแม่ลูก เขาเอายังเอาตัวไม่รอดเลย แล้วจะให้อะไรพวกนางได้?

“ข้าวู่วามไปหน่อย” เหมียวอี้พยักหน้า แล้วยื่นมือหวังจะเก็บระฆังดาราสองอันกลับมา

แต่หวงฝู่ตวนหรงยกมือห้าม แล้วชี้นิ้วลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองบนระฆังดาราสองอันนั้น เก็บไว้ที่ตัวเองหนึ่งอัน “ยังต้องติดต่อกันอยู่ ต่อไปถ้ามีเรื่องอะไรก็ติดต่อข้าโดยตรง อะไรที่ช่วยได้ข้าก็จะช่วย ส่วนโหรวโหรวน่ะ พยายามพบกันน้อยๆ หน่อย…สิ่งที่ควรพูดก็พูดไปแล้ว ข้าส่งตรงนี้!” พูดแบบนี้เท่ากับไล่แล้ว

เหมียวอี้อยากจะขอให้นางช่วยสืบเรื่องที่อยู่ของน้องสาวเจียงอีอีสักหน่อย แต่ตอนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องพูดอีกแล้ว เขาเก็บระฆังดาราอีกอันเอาไว้ สวมใส่หนังปลอมบนใบหน้า กุมหมัดคารวะหวงฝู่ตวนหรงแล้วหันตัวเดินออกไป พอออกจากประตูแล้วก็เหาะขึ้นฟ้าไปทันที

คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ตอนเหาะออกไปสะเทือนจนหวงฝู่จวินโหรววิ่งออกมา พอเห็นเหมียวอี้ไปโดยไม่ลานางสักคำ นางก็โมโหจนกระทืบเท้า แอบด่าว่าผู้ชายไม่จริงใจ

พอหันกลับมาก็เห็นมารดากำลังจ้องลงมาจากตึกเรือด้วยสายตาเย็นเยียบ นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกคับแค้นใจ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เจอเหมียวอี้สักครั้ง ยังไม่ทันได้อยู่ด้วยกันให้หนำใจ ก็ถูกมารดาทำลายแผนการเสียแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าสองคนนั้นคุยอะไรกัน…

พอแยกจากหวงฝู่จวินโหรว เหมียวอี้ก็ไม่ได้กังวลว่าจะไม่มีผู้หญิงอยู่ด้วย

ในป่าภูเขาเขีนสชอุ่ม สองพี่น้องหลางหวนเดินอยู่ทางข้างซ้ายและขวา เดินทอดน่องพูดคุยยิ้มแย้มกับเขาอยู่ในป่าภูเขา สาวงามมาเป็นคู่ ดอกไม้หอมไม่โรยรา ชีวิตนี้จะหาได้สักกี่คน

บนทุ่งหญ้าที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ฝ่าอินที่ลดความโง่เขลาและมีความรู้สึกขึ้นมาหลายส่วนกำลังยืนอยู่ท่ามกลางหญ้าเขียวมรกตสูงเท่าเข่า ชุดกระโปรงสีขาวบริสุทธิ์พลิ้วไหวตามสายลม มีเสน่ห์น่าประทับใจไปอีกแบบ ในดวงตาสงบอ่อนโยนที่กำลังทอดมองเส้นขอบฟ้าเผยให้เห็นการหลอมรวมระหว่างปัญญาและความผุดผ่องไร้ราคี

เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินช้าๆ เข้ามาใกล้ จ้องใบหน้าด้านข้างอันงดงามของนางพักหนึ่ง พบว่าผู้หญิงคนนี้มีความเปลี่ยนแปลงเยอะมาก ในขณะที่อยู่ด้วยกัน เขารู้สึกว่านางไม่ใช่ผู้หญิงซื่อบื้อที่ทำให้เขาอยากหนีเหมือนในปีนั้นแล้ว อย่างไรเสียก็เข้าสู้ทางโลกมาหลายปี เข้าใจอารมณ์ฟุ้งซ่านของมนุษย์ปุถุชนหมดแล้ว

สายตาไปหยุดอยู่บนหน้าผากขาวบริสุทธิ์เกลี้ยงเกลาที่กำลังรับลมของนาง แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า  “กำลังคิดอะไรอยู่?”

ฝ่าอินเอียงหน้าสบตาเขา ในดวงตาฉายแววแห่งปัญญาบริสุทธิ์ นางมองไปตรงจุดไกลๆ อีกครั้ง แล้วตอบด้วยรอยยิ้มสุขุมเยือกเย็น “กำลังคิดว่าในอนาคตจะไปทางไหนดี”

เหมียวอี้จึงกล่าวกลั้วหัวเราะ “เข้าสู่ทางโลกมาหลายปีแล้ว ไม่เคยได้ยินเหรอว่าแต่งกับสนัขก็ตามสุนัข แต่งกับไก่ก็ตามไก่ ข้าอยู่ตรงนี้ ยังต้องคิดอีกเหรอว่าจะไปทางไหน?”

ฝ่าอินโค้งมุมากยิ้มบางๆ ยิ้มพลางส่ายหน้าเบาๆ ท่าทางเหมือนไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ

เหมียวอี้ยื่นแผ่นหยกแผ่นหนึ่งมาตรงหน้านาง บอกใบ้ให้รับไป

“อะไรเหรอ?” ฝ่าอินรับไว้แล้วเอ่ยถาม

“ของขวัญ หฤทัยสูตรสุขาวดีภาคดิน ชอบหรือเปล่า?”

“ขอบคุณ”

จันทร์กระจ่างฟ้าดาราเลือนราง บนยอดเขาแห่งหนึ่ง ชายหญิงนั่งด้วยกันอยู่ริมหน้าผา

อวี้หนูเจียวหนุนศีรษะบนบ่าเหมียวอี้ ร่างกายแอบอิงอยู่บนตัวเหมียวอี้ครึ่งหนึ่งขณะที่มองดวงดาว เมื่อเห็นแผ่นหยกยื่นมาตรงหน้า จึงเอ่ยถามเหมือนกับฝ่าอินก่อนหน้านี้ “อะไรเหรอ?”

“ของขวัญที่มอบให้เจ้า เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางภาคดิน” เหมียวอี้ตอบอย่างสงบใจเย็น

ในกระท่อมตรงตีนเขา จีเหม่ยลี่นั่งยองๆ อยู่หน้าโต๊ะยาว สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ ยกแขนเสื้อและวางมือต้มน้ำชาอย่างไม่ทุกข์ร้อน สงบนิ่งมาก

เหมียวอี้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามนำแผ่นหยกออกมา แล้วผลักไปตรงหน้านาง “มหาเคล็ดวิชาหมื่นปีศาจภาคดิน”

สายตานางหยุดชะงักแผ่นหยก ในขณะที่รินน้ำชาใส่ถ้วย ก็ลองถามว่า “ข้ามอบให้ท่านพ่อได้หรือเปล่า?”

เหมียวอี้ยิ้มบางๆ “เดิมทีก็เป็นของขวัญที่มอบให้เจ้าอยู่แล้ว มันกลายเป็นของเจ้าแล้ว เจ้าอยากจะมอบให้ใครก็ได้” ตอบเสร็จก็จิบน้ำชา

หกเคล็ดวิชาพิเศษภาคดินนี้ เดิมทีเขาเตรียมจะส่งไปให้พวกจีฮวนที่แดนอเวจี ทว่าอวิ๋นจือชิวกลับยื่นมือเข้ามาแทรก นางไม่ได้ห้ามไม่ให้ส่งให้พวกจีฮวน แต่ให้เขานำของพวกนี้มอบเป็นของขวัญให้พวกจีเหม่ยลี่แทน ให้พวกอนุภรรยาตัดสินใจเอง ถึงแม้สุดท้ายจะตกอยู่ในมือพวกจีฮวนเหมือนเดิม แต่สำหรับบรรดาอนุภรรยาแล้ว ความหมายก็จะแตกต่างกันมาก

เหตุผลของอวิ๋นจือชิวก็ไม่ได้ซับซ้อนเลย การนำหกเคล็ดวิชาพิเศษมาเป็นของขวัญ เดิมทีก็เป็นของขวัญล้ำค่าอยู่แล้วไม่ง่ายเลยกว่าเจ้าจะได้เจอพวกนาง ควรจะให้ของขวัญล้ำค่าสักหน่อย ถ้าพวกนางเป็นคนมอบของขวัญนี้ให้ตระกูลและอาจารย์ ความหมายก็จะไม่ธรรมดาแล้ว อย่างน้อยก็ทำให้พวกนางรู้ว่าการแต่งงานกับเหมียวอี้ไม่ได้สูญเปล่า ประการต่อมา ยังช่วยยกระดับฐานะของพวกนางในตระกูลและสำนักได้ด้วย ถ้าตาแก่พวกนั้นเฝ้ารอเคล็ดวิชาภาคฟ้า ก็จะต้องให้การสนับสนุนพวกนางมากกว่าเดิมแน่นอน และจะทำให้พวกนางเข้าใจด้วย ว่าการที่เจ้าไม่ได้มาพบพวกนางบ่อยๆ นั้นมีเหตุผล ถ้ามัวมาออเซาะตัวติดกันทั้งวัน แล้วจะไปหาหกเคล็ดวิชาพิเศษล่ะ

หลักการบางอย่างไม่จำเป้นต้องอธิบายเยอะ เหมียวอี้ก็ไม่ใช่คนโง่ ชี้แนะนิดหน่อยก็พอ เพียงแต่เขาไม่ได้เป็นผู้หญิงเหมือนอวิ๋นจือชิว จึงไม่ได้คิดละเอียดถี่ถ้วนขนาดนั้น เดิมทีเขาเตรียมจะส่งให้ทั้งสองฝ่าย ไม่มีทางปฏิบัติต่ออนุภรรยาให้เสียเปรียบ แต่พอคิดไปคิดมา ก็เพราะว่าสิ่งวิ๋นจือชิวพูดมีเหตุผลจริงๆ ถึงได้เชื่อฟังคำแนะนำ แค่ส่งให้พวกจีเหม่ยลี่ก็พอแล้ว ให้พวกนางไปส่งต่อให้จะเหมาะสมที่สุด

ถึงแม้จะรู้ว่านี่คือของขวัญล้ำค่ามาก แต่จีเหม่ยลี่ก็ไม่มีแม้แต่ ‘ขอบคุณ’ สักคำ เพียงเก็บแผ่นหยกไว้เงียบๆ

เมื่อดื่มน้ำชาหมด จีเหม่ยลี่ก็ช่วยรินน้ำชาให้อีก แต่เหมียวอี้โบกมือ แล้วลุกขึ้นบอกว่า  “ข้ายังมีธุระ ต้องไปก่อน”

พอเดินไปถึงประตูแล้วหันกลับมา ก็เห็นจีเหม่ยลี่ยังนั่งอยู่ที่เดิม จึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยรอยยิ้มขื่นขม “ไม่ไปส่งข้าสักหน่อยเหรอ?”

ตอนนี้จีเหม่ยลี่ถึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกมาส่ง

ตอนที่ทั้งสองเดินลงบันไดกระท่อม จู่ๆ จีเหม่ยลี่ก็บอกว่า “ได้ยินว่าสถานการณ์ของเจ้าไม่สู้ดีนัก ระวังตัวหน่อย”

เหมียวอี้สบตานางครู่หนึ่ง ก่อนจะขานรับ “อืม” แล้วบอกว่า “ไปแล้วนะ!” เสร็จแล้วก็สะบัดแขนเสื้อสองข้าง พุ่งขึ้นฟ้าไปแล้ว

บนท้องฟ้า เขาก้มหน้ามองคนที่กำลังเงยหน้ามองเขา ในใจแอบทอดถอนใจ นอกจากสองพี่น้องหลางหวน ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับผู้หญิงพวกนี้ก็ไม่รู้ว่ายิ่งเหินห่างมากขึ้นเรื่อยๆ หรือเปล่า สรุปก็คือยิ่งนับว่าพวกนางก็ยิ่งเงียบงันต่อเขามากขึ้น แทบจะหาเรื่องคุยกันไม่ได้เลย พวกนางทุกคนดูเงียบมาก ไม่ค่อยเอ่ยปากคุยอะไร

เหาะเดินทางอยู่ในดาราจักรตลอดทาง พวกอนุภรรยาที่ได้รับข่าวล้วนมารอตรงจุดนัดหมายล่วงหน้า เหมียวอี้อยู่กับพวกนางคนละสองวัน

สุดท้ายก็ไปเจอกับหลันโฮ่วและจางเทียนเซี่ยว การแต่งตัวที่ภูมิฐานเกินจริงของทั้งสองได้เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้ดูแลร้านค้าของลัทธิอู๋เลี่ยงที่ตลาดสวรรค์

นัดคุยกับทั้งสองได้สองชั่วยาม หลังจากบอกลาแล้ว เหมียวอี้ก็มุ่งตรงสู่แดนอเวจี

…………………………