บทที่ 526.3 ตีมือ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

จากนั้นเฉินผิงอันก็ลุกขึ้นยืน เดินไปเคาะประตู

ฝ่ายฉีจิ่งหลงก็ได้ถอนค่ายกลยันต์ออกไปแล้ว

เฉินผิงอันพาสุยจิ่งเฉิงเดินมาถึงริมขอบสระบัว ขอแค่เป็นเรื่องที่พูดได้ เขาล้วนเล่าให้นางฟังทั้งสิ้น

สุดท้ายเฉินผิงอันยิ้มกล่าวว่า “ตอนนี้เจ้าไม่ต้องไปคิดถึงอะไรทั้งนั้น ภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้ เจ้าคิดจะทำอย่างไร?”

สุยจิ่งเฉิงถามเบาๆ ว่า “จะสร้างปัญหาให้กับผู้อาวุโสกับท่านหลิวหรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “บนเส้นทางของการฝึกตน ขอแค่ตนเองไม่ไปหาเรื่องมาใส่ตัว ก็ไม่ต้องกลัวว่าปัญหาจะมาเยือนถึงบ้าน”

กู้โม่นั่งอยู่บนเรือลำเล็ก นางว่างงานยิ่งกว่าฉีจิ่งหลงเสียอีก มองดูเหมือนกำลังเพ่งมองใบบัวที่อยู่นอกตัวเรือ แต่ความจริงกลับเงี่ยหูรับฟังอยู่ตลอดเวลา แล้วก็อดกลอกตามองบนได้

ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะคนผู้นั้นพูดจาไม่ถูกใจ ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ เพราะนางกู้โม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายพูดจามีเหตุผลอย่างยิ่ง แต่กับเจ้าคนแซ่เฉินผู้นี้ นางไม่เคยปฏิเสธว่ามีอคติต่อเขาอย่างมาก ดังนั้นถึงได้มีการกระทำเช่นนี้

สุยจิ่งเฉิงพยักหน้ารับ ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็รอให้ข้าได้พบกับยอดฝีมือท่านนั้นก่อนค่อยว่ากัน?”

เฉินผิงอันตอบ “ย่อมได้”

สีหน้าของสุยจิ่งเฉิงหม่นหมองเล็กน้อย ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความละอายใจ นางอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูด

เฉินผิงอันขมวดคิ้วกล่าวว่า “หากมัวแต่คิดมากกับทุกเรื่อง ก็มีแต่จะยิ่งทำให้เจ้าชักช้าอืดอาด แล้วจะยังต้องคิดอีกทำไม? รังเกียจว่าการฝึกตนของตัวเองพัฒนาเร็วเกินไป? หรือว่าเรื่องของการฝึกจิตใจนั้นง่ายดายเกินไป?”

สุยจิ่งเฉิงร้องอ้อรับหนึ่งที

ทั้งไม่โต้เถียง แต่ก็ดูเหมือนไม่คิดจะเอากลับไปทบทวนตัวเอง

หากเปลี่ยนมาเป็นลูกศิษย์บุกเบิกขุนเขาของตน ป่านนี้เฉินผิงอันคงเขกมะเหงกลงไปนานแล้ว

ฉีจิ่งหลงยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ไม่มองในสิ่งที่ไม่ควรมอง ไม่ฟังในสิ่งที่ไม่ควรฟัง

แต่ด้วยตบะที่สูงส่ง ถ้อยคำทั้งหลายจึงดังเข้าหูอย่างแจ่มชัด จะขวางก็ขวางไม่อยู่

กลับกลายเป็นว่าหรงช่างคือคนที่อัดอั้นตันใจมากที่สุด

สถานการณ์ใหญ่ถูกกำหนดมาแล้ว กู้โม่ที่ตอนแรกรีบร้อนลุกลน กลับกลายมาเป็นคนที่สบายอารมณ์มากที่สุด นางมองดูคู่ชายหญิงที่ความสัมพันธ์ประหลาดคู่นั้นแล้วถึงขั้นรู้สึกว่ามีบางอย่างชวนให้น่าขบคิด

หลังจากนั้นกู้โม่และหรงช่างก็เข้าพักในโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนของท่าเรือหัวมังกรแห่งนี้ เรือนทั้งสองหลังล้วนไม่เล็ก

อยู่ห่างจากเรือนสระบัวมาค่อนข้างไกล และนี่ก็ถือว่าเป็นความจริงใจเล็กๆ อย่างหนึ่ง หลีกเลี่ยงไม่ให้บุรุษชุดเขียวสองคนนั้นเข้าใจผิดคิดว่าไม่ไว้ใจพวกเขา

กู้โม่และหรงช่างนั่งอยู่ตรงข้ามกันในลานบ้านขนาดเล็กของเรือน

กู้โม่เอ่ยถาม “หรงช่าง ข้าแค่ถามชวนคุยนะ เจ้าเอาชนะหลิวจิ่งหลงผู้นั้นไม่ได้จริงๆ หรือ? กระบวนท่าเดียวก็แพ้เลย?”

หรงช่างยิ้มกล่าว “หากจะเข่นฆ่ากันจริงๆ แน่นอนว่าไม่มีทางแพ้ยับเยินขนาดนั้น แต่โอกาสที่จะเอาชนะได้ก็มีน้อยมากจริงๆ ศึกบนภูเขาตี่ลี่ระหว่างฉีจิ่งหลงกับนักพรตหญิงต่างถิ่นครั้งนั้น หากพวกเขาไม่หยุดมือก็ต้องหาโอกาสในการฝ่าทะลุขอบเขตจนเจอ”

กู้โม่กล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “หลิวจิ่งหลงผู้นี้เป็นคนประหลาดจริงๆ! มีใครที่สามารถฝ่าทะลุขอบเขตได้ตลอดทางอย่างง่ายดายแบบนี้บ้าง นี่ต้องเรียกว่าพุ่งทะยานดุจผ่าลำปล้องไม้ไผ่แล้ว คนเปรียบเทียบกับคน ทำให้คนโมโหตายได้จริงๆ”

หรงช่างยิ้มกล่าว “หากหันไปมองสองคนที่อยู่เบื้องหน้าหลิวจิ่งหลง พวกเราจะไม่ต้องเอาหัวโหม่งตายให้จบๆ เรื่องไปเลยหรอกหรือ?”

กู้โม่ส่ายหน้า “สองคนนั้นน่ะหรือ ข้าไม่คิดจะเอาตัวไปเปรียบเทียบด้วยซ้ำ ไม่มีความคิดนั้นเลย หลิวจิ่งหลงมีความหวังสูงสุดที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นคนบนยอดเขาของอุตรกุรุทวีปในอนาคต แต่สองคนนั้นน่ะ ต้องได้เลื่อนขั้นแน่นอนอยู่แล้ว ถึงขั้นที่ว่าอาจารย์อาท่านหนึ่งในสายอื่นของสำนักข้ายังเคยวิเคราะห์ไว้ว่า คนหนึ่งในนั้น ในอนาคตต่อให้ไปอยู่ที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ก็ยังมีโอกาสเลื่อนขั้นติดอันดับสิบคนอยู่ดี”

กู้โม่พลันถามว่า “ได้ยินมาว่าแจกันสมบัติทวีปที่เซียนกระบี่ลี่ไปเยือน เว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะ และซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองของต้าหลี ต่างก็เป็นผู้แข็งแกร่งทั้งคู่?”

หรงช่างพยักหน้ารับ “แข็งแกร่งมากทั้งคู่ นับวันรอมหามรรคาได้เลย”

กู้โม่กล่าวอย่างกังขา “เว่ยจิ้นยังไม่ต้องไปพูดถึงเขา แต่ซ่งจ่างจิ้งคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัว เดินไปบนเส้นทางสายขาด คำว่านับวันรอมรรคาคงไม่ค่อยเหมาะสมกับเขาเท่าไรกระมัง?”

หรงช่างนึกถึงประโยคที่คนพูดไม่ตั้งใจ แต่คนฟังมีเจตนาที่ใครบางคนซึ่งก่อนหน้านี้ยืนอยู่ข้างกายอาจารย์ของเขาแล้วยังกล้าทำตัวเป็นบุรุษเจ้าชู้เสเพลเคยกล่าวถึง แล้วก็เลยยกประโยคของอีกฝ่ายมาพูดว่า “นอกจากความเป็นอมตะบนมหามรรคาก็ยังมีมหามรรคา”

กู้โม่ยิ้มเอ่ย “คำพูดประเภทนี้ ค่อนข้างคล้ายคลึงกับคำพูดของเหล่าอาจารย์ลุงอาจารย์อาทั้งหลายที่อยู่บนยอดเขาพาตี้ของสำนักพวกเราเลย”

หรงช่างไม่พูดอะไรให้มากความอีก

เพราะถึงอย่างไรยอดเขาพาตี้ก็เป็นภูเขาของเทพเซียนผู้เฒ่าอย่างฮว่อหลงเจินจวิน เจินเหรินผู้เฒ่าแทบจะไม่เคยจัดการธุระในสำนักมาก่อน ล้วนมอบหน้าที่ให้พวกศิษย์ลูกศิษย์หลานไปจัดการกันเอาเอง เพราะเจินเหรินผู้เฒ่าจะเอาแต่นอนอย่างเดียวเท่านั้น

อย่างไท่เสียหยวนจวินอาจารย์ของกู้โม่ ก็คือคนที่ฝึกตนประสบความสำเร็จ จึงได้ออกจากยอดเขาพาตี้ มาเปิดขุนเขาเป็นของตัวเองนานแล้ว จากนั้นก็รับลูกศิษย์ แตกกิ่งก้านสาขาออกไป

นอกจากสายของไท่เสียแล้ว ยังมีสายอื่นอีกสามสาย ล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในอุตรกุรุทวีป สายของเถาซานจะเชี่ยวชาญคาถาอสนีมากที่สุด สายของป๋ายอวิ๋นเชี่ยวชาญยันต์ค่ายกล ส่วนสายจื่อเสวียนเชี่ยวชาญเรื่องวิถีกระบี่

แต่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดทุกคนของทั้งสี่ท่านที่สามารถไปสร้างชื่อเสียงยิ่งใหญ่ในอุตรกุรุทวีปได้ หากพูดถึงเรื่องการถ่ายทอดมรรคกถาจากอาจารย์เมื่อไหร่ พวกเขาก็จะพูดแค่ว่าตัวเองเรียนรู้มาแค่ผิวเผินเท่านั้นเหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น

คำพูดเกรงใจเช่นนี้ คนฟังเชื่อหรือไม่?

อยู่ในอุตรกุรุทวีป ก็เชื่อจริงๆ นั่นแหละ

นี่ยังไม่ถือว่าเกินจริงมากที่สุด คำกล่าวที่ทำให้คนไร้คำพูดตอบโต้ได้มากที่สุดนั้นได้แพร่ออกมาเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งไม่รู้ว่าแพร่มาได้อย่างไร ผลคือเพียงไม่นานก็สะพัดไปเกินครึ่งอาณาเขตของอุตรกุรุทวีป ว่ากันว่านั่นเป็นคำกล่าวของลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของฮว่อหลงเจินจวิน ตอนที่ลูกศิษย์คนนั้นลงจากภูเขามาหาประสบการณ์ เคยได้พูดคุยกับยอดฝีมือนอกโลกคนหนึ่งที่มาเยี่ยมเยือนยอดเขาพาตี้ ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้เป็นการ ‘เปิดเผยความลับสวรรค์’ เสียได้ เขาบอกว่าอาจารย์เคยพูดกับเขาด้วยตัวเองว่า อาจารย์รู้สึกว่าเรื่องที่น่าเสียดายที่สุดในชีวิตนี้ของอาจารย์ ก็คือความสามารถในการกำจัดปีศาจปราบมารที่อ่อนด้อยเกินไป

ดูเหมือนว่าลูกศิษย์คนนั้นจะเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ยังดีที่ตอนพูดถึงเรื่องนี้ นักพรตน้อยไม่ได้มีท่าทีรังเกียจอาจารย์ของตัวเองสักเท่าไร?

เซียนกระบี่มากมายของสถานที่อื่นต่างก็อยากจะยื่นมือออกไปกดหัวลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนนั้นแรงๆ แล้วถามนักพรตหนุ่มที่ในสมองน่าจะมีรูผู้นั้นดังๆ ว่า เจ้ากำลังพูดเรื่องตลกอยู่จริงๆ งั้นหรือ?!

หลังจากถามคำถามนี้ไปแล้ว แน่นอนว่าเหล่าเซียนกระบี่ทั้งหลายยังต้องยิ้มแย้มส่งเขาออกจากอาณาเขตไปอย่างมีมารยาทด้วย

เซียนกระบี่ของอุตรกุรุทวีป ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง ไม่กลัวใครทั้งนั้น กลัวก็แค่ฮว่อหลิงเจินเหรินที่ถือว่าเป็นคนกันเองครึ่งตัวผู้นั้น

ยังดีที่งานอดิเรกของเทพเซียนผู้เฒ่าคนนี้ก็คือการนอน ไม่ชอบลงจากภูเขา

แต่ก็พอๆ กับนักพรตหนุ่มที่ไม่รู้ว่าหายตัวไปไหนคนนั้น ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของฮว่อหลิงเจินเหรินที่พรสวรรค์ไม่ได้ยอดเยี่ยมอย่างพวกเขาเหล่านี้ บนยอดเขาพาตี้ยังมีอีกหลายสิบคน พวกเขาต่างก็สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่บนยอดเขาพาตี้ แม้จะบอกว่าฝึกตน แต่เมื่ออยู่ในสายตาของผู้ฝึกตนตระกูลเซียนที่มีอักษรจงแล้ว นั่นต้องเรียกว่า…อยู่รอความตายไปวันๆ นอกจากพวกเขาแล้วยังมีนักพรตน้อยอีกหลายคน เพราะถึงอย่างไรต่อให้ตบะย่ำแย่แค่ไหนก็ล้วนมีลูกศิษย์เป็นของตัวเอง และกลับกลายเป็นว่าพวกเขามักจะได้ฟังการถ่ายทอดมรรคกถาจากฮว่อหลิงเจินเหรินตอนที่ไม่นอนหลับอยู่บ่อยๆ ก็แค่สติปัญญายังคงไม่เปิดออกเท่านั้น นานมากแล้วที่ไม่มีศิษย์หลานหรือลูกศิษย์คนใดของยอดเขาพาตี้ที่สามารถทำให้คนภายนอกรู้สึกว่าในด้านการฝึกตน ‘สามารถมีเหตุผลหน่อยได้หรือไม่’ ได้ สรุปก็คือพวกเขาต่างก็ปล่อยให้โชควาสนาตระกูลเซียนที่ใหญ่ขนาดนั้นต้องเสียเปล่า ผู้ฝึกตนเซียนดินของอุตรกุรุทวีปหลายคนต่างก็รู้สึกว่าหากเปลี่ยนมาเป็นตนที่ได้เป็นนักพรตโง่เง่าคนใดก็ตามบนยอดเขาพาตี้ ป่านนี้ก็คงเดินขึ้นสวรรค์ในวันเดียว กลายเป็นห้าขอบเขตบนโดยตรงไปนานแล้ว

ดังนั้นยอดเขาพาตี้คือสถานที่แห่งการฝึกตนที่ทำให้คนไม่เข้าใจอย่างยิ่ง ปราณวิญญาณและฮวงจุ้ยล้วนไม่ได้ดีที่สุด ลูกศิษย์ผู้สืบทอดและลูกศิษย์ของเหล่าผู้สืบทอดทั้งหลายที่อยู่บนภูเขา ส่วนใหญ่ไม่ว่าจะมองอย่างไรมหามรรคาก็เลือนราง ดังนั้นแม้ว่านักพรตเหล่านี้จะมีลำดับศักดิ์สูงมาก แต่ในบรรดาสายของฮว่อหลิงเจินเหริน อันที่จริงก็เหลืออยู่แค่ลำดับศักดิ์ที่สูงเท่านั้น อีกทั้งยอดเขาพาตี้ยังไม่คบค้าสมาคมกับยอดเขาอื่นๆ มากเกินความจำเป็น บวกกับที่ฮว่อหลิงเจินเหรินมักจะปิดด่าน…หรือก็คือนอนหลับเป็นประจำ ผู้ฝึกตนหลายคนของสายไท่เสียป๋ายอวิ๋นจึงไม่มีเหตุผลให้ไปใกล้ยอดเขาพาตี้ ดังนั้นพวกเขาจึงทั้งไม่คุ้นเคย แล้วก็ไม่ถือว่าสนิทสนมกับเหล่าบรรพจารย์อา บรรพจารย์ลุงทั้งหลายเหล่านั้น

ส่วนประวัติความเป็นมาของชื่อยอดเขาพาตี้ (หมอบอยู่กับพื้น/นอนคว่ำอยู่กับพื้น) ผู้คนต่างพูดกันไปหลากหลาย

คำกล่าวที่มหัศจรรย์ที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ ในแถบของยอดเขาพาตี้เคยมีเจียวดุร้ายที่ระดับขอบเขตสูงอย่างถึงที่สุดซ่อนตัวอยู่หลายตัว หลังจากที่ฮว่อหลงเจินจวินผ่านทางมาเห็นเข้า อาจเพราะเห็นแล้วขวางหูขวางตา ก็เลยถูกเจินเหรินผู้เฒ่าไล่กระทืบไปทีละตัว ไม่เพียงเท่านี้ หลังจากที่เจียวร้ายถูกกระทืบจนนอนแบนติดพื้นแล้ว ก็ไม่มีเจียวหลงตัวใดกล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย หลังจากที่เจินเหรินผู้เฒ่าตัดสินใจว่าจะสร้างกระท่อมอยู่ที่นั่นก็ได้ให้เหล่าลูกศิษย์ร่ายวิชาอภินิหาร ย้ายดินมาจากภูเขาแร้นแค้นห่างไกล เจียวร้ายเหล่านั้นจึงกลายมาเป็นเส้นสายภูเขาที่แน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน ว่ากันว่าอย่างน้อยที่สุดประวัติความเป็นมาของยอดเขาจื่อจ้าว หนันหัวและยอดเขาฝูเหยาก็เกี่ยวข้องกับ ‘เส้นสายมังกร’ ของแท้อย่างแน่นอน

ส่วนข้อที่ว่าสรุปแล้วปีนั้นเจินเหรินผู้เฒ่ากระทืบเจียวชั่วให้นอนหมอบติดพื้นไปกี่ตัวกันแน่ สวรรค์เท่านั้นที่รู้ได้

หรงช่างยิ้มกล่าว “เจินเหรินผู้เฒ่ายังไม่กลับมาหรือ?”

กู้โม่พูดด้วยน้ำเสียงเสียใจเล็กน้อย “ยังเลย หากบรรพจารย์อยู่บนภูเขาด้วย อาจารย์ของข้าต้องไม่มีทางจากโลกนี้ไปแน่”

หรงช่างถอนหายใจหนึ่งที

คำพูดบางอย่างเขาไม่อาจพูดมากได้

ยกตัวอย่างเช่นคำว่าเป็นตายล้วนขึ้นอยู่กับชะตาลิขิต

เมื่อเดินมาถึงระดับความสูงเฉกเช่นเซียนซือผู้เฒ่าอย่างฮว่อหลิงเจินเหรินจริงๆ ความเมตตาปราณีของเขาอาจไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนอย่างเราๆ สามารถทำความเข้าใจได้เสมอไป

แต่หรงช่างรู้สึกเคารพนับถือฮว่อหลงเจินเหรินจากใจจริง

ลี่ไฉ่ผู้เป็นอาจารย์ก็ยิ่งเป็นเช่นนั้น

เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก อาศัยสามประโยคของฮว่อหลงเจินเหริน

‘พวกเรามาจากโลกมนุษย์ด้านล่างภูเขา ก็ควรต้องลงไปยังโลกมนุษย์ด้านล่างภูเขา การขึ้นเขานั้นอาศัยการเดิน ลงจากเขาทะยานลม บนเส้นทางของการฝึกตน ยากจะแสวงหาวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ เมื่อกลายเป็นเทพเซียน ก็ทำเรื่องเล็กๆ ได้ง่าย’

‘แต่หากมีใครที่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการของฟ้าดิน ขึ้นไปมองยังจุดที่อยู่สูงที่สุดได้จริง แน่นอนว่าก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน ในอุตรกุรุทวีปสามารถมีผู้ฝึกตนที่เป็นเช่นนี้ได้มากหน่อย’

‘อย่าให้ชื่อเสียงที่ว่าเป็นทวีปอันดับหนึ่งนอกเหนือจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีอยู่แค่บนกระบี่เท่านั้น ฆ่ากันไปฆ่ากันมาไม่ใช่ความสามารถที่แท้จริง ข้าผู้เป็นนักพรตยกมือตบแค่ไม่กี่ทีก็สามารถตบให้พวกเจ้าตายได้แล้ว’

……

เรือนอักษรตัวเทียนของโรงเตี๊ยมนกกระเต็น

หลังจากคลื่นมรสุมผ่านไป ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ

กลิ่นหอมของดอกบัวโชยมาเป็นระลอก ใบบัวส่ายไหวไปตามสายลม

เฉินผิงอันและฉีจิ่งหลงนั่งอยู่บนม้านั่งยาวตัวเดียวกัน ส่วนสุยจิ่งเฉิงนั่งอยู่บนม้านั่งอีกตัวที่อยู่ด้านข้าง

ฉีจิ่งหลงเอ่ยว่า “เลื่อนเป็นขอบเขตสามแล้ว ยินดีด้วย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

ดวงตาของสุยจิ่งเฉิงเป็นประกายวาบ

เพิ่งจะขอบเขตสาม?

นางลุกขึ้นยืน เดินมานั่งอยู่ข้างบ่อดอกบัว แล้วเด็ดใบบัวอีกใบหนึ่งมา ก่อนกลับมานั่งที่ม้านั่งตัวยาว

เฉินผิงอันและฉีจิ่งหลงต่างก็เงียบงัน เพียงแต่มองไปยังสระบัวเงียบๆ

เฉินผิงอันพลันถามว่า “ยวนยางจิ่นซิ่วคู่นั้นมาจากสวนน้ำค้างวสันต์หรือ?”

ฉีจิ่งหลงไม่ได้รีบร้อนตอบคำถาม เขาโน้มตัวไปข้างหน้า ชำเลืองตามองสุยจิ่งเฉิง

สตรีผู้นั้นมีสีหน้านับถือ คงจะนับถือที่ผู้อาวุโสของนางมีความรู้กว้างขวางกระมัง?

แต่ไม่นานฉีจิ่งหลงก็ยืดตัวกลับมานั่งตัวตรงอีกครั้ง ใช้ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจพูดกับเฉินผิงอันด้วยน้ำเสียงสงสัย “ก่อนหน้านี้ไม่รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้ข้าเริ่มรู้สึกแล้วว่าเรื่องที่หรงช่างเป็นกังวลนั้น มีเหตุผลจริงๆ”

เลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสาม เฉินผิงอันก็พอจะสามารถใช้ริ้วคลื่นในหัวใจโต้ตอบได้แล้ว เขาพูดเสียงกลั้วหัวเราะว่า “ไม่คิดเรื่องพวกนี้แล้ว รอให้บรรพจารย์ของทะเลสาบกระบี่ฝูผิงมาถึงก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”

ฉีจิ่งหลงกล่าว “เซียนกระบี่หญิงผู้นั้นมีนามว่าลี่ไฉ่ นิสัยไม่เลวร้าย แต่ความเจ้าอารมณ์นั้น…”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “สามารถเป็นเพื่อนสนิทกับไท่เสียหยวนจวินได้ อีกทั้งไท่เสียหยวนจวินยังเป็นผู้อบรมสั่งสอนลูกศิษย์อย่างกู้โม่นี้ ข้าก็พอจะแน่ใจบ้างแล้วล่ะ”

ฉีจิ่งหลงจึงไม่เอ่ยอะไรอีก

สุยจิ่งเฉิงไม่อยากให้ตัวเองต้องกลายเป็นคนนอก นางจึงพยายามหาเรื่องชวนคุย “ท่านหลิว ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าเหตุผลไม่ได้อยู่บนหมัด แต่ท่านก็ยังใช้ตบะเอาชนะหรงช่างอยู่ดีไม่ใช่หรือ สุดท้ายยังยกสำนักกระบี่ไท่ฮุยมาพูดถึงด้วย?”

เฉินผิงอันกับฉีจิ่งหลงหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน

ต่างก็ไม่มีใครเปิดปากพูด

สุยจิ่งเฉิงรู้สึกอับอายระคนโกรธเคืองเล็กน้อย ทำไม มีแค่ตนเท่านั้นหรือที่เป็นคนโง่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง?

แล้วนางก็รู้สึกน้อยใจนิดๆ จึงก้มหน้าลง บิดใบบัวที่อยู่ในมือเบาๆ

ก่อนหน้านี้เวลานางไม่เข้าใจเรื่องอะไร ผู้อาวุโสก็มักจะช่วยอธิบายให้นางฟัง แล้วดูสิ ตอนนี้ได้เจอกับฉีจิ่งหลงแล้ว ก็เลยไม่ยินดีจะอธิบายอะไรให้นางฟังอีกแล้ว

—–