บทที่ 1668 พุทธะหน้าหยกอวี้หลัวช่า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

นี่ก็คือสาเหตุที่หยางชิ่งไม่เห็นด้วยกับการที่เหมียวอี้จะใช้กำลังปะทะ เป็นเพราะตระกูลอิ๋งมีอำนาจยิ่งใหญ่เกินไป สามารถรวบรวมกำลังที่คนทั่วไปยากจะจินตนาการถึงได้ทุกเมื่อ ถ้าเข้าไปปะทะก็เหมือนเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง แต่เหมียวอี้ดันตัดสินใจแน่วแน่ ต้องการจะใช้กำลังมหาศาลเข้าไปปะทะให้ได้

ต่อให้หยางชิ่งจะฉลาด แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเหมียวอี้คิดได้อย่างไร แต่ผลลัพธ์ในบางครั้งก็มักพิสูจน์ว่าวิธีการของเหมียวอี้ก็มีเหตุผลในตัวมันเอง ถึงขั้นได้ผลกว่าการวางแผนไปวางแผนมาด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำได้เพียงแนะนำ แต่กลับบอกไม่ได้ว่าเหมียวอี้ทำผิดไปแล้ว วิธีกาคิดของทั้งสองมักจะยืนอยู่คนละมุมเสมอ

“ไม่รู้ว่าควรออกเดินทางเมื่อไรจึงจะเหมาะสม?” อิ๋งหยางที่มีความมั่นใจแล้วเอ่ยถามเวลาออกเดินทาง เฝ้าคอยมากที่จะทำให้ผู้สร้างความอัปยศต่อตระกูลอิ๋งมีจุดจบอยู่ในมือตัวเอง

จั่วเอ๋อร์ยิ้มตอบ “อีกไม่กี่วันนี้แล้ว ขอเพียงนายน้อยกับตระกูลเซี่ยโห้วติดต่อกันเรียบร้อย ก็สามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อ”

“ได้! เชื่อฟังท่านย่าจั่ว ออกเดินทางภายในอีกไม่กี่วันนี้” อิ๋งหยางพยักหน้าเอ่ยรับ

“มิบังอาจเรียกว่าคำสั่ง นายน้อยให้เกียรติบ่าวเกินไปแล้ว ล้วนเป็นหน้าที่ของบ่าวทั้งนั้น” จั่วเอ๋อร์กล่าวปนเสียงหัวเราะ

อิ๋งหยางยิ้มอย่างเกรงใจ จากนั้นก็เผยสีหน้ากังวลอีก “กลัวก็แต่หนิวโหย่วเต๋อจะไม่มีความกล้านั้น!”

ในน้ำเสียงแสดงความรู้สึกว่างเปล่าเหมือนหาคู่ต่อสู้ไม่เจอ ทำให้อิ๋งอู๋หม่านได้ยินแล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้ม

“ตระกูลโค่วมีเค้าลางว่าจะสะบัดตัวภาระทิ้งชัดเจนมาก ขอเพียงตระกูลโค่วไม่เปิดเผยแผนนี้ต่อหนิวโหย่วเต๋อ ช่วยปล่อยข่าวให้รู้สักหน่อย อาศัยความเคยชินของหนิวโหย่วเต๋อ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะมา แล้วก็มีความเป็นไปได้สูงว่าตาแก่โค่วจะทำอย่างนี้ สรุปก็คือไม่ว่าเขาจะมาหรือไม่มา นายน้อยก็ต้องทำให้เต็มที่ ถ้าหากมาแล้ว ก็เป็นเวลาที่นายน้อยจะได้แสดงฝีมือแล้ว” จั่วเอ๋อร์กล่าว

หลังจากกำชับเตรียมการกันอยู่พักหนึ่ง นายบ่าวก็แยกย้ายชั่วคราว

ทว่ายังผ่านไปไม่ถึงครึ่งวัน อิ๋งอู๋หม่านก็นำอิ๋งหยางมาหาจั่วเอ๋อร์อีก เพราะมีข่าวใหม่มารายงาน

เมื่อได้ยินข่าว จั่วเอ๋อร์ก็ทำสีหน้างงงัน “อะไรนะ? ตระกูลโค่ว ตระกูลฮ่าว ตระกูลก่วงเป็นฝ่ายขอเข้ารวมออกล่าที่น้ำพุวังเวงเองเหรอ? หมายความว่ายังไง?”

อิ๋งหยางส่ายหน้า “ไม่รู้ไม่ความว่าอะไร พวกเขาทยอยกันติดต่อข้ามาเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ ข้าไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงสักหน่อย พวกเขาอยากจะไปก็ไปสิ ข้าห้ามไม่ได้อยู่แล้ว อย่างมากก็ไม่ต้องรวมกลุ่มกันก็เท่านั้นเอง”

บนใบหน้าจั่วเอ๋อร์ด้วยไปด้วยความระแวง หลังจากครุ่นคิดอยู่นานมาก ก็บอกว่า “ดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน…เอาเป็นว่าไม่ว่าพวกเขาจะไปหรือไม่ไป พอไปถึงน้ำพุวังเวงแล้ว ก็ต้องสลัดพวกเขาทิ้งอยู่ดี”

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว ในศาลาเย็นที่มีไม้ไผ่สีเขียวหยกล้อมรอบ อนุภรรยาแสนสวยสองคนยืนอยู่ด้านหลังทางซ้ายและขวาของโค่วหลิงซวี ขณะกำลังยิ้มประจบเอาใจ พวกนางก็แบ่งกันนวดไหล่ให้โค่วหลิงซวีคนละฝั่ง ไม่รู้เอาใจให้โค่วหลิงซวีเบิกบานใจจริงๆ หรือเปล่า แต่เห็นบนใบหน้าโค่วหลิงซวีเจือรอยยิ้มเรียบๆ ที่ไม่รู้ว่าลึกตื้นแค่ไหน

ถังเฮ่อเหนียนปรากฏตัวอยู่ไม่ไกลจากป่าไผ่ เขาไม่ได้เข้ามาใกล้ เพียงถ่ายทอดเสียงคุยอยู่ห่างๆ

โค่วหลิงซวีได้ฟังแล้วอึ้งทันที ถ่ายทอดเสียงถามกลับ “สองบ้านนั้นไม่ไปไม่ใช่เหรอ? ทำไมไปอีกแล้ว?”

“ไม่ทราบขอรับ อาจจะมีความคิดเหมือนฝ่ายพวกเรา ไปเจอกันแล้ว” ถังเฮ่อเหนียนตอบ

โค่วหลิงซวีพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง ทางนี้เพิ่งเริ่มให้ลูกหลานในตระกูลปฏิเสธคำเชิญไปออกล่าที่น้ำพุวังเวง ตอนหลังพบว่าตระกูลที่เหลือก็ปฏิเสธแล้วเช่นกัน เหลือเพียงตระกูลอิ๋งกับตระกูลเซี่ยโห้วที่ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึก ดังนั้นฝั่งนี้จึงให้ลูกหลานในตระกูลตอบตกลงอีกรอบ ใครจะคิดว่าอีกสองบ้านก็ตอบตกลงอีกเช่นกัน นี่มันเรื่องอะไรกัน

หารู้ไม่ว่าในตอนนี้ก่วงลิ่งกงกับฮ่าวเต๋อฟางก็กลุ้มใจเช่นกัน สาเหตุที่ก่อนหน้านี้ไม่ไป ก็ย่อมเป็นเพราะเดาออกว่าตระกูลอิ๋งคิดจะทำอะไร ไม่จำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ตอนหลังพบว่าอีกสองตระกูลที่เหลือก็ไม่ไปด้วยเช่นกัน จึงรู้สึกว่าไม่น่าดูเท่าไร ตอนหลังถ้ามีคนตำหนิพวกอ๋องสวรรค์ว่าร่วมมือกันกำจัดหนิวโหย่วเต๋อต่ำต้อยคนเดียว แบบนั้นจะน่าฟังเหรอ? พวกเขาถึงได้ให้ลูกหลานไปเข้าร่วม อย่างมากเมื่อไปถึงน้ำพุวังเวงแล้วค่อยหลบเลี่ยงตระกูลอิ๋งก็ได้

ใครจะคิดว่าสามบ้านนี้จะจิตใจตรงกันแบบไม่ธรรมดา พอไม่ไปก็ไม่ไปด้วยกันหมด พอจะไปก็ไปกันหมด ร่วมรุกร่วมถอยจริงๆ

การกระทำของทั้งสามคนทำใจอิ๋งจิ่วกวงกลุ้มใจ ในสถานที่สงบของจวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง ท่านอ๋องเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา บางครั้งก็มือเอาขยี้เคราเงียบๆ บางครั้งก็ขมวดคิ้วไม่คลาย เดาไม่ออกว่าอีกสามบ้านกำลังเล่นลูกไม้อะไรกันแน่ สุดท้ายก็หันกลับมาถามว่า “จั่วเอ๋อร์ อีกสามบ้านคงไม่วางกับดักอะไรให้ข้าไปติดใช่มั้ย?”

จั่วเอ๋อร์ทำสีหน้าลำบากใจเช่นกัน “บ่าวคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเป็นกับดักอะไร นายน้อยนำกลุ่มไปออกล่า อีกสามบ้านจำเป็นต้องร่วมมือกันสู้กับนายน้อยด้วยเหรอ? แบบนั้นอาจจะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่…”

ท้ายที่สุดความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็ยังไม่ส่งผลกระทบอะไร การกลับคำไปมาของตระกูลเหล่านี้ไม่ได้เปิดเผยต่อภายนอก ด้วยเหตุนี้เอง สุดท้ายตอนที่กำลังพลของตระกูลเหล่านี้ออกเดินทาง จึงไม่ได้บอกให้คนนอกรู้ถึงการกลับคำไปมาระหว่างนั้น

โรงเตี๊ยมในตลาดผี ในห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง เห็นชายหญิงร่วมรักกันอีกแล้ว

หลังจากเมฆสลายฝนสงบ สวีถังหรานก็กำลังลูบไล้สาวงามข้างกายอย่างถึงอกถึงใจ

หรูเสวี่ยที่ใบหน้าแดงก่ำเข้ามาเกาะแกะพัวพัน กอดเขาพลางพูดออดอ้อน “นายท่าน ข้าอยู่คนเดียวเหงาจนนอนไม่หลับเลยค่ะ วันนี้ไม่ต้องกลับได้มั้ยคะ อยู่ค้างเป็นเพื่อนข้าเถอะนะ?”

สวีถังหรานหรี่ตายิ้ม แล้วผ่อนคลายอีกครั้ง ลูบไล้เรือนร่างที่เกลี้ยงเกลาของนาง พร้อมกล่าวปนหัวเราะ “ถ้าเปลี่ยนเป็นยามปกติอาจจะได้ แต่ครั้งนี้ไม่ได้จริงๆ ขนาดข้ายังแอบเจียดเวลามาเจอเจ้าเลย”

หรูเสวี่ยเงยหน้าถามเหมือนตกใจ “ทำไมคะ? นายท่านเป็นรองแม่ทัพภาคผู้สง่าผ่าเผย เข้าออกจวนแม่ทัพภาคยังต้องแอบอีกเหรอ?”

“เฮ้อ!” สวีถังหรานถอนหายใจ “ท่านแม่ทัพภาคมีธุระแอบออกไปข้างนอกแล้ว สั่งให้ข้าเฝ้าจวนไว้ ก็เพราะคิดถึงเจ้าเลยแอบหนีออกมานี่ไงล่ะ”

ในดวงตางามของหรูเสวี่ยฉายแววตื่นตัวทันที แต่ปากกลับพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน “เป็นแม่ทัพภาคตลาดผี ยังต้องแอบออกไปด้วยหรือคะ? มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

“เอ่อ…” สวีถังหรานหัวเราะเบาๆ อีก “สิ่งที่ไม่ควรถามก็อย่าถามเลย” เขาใช้มือช้อนคางนางขึ้นมา ต้องการจะจูบอีก

ทว่าครั้งนี้หรูเสวี่ยกลับไม่ให้ความร่วมมือ เอียงหน้าหนี “เห็นได้ชัดว่านายท่านไม่เชื่อใจข้า!”

พอพูดจบ ต่อให้สวีถังหรานเอาคำพูดหวานๆ มาปะเหลาะอย่างไรก็ไม่ได้ผล นางหันหลังให้โดยไม่สนใจ เหมือนจะโกรธแล้ว

สวีถังหรานเหมือนจะโอ๋ผู้หญิงคนนี้มากเกินไป สุดท้ายก็บอกว่า “ได้ๆๆ” เขากอดนางแล้วกระซิบข้างหู “ข้าบอกเจ้าก็ได้ แต่เจ้าอย่าเอาไปพูดซี้ซั้วที่ไหนเด็ดขาด”

หรูเสวี่ยหันกลับมาช้อนสายตามองเขาแวบหนึ่ง ร่างงามพลิกกลับมา ตอนนี้หันหน้ามากอดเขาแล้ว “ข้าอยู่ตัวคนเดียว ไม่กล้าเดินออกจากประตูตลาดผีนี่ด้วยซ้ำ จะไปบอกใครได้คะ ข้าแค่รู้สึกแปลกใจเฉยๆ ว่าแม่ทัพภาคตลาดผีผู้สง่าผ่าเผยต้องการจะทำอะไร ถึงต้องแอบออกไปเงียบๆ”

สวีถังหรานเดาะปากเบาๆ แล้วตอบเหมือนไม่แน่ใจ “ที่จริงข้าก็ไม่แน่ใจรายละเอียดนะว่าท่านแม่ทัพภาคต้องการทำอะไร”

พอได้ยินแบบนี้ หรูเสวี่ยก็บิดตัวหนีทันที ทำท่าจะลุกขึ้นเดินหนีไป กล่าวด้วยสีหน้าเง้างอด “นายท่านยังไม่เชื่อใจข้า”

สวีถังหรานบังคับกดนางให้นอนลง “ไม่ได้หลอกเจ้านะ ข้าพูดความจริง”

หรูเสวี่ยบิดตัวอย่างไม่เต็มใจ “ข้าไม่เชื่อหรอก ท่านเป็นรองแม่ทัพภาค จะไม่รู้ได้ยังไงคะ”

สวีถังหรานกอดนางแน่นไม่ยอมปล่อย “จริงๆ นะ ข้าไม่รู้รายละเอียดชัดเจน เจ้าอย่ามองว่าข้าเป็นรองแม่ทัพภาคสิ ที่จริงแล้วหยางเจาชิงต่างหากที่เป็นลูกน้องคนสนิทของท่านแม่ทัพภาคอย่างแท้จริง เรื่องบางเรื่องท่านแม่ทัพภาคก็ไม่บอกข้าเลย แต่ข้าบังเอิญไปได้ยินท่านแม่ทัพภาคกับหยางเจาชิงคุยกันนิดหน่อย พอจะรู้คร่าวๆ ว่าท่านแม่ทัพภาคไปที่ไหน”

ร่างกายที่ออดอ้อนของหรูเสวี่ยหยุดชะงัก แล้วทำเสียงฮึดฮัด “ผู้ชายอย่างพวกท่านไม่มีใครดีสักคน แม่ทัพภาคผู้สง่าผ่าเผย แต่ดันไม่อยู่ตลาดผี จะต้องออกไปทำตัวเสเพลอยู่ที่ไหนสักแห่งแน่ๆ?”

สวีถังหรานจึงบอกว่า “ทำตัวเสเพลอะไรกัน เจ้าคิดไปถึงไหนแล้ว เหมือนข้าจะได้ยินเขาบอกว่าเกี่ยวกับสำนักหนานอู๋อะไรสักอย่างนี่แหละ เหมือนต้องการจะไปหาอะไรสักอย่างที่น้ำพุวังเวง บอกว่าอันตรายนิดหน่อย ต้องหาคนไปเยอะๆ ส่วนรายละเอียดข้าไม่ได้ฟังมาจริงๆ ไม่เข้าใจด้วยว่าหมายความว่าอะไร ข้าไม่กล้าแอบฟังเยอะ”

เล่นละครตบตาไปสักพัก ในที่สุดก็ปะเหลาะสาวงามในอ้อมกอดให้สงบได้แล้ว เขาจับนางมากระทำชำเราอีกพักหนึ่ง สุดท้ายถึงได้เก็บของออกไปอย่างรวดเร็ว

พอออกมาจากห้อง สวีถังหรานก็หันกลับไปมองแวบหนึ่งด้วยสายตาเย็นเยียบ แล้วจากไปอย่างไม่รีบร้อน

หรูเสวี่ยที่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยยืนเงี่ยหูฟังตรงประตู หลังจากแน่ใจสวีถังหรานออกไปแล้ว นางก็รีบหยิบระฆังดาราออกมา

วัดพระกษิติครรภ์ ในอุโบสถที่มืดสลัว ใต้เสาแสงต้นหนึ่งหน้าพระพุทธรูป หลังจากเม่ยจีที่กำลังนั่งขัดสมาธิเก็บระฆังดาราในมือแล้ว ก็รีบหยิบระฆังดาราอีกอันติดต่อกับภายนอก

แดนสุขาวดี วัดพุทธะหยก ยอดเขาที่มีเมฆหมอกลอยวนเวียน ภายใต้แสงแดดที่ร้อนแรงยังมีรุ้งยาวทอดข้ามหลายสาย ราวกับแดนสรวงสวรรค์

บางครั้งก็จะได้ยินเสียงดังอย่างต่อเนื่อง ระหว่างหุบเขาโดยรอบจะเห็นวิหคบินร่อนเป็นระยะ มีนกตัวสองตัวบินไปกินน้ำข้างสระมรกตที่มีน้ำตกลงมา

อารามหลักที่อยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดของวัดพุทธะหยก ทั้งตัววัดเป็นสีขาวบริสุทธิ์ดุจหยก ทั้งพื้นทั้งหลังคาราวกับสลักออกมาจากหินหยกทั้งหมด ไม่แปดเปื้อนฝุ่นดิน ทั้งตัวอารามหลักสร้างขึ้นพลังปรารถนา งดงามอลังการที่สุด

ภายในอุโบสถหลัก นอกจากรูปปั้นประมุขพุทธะขนาดใหญ่ที่อยู่บนผนังตรงหน้า โดยรอบก็มีแต่ภาพวาดสตรีชาวพุทธที่บนตัวสวมสร้อยอิ่งลั่ว อยู่ในท่วงท่าระบำที่อรชรอ่อนช้อยแบบต่างๆ

บนฐานดอกบัว สตรีชุดขาวที่ในมือถือระฆังดาราลุกขึ้นยืน นางลอยไปเหยียบลงในพระอุโบสถ หน้าตางดงามไร้ที่เปรียบ อาภรณ์ขาวดุจหิมะ ราวกับเป็นบงกชขาวดอกหนึ่งที่โผล่พ้นโคลนตมโดยไม่แปดเปื้อน นางก้าวเบาๆ ราวกับเหยียบบนคลื่นน้ำ ความงดงามที่บริสุทธิ์เรียบง่ายนั้นทำให้คนรู้สึกสงบใจ

ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องแอบตกตะลึงทั้งนั้น เป็นสาวน้อยสวยบริสุทธิ์ไร้ที่เปรียบคนหนึ่ง ทว่าสาวน้อยแสนสวยคนนี้กลับเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญเพียงไม่กี่คนของแดนพุทธที่ทำให้เหล่าเวไนยสัตว์กราบไหว้อย่างตัวสั่น นางคือพุทธะหน้าหยกอวี้หลัวช่านั่นเอง

เหตุใดทั้งสำนักหลัวช่าจึงมองไม่เห็นสตรีวัยชรา หลักการดูดพลังชีวิตผู้อื่นโดยการฝึกฌานเสพสังวาสนั้นไม่จำเป็นต้องอธิบายต่อคนนอก สรุปก็คือช่วยรักษาความเยาว์วัยได้ และอวี้หลัวช่าก็ฝึกจนถึงขั้นหวนคืนความสาวแล้ว

ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่สวยสดใสของอวี้หลัวช่า มีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถสังเกตเห็นได้ว่าแตกต่างกับความเยาว์วัยภายนอก นั่นก็คือดวงตางามทั้งคู่ของนาง เพราะในบางครั้งจะฉายแววน่าเกรงขาม เผยให้เห็นความล้ำลึกซึ่งไม่สอดคล้องกับอายุ

“สำนักหนานอู๋…น้ำพุวังเวง…” อวี้หลัวช่าพึมพำในขณะที่ก้าวเท้าเดินเบาๆ ราวกับเหยียบคลื่นน้ำอันนิ่งสงบ สุดท้ายก็หยุดเดิน สิ่งของในอุโบสถขยับเองโดยไร้ลม ระฆังเล็กหลายอันใต้ชายคาด้านนอกที่สร้างจากพลังปรารถนาสั่นและส่งเสียง “กุ๊งกิ้งๆ” ดังชัดเจน

ไม่นานก็มีเงาคนคนหนึ่งเหาะลงมาเหยียบนอกอุโบสถ สตรีวัยกลางคนหน้าตาสวยคนหนึ่งที่แต่งกายเปิดเผยตามแบบฉบับศิษย์สำนักหลัวช่าเดินบิดเอวเข้ามาช้าๆ เมื่ออยู่ห่างจากอวี้หลัวช่าไม่กี่ก้าวก็หยุดฝีเท้า แล้วจีบนิ้วตรงหน้าอกพร้อมโค้งตัวเล็กน้อยเพื่อนทำความเคารพ “พุทธะหน้าหยก”

อวี้หลัวช่ายังคงนิ่งเฉย แววตาลำล้ำ น้ำเสียงชัดใส “เสวี่ยอวี้ เม่ยจีอาจจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง สืบได้ข่าวอะไรจริงหรือ”

สตรีวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าเสวี่ยอวี้พลันเงยหน้า แล้วถามอย่างทำใจเชื่อได้ยากว่า “หรือว่าจะมีอยู่จริงๆ?”

อวี้หลัวช่ากล่าวอย่างลังเล “ไม่รู้สิ ตอนมารดายังมีชีวิตอยู่ ก็เคยบอกไว้ว่ามีพระชั้นสูงร่วมสำนักผู้หนึ่งที่ทนระบำมารสวรรค์ของนางไม่ไหว จึงหลุดปากพูดในขณะที่เคลิบเคลิ้ม หลังจากนั้นเมื่อได้สติแล้วก็พูดมั่วไปหมด จะจริงหรือไม่มารดาก็ยืนยันไม่ได้ ทว่าพฤติกรรมของพระปีศาจหนานโปในตอนหลังก็เหมือนกำลังค้นหาบางอย่างจริงๆ ต่อมาข้าก็เคยทดลองหาเช่นกัน แต่ก็ไม่พบเบาะแสใดๆ”

…………………………