ดังนั้นหลังจากที่ใคร่ครวญหาถ้อยคำอย่างระมัดระวังแล้ว หรงช่างถึงได้เอ่ยว่า “สถานการณ์เป็นเช่นนี้ ควรจะฝ่าสถานการณ์นี้ออกไปได้อย่างไรจึงจะเป็นกุญแจสำคัญ เห็นได้ชัดว่าสุยจิ่งเฉิงมีจิตใจเอนเอียงเข้าหาท่านเฉิน กระบี่แห่งปัญญาสะบั้นสายใยความรู้สึก *(ศาสนาพุทธเปรียบเปรยสติปัญญาเป็นดั่งกระบี่ที่สามารถตัดสะบั้นความหงุดหงิดวุ่นวายใจทั้งหลายได้)*แต่ไหนแต่ไรมาก็ล้วนพูดง่ายแต่กระทำได้ยาก ผู้ฝึกกระบี่ที่ใช้ด่านแห่งความรักมาเป็นหินขัดเกลากระบี่ ไม่อาจพูดได้ว่าไม่มีคนที่ประสบความสำเร็จ แต่กลับมีน้อยมาก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริง”
ตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว โจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ หรือควรจะเรียกอีกอย่างว่าเจียงซ่างเจิน เพื่อช่วยให้สหายรักอย่างลู่ฝ่างคลายปมในใจของด่านความรัก ก็เรียกได้ว่าใช้ทุกวิธีการที่มี แต่ละการกระทำไม่เพียงแต่ทำให้คนโกรธจนผมชี้ชัน อีกทั้งยังถือว่าเป็นวิธีการที่อำมหิตไร้ปราณีอย่างถึงที่สุดในโลกมนุษย์ แต่กระนั้นก็ยังได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีนัก สุดท้ายลู่ฝ่างก็ไม่สามารถเลื่อนสู่อันดับสิบคน ไม่เพียงแต่พ่ายแพ้ให้แก่เฉินผิงอัน ในความเป็นจริงแล้วสาเหตุที่สำคัญยิ่งกว่านั้นยังเป็นเพราะสภาพจิตใจของลู่ฝ่างยังไม่สมบูรณ์แบบ ต่อให้จะสามารถ ‘บินทะยาน’ ออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วนี่เท่ากับว่าต้องเสียเวลาไปเปล่าๆ ถึงหกสิบปี
หรงช่างถาม “หาใช่จะกล่าวโทษท่านเฉินไม่ เพียงแต่พูดถึงสถานการณ์ปัจจุบัน ท่านเฉินเป็นคนผูกปมเชือกนี้แล้ว แล้วยินดีจะเป็นคนแก้ปมหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ยาก”
หรงช่างขมวดคิ้ว
กู้โม่ที่คิดว่าจะฝึกวิชาปิดปากเงียบอดไม่ไหวจนต้องเปิดปากพูด “ท่าทีนี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร? เป็นผู้ฝึกตนแต่กลับมัวเมาในสาวงาม ก็เลยใช้วิธีต่ำช้า หรือจะบอกว่าเจ้ามีแผนการที่ใหญ่ยิ่งกว่านั้น คิดจะผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรบนภูเขากับสุยจิ่งเฉิงเสียเลย? ดีนักนะ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าได้ตีสนิทกับสายไท่เสียของพวกเราและทะเลสาบกระบี่ฝูผิง เจ้าช่างดีดลูกคิดรางแก้วได้ดีนัก!”
เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า “หาใช่เป็นเช่นนี้ไม่”
คำพูดบางอย่าง ไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไร
ทว่าหากยังยินดีที่จะพูดออกมาต่อหน้าผู้อื่น อันที่จริงกลับยังนับว่าดี
ถ้อยคำที่ไม่น่าฟังอย่างแท้จริงมักจะอยู่ในท้องของคนอื่นหรือไม่ก็หลบอยู่ในมุมมืดไปตลอดกาล ถ้อยคำที่ฟังเหมือนดีแต่กลับแฝงนัยเหน็บแนมเสียดสีที่พูดอย่างง่ายๆ สบายๆ นั่นต่างหากถึงจะทำให้คนสะอิดสะเอียนได้อย่างแท้จริง
ฉีจิ่งหลงเองก็พยักหน้ารับ “ยากมาก”
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ข้าจะพูดถึงความเป็นไปได้บางอย่างก่อนก็แล้วกัน พูดถึงสถานการณ์สุดโต่งสองอย่างแรกก่อน การเดินทางสู่บูรพาทิศของลัทธิพุทธทำให้เริ่มค่อยๆ มีการแบ่งแยกหีนยานและมหายาน ทำลายความยึดมั่นถือมั่นของตัวเองได้ ไม่สู้ไร้ความยึดมั่นถือมั่นเสียเลย เมื่อสุยจิ่งเฉิงฝึกฝนจิตใจจนประสบความสำเร็จ ความรักชอบในวันนี้ย่อมกลายมาเป็นความเฉยชาในวันหน้า นั่นต่างหากจึงจะเป็นการสะบั้นความรู้สึกอย่างแท้จริง แน่นอนว่ายังมีอีกสถานการณ์หนึ่งนั่นคือเมล็ดพันธ์ความรักของสุยจิ่งเฉิงฝังรากหยั่งลึก ต่อให้อยู่ห่างไกลจากข้าเป็นพันเป็นหมื่นลี้ ความรู้สึกนั้นก็ยังคงล้อมวนอยู่ในหัวใจ ต่อให้นางจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน กลายเป็นเซียนกระบี่ ออกกระบี่ก็ยังยากจะตัดสะบั้นได้ แล้วมาพูดถึงความเป็นไปได้ที่อยู่ระหว่างสองขั้ว พวกเจ้าทั้งสองคนต่างก็เป็นยอดฝีมือในตระกูลเซียนที่มีอักษรจงบนภูเขา ก็น่าจะมีวิชาอภินิหารบางอย่างที่เอาไว้สยบด่านความรัก เอาไว้ฝ่าด่านความรักโดยเฉพาะ แต่ข้ารู้สึกว่าพวกเจ้าเองก็ควรดูแลสภาพจิตใจของสุยจิ่งเฉิงด้วยเช่นกัน…”
กู้โม่เริ่มปวดหัวอีกครั้ง “เจ้าช่วยพูดตรงๆ เลยได้ไหม ควรทำอย่างไร ต้องพูดพล่ามยาวขนาดนี้ด้วยหรือ?!”
เฉินผิงอันมองนาง ถามว่า “สำหรับเจ้าแล้ว นี่เป็นเรื่องของการลงมือครั้งสองครั้ง แต่สำหรับสุยจิ่งเฉิงแล้วก็คือทิศทางและระดับความสูงต่ำของมหามรรคาตลอดชีวิตของนาง พวกเราพูดคุยกันให้มากหน่อยจะนับเป็นอะไรได้ จะอดทนพูดคุยกันให้นานหลายวันหน่อยจะเป็นไรไป? ฝึกตนอยู่บนภูเขา ไม่สัมผัสถึงความร้อนหนาวในโลกมนุษย์ เวลาน้อยนิดแค่นี้ นับว่าเสียเวลามากเลยหรือ?! หากวันนี้คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ใช่ข้ากับท่านหลิว เปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกตนอีกสองคนที่ขอบเขตพอๆ กัน ไม่แน่ว่าพวกเจ้าสองคนอาจบาดเจ็บสาหัสจนต้องถอยหนีไปแล้วก็ได้”
ฉีจิ่งหลงพูดอย่างเฉยเมย “คงตายไปแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “เจ้ารู้จักพูดบ้างได้ไหม?”
ฉีจิ่งหลงอืมรับหนึ่งที “เจ้าพูดต่อเลย”
เฉินผิงอันหยิบกาเหล้าออกมาสองกา โยนกาหนึ่งให้ฉีจิ่งหลง ตัวเองเปิดออกหนึ่งกา กระดกดื่มหนึ่งอึก ฉีจิ่งหลงเพียงแค่หิ้วกาเหล้าเอาไว้ แต่กลับไม่ดื่ม เขาไม่ชอบดื่มจริงๆ
หรงช่างหัวเราะ
คำพูดไม่น่าฟัง
แต่เหตุผลก็คือเหตุผลนี้
อันที่จริงเขายังพอจะรับได้
แต่คาดว่ากู้โม่คงไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไร
แล้วก็จริงดังคาด กู้โม่ลุกขึ้นยืน หัวเราะเสียงหยันเอ่ยว่า “รักตัวกลัวตาย ยังจะเข้ามาอยู่ในสายไท่เสียได้อีกหรือ?! ยังจะลงจากภูเขาไปกำจัดปีศาจปราบมารอะไรได้อีก?! หลบอยู่บนภูเขาๆ แล้วค่อยๆ เดินขึ้นเขาไป แบบนั้นจะไม่ประหยัดแรงกว่าหรือไร? จะได้ไม่ต้องมาเจอกับคนแบบเจ้า! หากข้ากู้โม่ตายไป ก็แค่ขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งที่ตายไป แต่อุตรกุรุทวีปกลับต้องเสียตะพาบเฒ่าสองคนที่ขอบเขตสูงยิ่งกว่าไป การค้าครั้งนี้ ใครได้กำไรใครขาดทุนกันแน่?!”
เฉินผิงอันลังเลเล็กเน้อย “ตัวเจ้าเองไม่ขาดทุนหรือ?”
กู้โม่สบถด่า “ขาดทุนกับปู่เจ้าน่ะสิ!”
เฉินผิงอันไม่โมโหแม้แต่น้อย เขาหันหน้าไปยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าตบะสูงกว่า เจ้าเป็นคนอธิบายเหตุผล”
ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ “นิสัยเจ้าดีกว่า เจ้าเป็นคนพูดนั่นแหละดีแล้ว”
ชายแขนเสื้อสองข้างของชุดคลุมอาคม ‘ไท่เสีย’ ของกู้โม่สะบัดโบกไม่หยุด นางโมโหจนหน้าเขียวคล้ำ “พวกเจ้าสองคน อย่ามัวแต่สำบัดสำนวน รีบไสหัวออกมาสักคนหนึ่ง มาสู้กับข้าสักตั้ง!”
เฉินผิงอันกล่าว “สำนักของเจ้าร้ายกาจเกินไป ข้าไม่กล้าต่อสู้กับเจ้า”
กู้โม่โมโหจัดจนกลายเป็นขำ “ข้าไม่ใช่คนบ้าสักหน่อย ก็แค่ประลองฝีมือกับเจ้า ไม่ใช่จะแบ่งแยกเป็นตาย!”
ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ “หยิบมะพลับนิ่มมาบีบ ไม่ค่อยดีเท่าไรนะ”
กู้โม่ไม่รู้สึกลำบากใจสักเท่าไร นางพูดอย่างมีเหตุมีผลว่า “ในเมื่อเจ้าแสร้งทำเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองมาตลอดทางแล้ว แถมยังปะทะกับคนอื่นซึ่งๆ หน้ามาหลายครั้ง แม้แต่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองของราชวงศ์ต้ากวานก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้เจ้า มือดาบเซียวซูเย่อะไรนั่นก็ยิ่งถูกเจ้าฆ่า ข้าว่าเจ้าเองก็ไม่ใช่มะพลับนิ่มอะไรหรอก เจ้าประมือกับข้า ไม่เกี่ยวพันไปถึงสำนัก”
จากนั้นกู้โม่ก็ถามอย่างสงสัยว่า “พวกเจ้าสองคนกำลังพึมพำอะไรอยู่ใช่ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “กำลังถามท่านหลิวว่า ชุดคลุมอาคมชิ้นนั้นของเจ้าสามารถต้านทานการโจมตีสุดกำลังของผู้ฝึกกระบี่เซียนดินได้ใช่หรือไม่ เจ้าถึงได้ดูมั่นอกมั่นใจขนาดนี้ ท่านหลิวบอกว่าต้องใช่แน่นอน”
กู้โม่เดือดดาลอย่างหนัก “เจ้าคนหน้าไม่อาย!”
หรงช่างนวดคลึงหว่างคิ้ว
นี่อะไรมาเจอกับอะไรกัน?
หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากขนาดนี้ ออกจากทะเลสาบกระบี่ฝูผิงคราวนี้ ตนก็น่าจะให้คนอื่นมาร่วมวงด้วย
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน
กู้โม่ยิ้มกล่าว “ยังไง ก่อนจะสู้กันยังจะต้องพูดพล่ามกับข้าอีกสักหน่อยไหมล่ะ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ระหว่างที่ต่อสู้ ข้าไม่ค่อยชอบพูด ต้องดูว่าตัวเจ้าเองมีความสามารถพอจะให้ข้าเปิดปาก เพื่อที่ตัวเองจะแอบผลัดเปลี่ยนลมปราณหรือไม่”
เฉินผิงอันกระทืบเท้าหนึ่งครั้ง บนผนังของเรือนหลังนี้ก็มีเจียวสีขาวหิมะผลุบๆ โผล่ๆ เส้นหนึ่ง เส้นแสงนั้นพลันระเบิดออก ส่องประกายเจิดจ้าอย่างถึงที่สุด ราวกับคนธรรมดาที่เงยหน้ามองดวงตะวันกะทันหัน แน่นอนว่าย่อมแสบตา
หรงช่างก็แค่หรี่ตาลงเล็กน้อยเท่านั้น
ทว่ากู้โม่กลับหลับตาลงตามจิตใต้สำนึก แต่แล้วในใจนางก็รู้ได้ว่าท่าไม่ดี จึงพลันลืมตาโพลง
นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในเสี้ยววินาที
แสงกระบี่สีขาวหิมะกับแสงกระบี่สีเขียวมรกตพากันบินออกมา
แล้วเงาร่างชุดเขียวก็หายวับไป ก่อนจะมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายกู้โม่ จากนั้นก็ย้อนกลับไปจุดเดิมอย่างระมัดระวัง แล้วนั่งลงเบาๆ
กู้โม่ยืนอยู่ที่เดิม นางอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิบนเรือลำเล็ก “ก็ได้ ข้าแพ้แล้ว เจ้าอธิบายเหตุผลของเจ้าต่อไปเถอะ ต่อให้จะหงุดหงิดแค่ไหน ข้าก็จะทนฟัง”
นี่ก็คือเหตุผลที่หรงช่างยินดีติดตามกู้โม่มาตลอดทาง อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายยังถือว่าไม่เลว
กู้โม่คล้ายจะเพิ่งมารู้สึกตัวทีหลัง นางกล่าวอย่างเดือดดาลว่า “ไม่ถูกสิ! เป็นหลิวจิ่งหลงที่ช่วยวาดยันต์ให้เจ้า เจ้าถึงได้ชิงโอกาสลงมือก่อนได้?!”
ฉีจิ่งหลงโบกมือ “ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”
หรงช่างกล่าว “ไม่เกี่ยวกับท่านหลิวจริงๆ”
กู้โม่มองประเมินคนต่างถิ่นชุดเขียวแวบหนึ่ง แล้วถามอย่างประหลาดใจว่า “เหตุใดเจ้าถึงได้มีกระบี่บินที่ไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตถึงสองเล่ม?”
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้ายังมีหน้ามาถามข้า?”
กู้โม่แสยะปากยิ้ม “น่าเสียดายที่ออกกระบี่ได้ไม่ไวเหมือนเจ้า แล้วนับประสาอะไรกับที่หากเป็นศึกตัดสินเป็นตาย แล้วดันใช้ชีวิตแลกกับอาการบาดเจ็บ ข้าไม่ได้ประสาทเสียหน่อย ไม่มีทางทำหรอก”
เฉินผิงอันถอนหายใจอยู่ในใจ
บนร่างของกู้โม่นอกจากชุดคลุมอาคมชิ้นนั้นแล้ว อันที่จริงยังซ่อนกระบี่บินไว้ อย่างน้อยที่สุดก็สองเล่ม ซึ่งไม่ต่างจากของของตนสักเท่าไร นั่นคือต่างก็ไม่ใช่วัตถุแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ มีอยู่เล่มหนึ่งที่น่าจะเป็นสมบัติของสายไท่เสีย เล่มที่สอง มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าเป็นของที่ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงมอบให้ ดังนั้นเมื่อขอบเขตของกู้โม่สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเลื่อนเป็นเซียนดินแล้ว คู่ต่อสู้ของนางก็มีแต่จะยิ่งปวดหัวมากขึ้น ส่วนเมื่อได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน ก็จะเป็นสภาพการณ์อีกอย่างหนึ่ง ของนอกกายทุกอย่างล้วนต้องแสวงหาขั้นสูงสุด พลังพิฆาตยิ่งใหญ่ที่สุด การป้องกันแข็งแกร่งที่สุด วิชาคาถาแปลกประหลาดที่สุด ยิ่งความสามารถของสมบัติก้นกรุที่แท้จริงน่ากลัวมากเท่าไร โอกาสชนะก็มีมากขึ้นเท่านั้น ไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะเป็นเพียงแค่หมอนปักลายบุปผา ยกตัวอย่างเช่นเจียงซ่างเจินที่มีสมบัติมากมายขนาดนั้น แน่นอนว่าต้องมีประโยชน์ อีกทั้งยังมีประโยชน์มาก แต่สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว หากเป็นการเข่นฆ่าตัดสินเป็นตายที่ความสามารถสูสีกัน ต่อให้หลังจากรู้แพ้ชนะแล้ว ก็ยังต้องดูที่ระดับการหล่อหลอมของใบหลิวใบนั้น แล้วนำมาใช้เป็นตัวตัดสิน ตัดสินเป็นตายของทั้งสองฝ่าย
อีกทั้งกู้โม่ยังสามารถมองออกในปราดเดียวว่าชูอีสืออู่ไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ บางทีนี่ก็อาจจะเป็นสายตาที่ลูกศิษย์ของสำนักใหญ่สมควรมี
หรงช่างเปิดปากเอ่ยว่า “เมื่อได้วิธีการที่ค่อนข้างมั่นคงเหมาะสม ก็แค่ต้องรอให้อาจารย์ของข้ามาถึงที่นี่ รอให้นางได้พบกับสุยจิ่งเฉิงแล้วค่อยว่ากัน ไม่ทราบว่าท่านเฉินกับท่านหลิวจะยินดีรออีกสักช่วงระยะเวลาหนึ่งหรือไม่?”
อันที่จริงนี่เป็นการสร้างความลำบากใจให้ผู้อื่นแล้ว
คำว่ามั่นคงเหมาะสมนั้นก็แค่ใช้กับหรงช่างและกู้โม่เท่านั้น
เพราะสำหรับคนต่างถิ่นสองคนที่อยู่ตรงหน้านี้ หากไม่ทันระวังก็จะกลายเป็นทัณฑ์หายนะที่ร้ายแรงถึงเป็นถึงตาย อีกทั้งยังมีภัยแฝงนับไม่ถ้วนที่อาจตามมาเบื้องหลัง หากวันนี้เขาจากไป ทิ้งสุยจิ่งเฉิงไว้ อันที่จริงกลับกลายเป็นว่าจะยิ่งประหยัดแรงกายแรงใจ หากสามารถทำได้ถึงขั้นนั้น ต่อให้ลี่ไฉ่ผู้เป็นอาจารย์เดินทางมาถึงแคว้นลวี่อิงก็ยังหาข้อตำหนิอะไรเขาไม่ได้ ‘ลูกศิษย์ที่ปิดด่าน’ ของตัวเองไปชอบคนอื่นเข้า หรือจะให้ตบหน้าบุรุษคนนั้นเพื่อปลุกให้ศิษย์น้องหญิงเล็กคืนสติ? นางจะคืนสติได้หรือ? สตรีทั่วไปอาจจะได้ แต่จากการสังเกตทุกคำพูดและการกระทำของสุยจิ่งเฉิง ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าความคิดความอ่านของนางรอบคอบและยังทะลุปรุโปร่ง คิดวกวนร้อยรอบพันตลบ เทียบกับความตรงไปตรงมาบนเส้นทางการฝึกตนของศิษย์น้องหญิงในปีนั้นแล้ว เรียกว่าแตกต่างราวฟ้ากับดิน
ดังนั้นยิ่งสุยจิ่งเฉิงเป็นคนที่ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงให้ความสำคัญมากเท่าไร ตบะของอาจารย์เขาหรงช่างสูงเท่าไร ถ้าเช่นนั้นคนหนุ่มต่างถิ่นผู้นี้ก็อันตรายมากขึ้นเท่านั้น เพราะเรื่องไม่คาดฝันมีแต่จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
การที่หรงช่างไม่ได้เสนอแนะเช่นนี้ตั้งแต่แรก ก็เพราะว่าคำพูดเช่นนี้ ง่ายที่จะทำให้สถานการณ์ที่มีโอกาสจะพูดคุยกันดีๆ ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน กลายเป็นการเข่นฆ่าปลิดชีวิตที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน
ถึงเวลานั้นคนทั้งสองไปหลบอยู่ในสำนักกระบี่ไท่ฮุย
ต่อให้เป็นลี่ไฉ่อาจารย์ของเขาก็ไม่มีทางไปหาพวกเขาถึงสำนักกระบี่ไท่ฮุย
ทั้งไม่มีเหตุผล แล้วก็ไร้ความหมาย
ผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปใช่ว่าจะไร้เหตุผลไปเสียทั้งหมด แต่เป็นเพราะทุกคนล้วนมีหลักการเหตุผลที่สอดคล้องกับขนบธรรมเนียมแคว้นเป็นของตัวเอง เพียงแต่ว่าเหตุผลของที่นี่ไม่ค่อยเหมือนกับเหตุผลของทวีปอื่นก็เท่านั้น
ดังนั้นถึงได้มีผู้ฝึกตนต่างถิ่นที่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่เทียมฟ้ามากมายต้องมาตายโดยไร้ที่ฝังร่างอยู่ที่นี่ ถึงขั้นที่ว่าสุดท้ายแล้วตายด้วยน้ำมือใครก็ยังตรวจสอบไม่พบ นอกจากน้องชายแท้ๆ ของเทพเจ้าแห่งโชคลาภของธวัลทวีป ผู้สูงศักดิ์หวงจื่อผู้สืบทอดของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ อันที่จริงยังมีอีกหลายคนที่สถานะน่าตกใจมากเช่นกัน เพียงแต่ว่าถูกปิดข่าวเอาไว้ นอกจากตระกูลเซียนที่มีอักษรจงอยู่ในชื่อแล้ว ก็ไม่มีใครรู้จักอีกก็เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นหนึ่งในนั้นก็มีลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของรองเจ้าลัทธิศาลบุ๋นคนหนึ่งรวมอยู่ด้วย
คนตัวเป็นๆ เทพเซียนผู้เฒ่าที่อยู่เบื้องหลังคนตายเหล่านี้ มีใครบ้างที่ทรัพย์สมบัติไม่มหาศาล หมัดไม่แข็งพอ?
แต่พวกเจ้ามีปัญญามาเยือนอุตรกุรุทวีปแล้วลองม้วนชายเสื้อเผยหมัดออกมาหรือไม่?
อย่างอื่นในอุตรกุรุทวีปนั้นมีไม่มาก ที่มากก็คือผู้ฝึกกระบี่ เซียนกระบี่!
ในใจของเฉินผิงอันตัดสินใจได้แล้ว แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่หันหน้ามามองทางฉีจิ่งหลง
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ข้ายังคงว่างไม่มีอะไรทำอยู่ดี”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูด
ฉีจิ่งหลงยิ้มเอ่ย “ข้ายังพูดเหตุผลได้ไม่มากพอเลย ต่อให้ข้าพูดจบแล้ว สำนักกระบี่ไท่ฮุยก็มีเหตุผลที่ต้องพูดเหมือนกัน”
เฉินผิงอันจึงไม่เอ่ยอะไรอีก
—–