บทที่ 1667 ลงทุนควักเนื้อ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

สาเหตุที่เสียเวลาอยู่อย่างนี้ตลอดทาง ก็เพราะจะถือโอกาสจัดการธุระและให้เวลาคนในแดนอเวจีเตรียมตัว พอเขาไปถึงแดนอเวจี ทุกอย่างก็ถูกเตรียมไว้เรียบร้อยพอดี

หลังจากพูดคุยกับจินม่านและพวกบุคคลระดับสูงของหกลัทธิ พวกเขาก็เหาะออกจากดาวอู๋เลี่ยงพร้อมกัน ไปยังดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ

พวกเขาเหยียบลงบนหน้าผาแห่งหนึ่งแล้วมองลงไป ตรงตีนเขามีทัพใหญ่หนึ่งล้านมารวมตัวกันเรียบร้อยแล้ว ดูมีพลังอำนาจมาก

เหมียวอี้เอียงหน้ามองหยางชิ่งแวบหนึ่ง หยางชิ่งพยักหน้าเบาๆ บอกเป็นนัยให้เขาวางใจ เรื่องนี้ไม่มีปัญหา

เหมียวอี้หยิบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งยื่นให้หยางชิ่ง

หยางชิ่งจัดเตรียมของในกำไลเก็บสมบัติทันที แล้วเรียกให้คนของหกลัทธิมารับไปแจกจ่าย

ผ่าไปไม่นานก็เห็นทัพใหญ่หนึ่งล้านข้างล่างรีบร้อนเคลื่อนไหว ทั้งหมดเปลี่ยนใส่เครื่องแบบแล้ว

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม การเคลื่อนไหวก็หยุดแล้ว เกราะแดง เกราะม่วง เกราะทอง ทัพใหญ่หนึ่งล้านสวมเครื่องแบบทางการของตำหนักสวรรค์ทั้งหมด สะท้อนแสงระยิบระยับอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ บรรยากาศโหดเหี้ยมน่าเกรงขาม

สิ่งที่ทำให้คนบนหน้าผาหนังตากระตุกก็คือ ทุกคนในทัพใหญ่หนึ่งล้านล้วนถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ทำให้พวกเขาตาลุกวาว

“มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนี้อยู่ในมือ ต่อไปเมื่ออยู่ในแดนอเวจี กำลังพลฝ่ายโจรกบฎก็เลิกคิดว่าจะข่มเหงพวกเราได้ง่ายๆ เลย!” ลวี่เกอเอียงหน้าถ่ายทอดเสียงบอกจินม่าน

คำพูดนี้กล่าวไว้ไม่ผิด ถ้าพูดถึงกำลังพล พวกเขาเทียบตำหนักสวรรค์ไม่ติดจริงๆ แต่ถ้าเทียบศักยภาพของกำลังพล ฝั่งแดนอเวจีก็ไม่ได้มีศักยภาพด้อยกว่าตำหนักสวรรค์เลย ถึงขั้นเหนือกว่าด้วยซ้ำ กำลังพลในนี้ล้วนเป็นหัวกะทิของหกลัทธิที่เผชิญความเปลี่ยนแปลงและรอดชีวิตผ่านมาเป็นร้อยศึก แต่จนใจที่ในมือตำหนักสวรรค์มีอาวุธที่ได้เปรียบสำหรับโจมตีหมู่ พอประมือกันก็ถูกตำหนักสวรรค์กดดันโจมตีได้ง่ายมาก ถ้าไม่ใช่เพราะอาศัยความได้เปรียบทางด้านภูมิศาสตร์ เกรงว่าคงถูกตำหนักสวรรค์ปราบสิ้นหมดแล้ว

ส่วนในตอนนี้มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนี้อยู่ในมือแล้ว ถ้าได้เผชิญกับทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์อีกครั้ง ทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์ก็เลิกฝันเลยว่าจะได้เปรียบอีก สองฝ่ายสามารถอาศัยกำลังที่แท้จริงปะทะกันตรงๆ ได้เลย

จินม่านชำเลืองมองแวบหนึ่ง แล้วถ่ายทอดเสียงตอบว่า “ถ้าสามารถไม่เปิดฉากต่อสู้ ก็ต้องพยายามหลบเลี่ยงไว้ดีกว่า ผู้ช่วยใหญ่พูดไว้ไม่ผิด ถ้าให้โจรกบฏรู้ว่าในมือพวกเรามีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เยอะขนาดนี้ ก็เท่ากับพวกเขารู้แล้วว่าพวกเรามีช่องทางเข้าออกอีกทาง พวกเขาไม่มีทางนั่งดูพวกเราเฉยๆ แน่นอน แบบนั้นจะกดดันผู้มีอำนาจแต่ละฝ่ายของฝั่งโจรกบฏที่มีความแค้นร่วมกัน จะบีบให้ฝ่ายโจรกบฏรวบรวมกำลังทั้งหมดมาปราบพวกเรา ดังนั้น ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาโจมตีกลับ ยังต้องอดทนไว้”

ลวี่เกอกล่าวอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ว่า “ไม่รู้ว่าต้องทนไปถึงเมื่อไร ต่อให้พวกเราออกไปได้แล้ว แต่อาศัยกำลังอันน้อยนิดของพวกเราจะไปทำอะไรได้ โจรกบฏมีอำนาจตั้งนานแล้ว กลายเป็นยักษ์ใหญ่แล้ว พวกเราต้านทานไม่ไหว!” เรื่องบางเรื่องตัวเองรู้ดีอยู่แก่ใจ เพียงแต่ไม่กล้าบอกให้คนนอกรู้ก็เท่านั้นเอง

จินม่านจึงบอกว่า “ข้ามั่นใจว่าต้องมีวันนั้นแน่นอน เจ้าเองก็รู้ว่าคนคนนั้นรักผู้หญิงคนนั้นมากขนาดไหน มีหรือที่เขาจะปล่อยประมุขชิงกับประมุขพุทธะไป สักวันหนึ่งจะต้องไปคิดบัญชีนั้นกับพวกเขาแน่นอน”

ลวี่เกอถอนหายใจเบาๆ “ความสามารถของคนคนนั้นข้าไม่สงสัยหรอก แต่ถึงเขาจะมีฝีมือน่าทึ่ง ทว่าไม่มีอนาคตแล้ว ตอนนี้ประมุขชิงกับประมุขพุทธคุมใต้หล้า เกรงว่าจะพูดง่ายแต่ทำยาก!”

“ถ้าง่ายก็คงลงมือไปนานแล้วล่ะ ยังต้องรออีกเหรอ? ฐานลับของพวกเจ้าถูกโจมตีพร้อมกัน นั่นยังพิสูจน์ไม่ได้อีกเหรอว่าเขามีแผนสำรองที่ค่อนข้างมีพลัง? เจ้าลองดูตรงหน้านี้สิ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มากมายขนาดนี้ จะได้มาไว้ในมือง่ายๆ เหรอ? ทางเข้าออกใหม่ของแดนอเวจี…ดูจากเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนพวกเราหนีมาจนกระทั่งตอนนี้ ทุกสิ่งก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเรื่องราวกำลังก้าวหน้าตามดับ ทุกสิ่งได้พิสูจน์แล้วว่า ม่านเวทีฉากใหญ่ที่คนคนนั้นจะกลับมาอีกครั้งกำลังเปิดออกอย่างช้าๆ…ลวี่เกอ เจ้าคอยดูไปเถอะ ทุกสิ่งที่คนคนนั้นสูญเสียไปจะต้องกลับคืนมาแน่นอน ศึกใหญ่กวาดล้างใต้หล้าที่จะตัดสินว่าใครจะลอยใครจะจมจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน หลีกเลี่ยงไม่ได้หรอก บุญคุณความแค้นระหว่างเขากับประมุขชิงและประมุขพุทธะจะต้องจบลงโดยสิ้นเชิง สุดท้ายพวกเราจะหลุดออกจากแดนอเวจีไปเห็นแสงสว่างอีกครั้ง!” จินม่านกล่าว

ลวี่เกอยิ้มเบาๆ “เจ้ายังเชื่อใจเขาเต็มร้อยเหมือนเดิม…จินม่าน ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว เจ้ายังชอบเขาอยู่อีกเหรอ?”

“มาพูดเรื่องนี้ยังจะมีความหมายอะไร? เขายินดีทรยศผู้หญิงทั้งใต้หล้า เพื่อรักเพียงผู้หญิงคนเดียว เขาสามารถทิ้งทั้งใต้หล้าได้เพื่อผู้หญิงคนนั้น ถามหน่อยว่านอกจากผู้หญิงคนนั้นแล้ว ใครจะยังจะอยู่ในสายตาเขาได้อีก?” จินม่านกล่าวเสียงเบาจนแทบจะกระซิบ แววตาที่ค่อนข้างเลื่อนลอยค่อยๆ กลับมาแจ่มชัด ชำเลืองมองหยางชิ่งที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ แล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ลวี่เกอ เจ้าก็รู้นี่ ตั้งแต่ตอนที่เขากดดันให้ประมุขปราชญ์ตาย เรื่องระหว่างข้ากับเขาก็เป็นไปไม่ได้แล้ว”

ลวี่เกอถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก ผู้ชายแบบนั้นมีผู้หญิงที่ไหนไม่ชอบบ้าง เพียงแต่ผู้หญิงบางคนก็กล้าหาญแสดงออกเพื่อแย่งชิง แต่ผู้หญิงบางคนรู้สึกต่ำต้อยจึงเก็บความรู้สึกนั้นฝังไว้ในใจตลอดกาล

จณะที่ผู้หญิงสองคนนี้แอบถ่ายทอดเสียงคุยกัน บางทีอาจะเป็นเพราะชายหญิงมีความแตกต่าง ตอนที่พวกเย่สิงคงได้เห็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งล้านและเครื่องแบบตำหนักสวรรค์หนึ่งล้านเองกับตา พวกเขากลับมีความรู้สึกแตกต่างไป แต่ละคนเลือดเดือดพุ่งพล่าน อารมณ์ค่อนข้างฮึกเหิม

เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว กลุ่มคนที่อยู่บนหน้าผาก็มองไปทางเหมียวอี้ สายตาเหมียวอี้ย้ายกลับมา แล้วสุดท้ายก็กล่าวเสียงเรียบ “เตรียมตัวเดินทาง”

“รับทราบ!” ประมุขปราชญ์หกลัทธิทะยานขึ้นฟ้าจากข้างหลังเหมียวอี้ แล้วทยอยกันออกคำสั่ง ทัพใหญ่หนึ่งล้านตรงตีนเขากลายเป็นเหมือนกระแสน้ำหกสายไหลพร้อมกันทันที เหาะพุ่งขึ้นฟ้าราวกับมังกรบิน ทยอยเข้าไปในกำไลเก็บสมบัติในมือประมุขปราชญ์หกลัทธิ

ชั่วพริบตาเดียวนักรบหนึ่งล้านที่น่าเกรงขามก็หายไปแล้ว หกประมุขปราชญ์กลับมาตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วมอบกำไลเก็บสมบัติหกวงให้

เหมียวอี้โบกมือกวาดเก็บไว้ทั้งหมด จากนั้นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง สะบัดแขนเสื้อพุ่งขึ้นฟ้าไป กลุ่มคนที่อยู่บนหน้าผากุมหมัดน้อมส่ง

แตกต่างจากอวิ๋นอ้าวเทียนและมู่ฝานจวิน วันนี้จีฮวน ฉางเหลยและซือถูเซี่ยวเหมือนจะเคารพเหมียวอี้เป็นพิเศษ เพราะทั้งสามล้วนได้เคล็ดวิชาฝึกตนภาคดินมาจากมือลูกสาวและลูกศิษย์ ทั้งสามรู้สึกผิดคาดนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าไม่ต้องเล่นตุกติกอะไรก็ได้รับเคล็ดวิชาภาคดินเช่นกัน รู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว สุดท้ายก็ได้แสดงบทบาทใหญ่มาก ทำให้พวกเขาเฝ้าคอยเคล็ดวิชาภาคฟ้าเป็นพิเศษ กำชับลูกสาวและลูกศิษย์อีกครั้งว่าให้เชื่อฟังสามี ให้พวกนางทำหน้าที่อนุภรรยาให้เต็มที่ ให้ปรนนิบัติเหมียวอี้ดีๆ

ยกตัวอย่างเช่นอวี้หนูเจียว นางบ่นกับซือถูเซี่ยวนิดหน่อย บอกว่าหลายปีมานี้เหมียวอี้เข้าใกล้นางน้อยมาก แม้แต่เจอหน้าก็เจอกันได้ยาก

ผลปรากฏว่าทำให้ซือถูเซี่ยวโมโหมาก ตำหนินางว่าไม่รู้ความ บอกประมาณว่าชายชาตรีมีหน้าที่อันยิ่งใหญ่ต้องรับผิดชอบ มีหรือที่จะพัวพันกับความรักหญิงชายทั้งวันทั้งคืน การที่อีกฝ่ายสามารถมอบเคล็ดวิชาภาคดินให้เจ้าได้ ก็แสดงว่าในใจเขามีเจ้า ถึงอย่างไรเขาก็ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ในฐานะที่เจ้าเป็นอนุภรรยา ก็สมควรจะให้ความสำคัญกับสถานการณ์โดยรวม อย่าทำนิสัยกระเง้ากระงอดเด็ดขาด

หยางชิ่งที่มองตามแอบทอดถอนใจ เขาได้รับมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคฟ้ามาแล้ว ตอนนี้น้ำใจอันใหญ่หลวงจากเหมียวอี้กลับสร้างแรงกดดันใหญ่หลวงให้เขา ทำให้ตอนพบหน้ากันเขาไม่สะดวกจะคัดคาดอะไรอีก ทำได้เพียงเคารพนอบน้อม พยายามทุ่มเทกายใจทำตามคำสั่งก็แล้วกัน!

“ผู้ช่วยใหญ่กลับมั้ย?” จินม่านเดินมาข้างกายเขาแล้วเอ่ยถาม

หยางชิ่งพยักหน้าเบาๆ

“ไปด้วยกัน!” จินม่านยื่นมือเชิญ

จากนั้นทั้งสองก็กุมหมัดคารวะทุกคน แล้วเหาะขึ้นฟ้าไปด้วยกัน

ขณะที่มองตามทั้งสองคนจากไป เย่สิงคงก็เอามือไขว้หลังแล้วกล่าวปนขำ “ช่วงนี้จินม่านสนิทกับเจ้าหยางชิ่งมากเลยนะ ได้ยินว่าชอบชมดอกไม้ชมพระจันทร์กับหยางชิ่งบ่อยๆ พวกเจ้าว่านางชอบหยางชิ่งแล้วรึเปล่า?”

คนอื่นๆ มองเหยียดเขาแวบหนึ่ง จ่างซุนจูที่สวมชุดขาวราวหิมะหัวเราะเบาๆ “จินม่านรสนิยมสูงจะตาย เอาความสง่างามเลิศล้ำของท่านนั้นมาเป็นมาตรฐาน ผู้ชายทั่วไปจะอยู่ในสายตานางเหรอ หยางชิ่งเหมือนจะแตกต่างกับคนคนนั้นเกินไป อยู่กันคนละระดับเลย”

หลีเซิงหัวเราะเสียงประหลาด แล้วบอกว่า “จ่างซุนจู เจ้าพูดถึงตัวเองเถอะน่า ลดนิสัยหลงตัวเองลงสักหน่อย ถ้าอยากจะนอนกับจินม่านคงไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอก!”

จ่างซุนจูชี้ไปที่หลีเซิง “พูดจาภาษาคนไม่เป็นเหรอ สกปรกโสมม!”

“ฮ่าๆๆ!” พวกผู้ชายหัวเราะเสียงดัง

มู่ฝานจวินเหมือนจะไม่ชอบฟังคำพูดใส่ร้ายผู้หญิง นางปลีกตัวออกจากกลุ่มคน เหาะขึ้นฟ้าไปแล้ว…

จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง ในโถงหลักของเรือนอิ๋งอู๋หม่าน พวกบ่าวไพร่ถอยออกไป ผู้การใหญ่จั่วเอ๋อร์มาแล้ว

ในโถงมีเพียงอิ๋งอู๋หม่าน อิ๋งหยางผู้เป็นลูกชาย แล้วก็จั่วเอ๋อร์

หลังจากทั้งสามทำความเคารพกัน อิ๋งอู๋หม่านก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ท่านอาจั่ว เรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงเตรยมการไว้แล้วใช่มั้ย?”

“คุณชายใหญ่ช่างปราดเปรื่อง!” จั่วเอ๋อร์พยักหน้ายิ้ม แล้วมองอิ๋งหยาง “ไม่ทราบว่านายน้อยเชิญสหายไปมากเท่าไรแล้ว?”

อิ๋งหยางขมวดคิ้ว “ท่านย่าจั่ว เรื่องครั้งนี้มันแปลกๆ ก่อนหน้านี้มีคนของตระกูลโค่ว ตระกูลฮ่าว ตระกูลก่วงร่วมทางไปด้วยตลอด แต่ครั้งนี้ดันบอกว่าติดธุระกันหมดเลย มีแค่คนของตระกูลเซี่ยโห้วที่ตอบตกลงว่าจะไปด้วยกัน”

จั่วเอ๋อร์กับอิ๋งอู๋หม่านสบตากันแวบหนึ่ง พวกเขาเหมือนจะไม่แปลกใจเลยสักนิด จั่วเอ๋อร์ถามว่า “นายน้อย ฝั่งตระกูลเซี่ยโห้วมีคนร่วมเดินทางกี่คน?”

“เหมือนฝั่งพวกเรา พาไปด้วยหนึ่งพันคน” หลังจากอิ๋งหยางตอบแล้ว ก็พูดประเด็นก่อนหน้านี้อีก “ท่านย่าจั่ว ตระกูลโค่ว ตระกูลฮ่าวกับตระกูลก่วงไม่ไป พวกท่านไม่รู้สึกแปลกๆ เหรอ?”

สำหรับคำถามนี้ อิ๋งอู๋หม่านกับจั่วเอ๋อร์สบตากันแวบหนึ่ง เรื่องบางเรื่องคนนอกไม่รู้ชัด แต่ทั้งสองกัลรู้แจ่มแจ้ง เพราะโค่วหลิงซวีบอกตระกูลอื่นเอง ว่าหนิวโหย่วเต๋อสาบานว่าจะเอาชีวิตอิ๋งหยาง ครั้งนี้มีการออกล่าที่น้ำพุวังเวง อีกสามบ้านจึงเดาออกถึงจุดประสงค์ของตระกูลอิ๋งแล้ว สาเหตุที่ตระกูลเซี่ยโห้วตอบรับคำเชิญตามปกติ ก็เป็นเพราะไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกเท่านั้นเอง

จั่วเอ๋อร์หลบเลี่ยงที่จะตอบความจริง “ไม่ไปก็คือไม่ไป ไม่จำเป็นต้องสนใจ อย่างไรเสียเมื่อไปถึงแล้วท่านก็ต้องสลัดพวกเขาทิ้งไป ไม่อย่างนั้นการที่คนรวมตัวกันเยอะก็จะทำให้ดูน่าสงสัย จะทำให้ปลาติดเบ็ดได้ยาก”

หลังจากอิ๋งหยางพยักหน้ายอมรับ ก็ลองถามอีกว่า “ไม่รู้ว่าหนึ่งพันคนที่พาไปด้วยครั้งนี้มีพลังเป็นยังไง?” ถ้าจะให้ใช้กำลังปะทะเหมียวอี้จริงๆ เขาก็ขี้ขลาดอยู่บ้าง เพราะเขามีวรยุทธ์ระดับบงกชรุ้งเท่านั้น ชื่อเสียงบนสนามรบของเหมียวอี้ก็รู้ๆ กันอยู่

อิ๋งอู๋หม่านขมวดคิ้ว รู้สึกไม่ค่อยพอใจกับความขี้ขลาดที่แสดงให้เห็นในคำพูดของลูกชาย โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าจั่วเอ๋อร์ เพราะนี่คือคนที่ท่านพ่อเชื่อใจที่สุด บางครั้งถ้านางพูดอะไรส่งเดชต่อหน้าท่านพ่อแค่นิดเดียว ก็สามารถตัดสินชะตากรรมลูกหลานของตระกูลอิ๋งได้เลย

จั่วเอ๋อร์ยิ้มพร้อมตอบว่า “นายท่านไม่ต้องกังวล ทางเราส่งให้กำลังพลหนึ่งหมื่นไปสำรวจที่น้ำพุวังเวงล่วงหน้าแล้ว ป้องกันไม่ให้มีการดักซุ่มโจมตี และป้องกันไม่ให้มีคนแอบช่วยเจ้าโจรชั้นต่ำนั่นด้วย หนึ่งพันคนนี้มีไว้บังหน้าเท่านั้น เพราะยังซ่อนกำลังพลเอาไว้อีกสี่หมื่น โดยส่วนใหญ่เป็นนักพรตวรยุทธ์บงกชรุ้งขึ้นไป นอกจากนี้ยังมียอดฝีมือระดับบงกชกลายอีกห้าสิบคน มียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์คอยปกป้องอยู่ข้างกายนายน้อยอีกสองคน ทัพตะวันออกยังรวบรวมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งหมื่นคันด้วย ขอเพียงเจ้าโจรชั้นต่ำนั้นโผล่มา ก็อย่าได้คิดจะหนีไปไหนเลย!”

กำลังพลห้าหมื่น นักพรตระดับบงกชกลายห้าสิบคน ระดับสำแดงฤทธิ์สองคน ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งหมื่นคันเหรอ? อิ๋งอู๋หม่านได้ยินแล้วแอบตกใจ เพื่อที่จะรับมือกับหนิวโหย่วเต๋อต่ำต้อยคนเดียว ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้กำลังมากขนาดนี้ สงสัยครั้งนี้จั่วเอ๋อร์จะควักเนื้อตัวเอง แต่คิดไปคิดมาก็พอเข้าใจได้ ผู้การใหญ่วางแผนจัดการหนิวโหย่วเต๋อล้มเหลวมาครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งนี้ถ้าพลาดอีก เกรงว่าคงไม่มีทางแก้ตัวกับท่านพ่อปู่ได้ จะไม่ให้ป้องกันข้อผิดพลาดไม่ได้หรอก

อิ๋งหยางได้ยินแล้วยิ้มอย่างเบิกบาน วางใจเต็มที่แล้ว

…………………………