ตอนที่ 709 ตี้หยูเอ๋อร์

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ประโยคนั้น ทำให้ฮว๋ายยู่ยกฝ่ามือขึ้นตบลงไปทันที 

 

 

เพียงแต่ว่าครั้งนี้ ซือเป่ยมิได้อยู่นิ่งๆให้นางตบอีกต่อไป 

 

 

“เจ้ากำลังตั้งครรภ์ อย่าได้มีโทสะ เทียนตี้พระอาการหนักอยู่ในตำหนักบรรทม นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะต้องไปพักผ่อนให้สบายใจในตำหนักเทพสงคราม มิว่าเรื่องใดก็มิต้องกังวลหรือยุ่งเกี่ยวอีกต่อไป” 

 

 

ฝ่ามือที่ใหญ่โตของเขากำข้อมือของนางเอาไว้ ทั้งที่มิได้ใช้แรงสักเท่าไหร่ แต่ก็เกินพอจนฮว๋ายยู่ไม่อาจต่อต้าน 

 

 

หากนับกันตามอายุขัย ฮว๋ายยู่อายุมากกว่าเขาหลายต่อหลายปี พลังเวทย์ที่ร่างนี้มีเดิมทีก็ไม่แพ้แก่ซือเป่ยเลย แต่ช่างน่าเสียดายเพราะตอนนั้นนางรับบาดเจ็บแทนตี้เสีย ทำให้พลังตบะทั้งหมดของนางสูญสลาย แม้ผ่านมาหลายปีก็ยังไม่อาจฟื้นฟู 

 

 

นางย่อมไม่ใช่คู่มือของซือเป่ย ที่จริงก่อนหน้านี้ ซือเป่ยเคยถ่ายทอดวิชาลับ ที่ช่วยให้นางฟื้นฟูพลังตบะขึ้นมา แต่ช่วงเวลาที่ฝึกฝนวิชาลับนี้มีน้อยจนเกินไป จึงทำให้ไม่เห็นผลสำเร็จที่ชัดเจน 

 

 

“ข้าจะต้องเฝ้าดูแลเทียนตี้ อยู่ที่ตำหนักบรรทมแห่งนี้ ไม่อาจจากไปแม้แต่ก้าวเดียว!” ฮว๋ายยู่ถลึงตาใส่เขา แทบจะอยากใช้ดาบเดียวแทงทะลุหัวใจเขาไปเลยด้วยซ้ำ 

 

 

นางรู้แต่แรกแล้วว่า ซือเป่ยมีจิตใจชั่วร้ายทะเยอทะยาน แต่ก็คิดไม่ถึงว่า ความทะเยอทะยานของเขาจะมาไกลถึงเพียงนี้ 

 

 

ซือเป่ยคิดเอาไว้แต่แรกแล้วว่านางจะต้องต่อต้านเช่นนี้ เขาจับมือของนางเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ค่อยหัวเราะเสียงเย็นออกมา “อ้อ องค์หญิงหยูเอ๋อร์ชื่นชอบตำหนักเทพสงครามของข้าแม่ทัพ นางจ้องจะวิ่งไปเที่ยวเล่นอยู่นานแล้ว นางยังบอกกับข้าแม่ทัพว่า คิดถึงเจ้ายิ่งนัก” 

 

 

พอเอ่ยถึงหยูเอ๋อร์ ใบหน้าที่ซีดขาวของฮว๋ายยู่ก็เปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว 

 

 

ดวงตาดอกท้อคู่นั้นสาดประกายแหลมคมดุจมีดดาบทิ่มแทงซือเป่ย “เจ้ากำลังข่มขู่ข้าหรือ?” 

 

 

ซือเป่ย “นั่นย่อมไม่ใช่อย่างแน่นอน รักถนอมอยากจะคุ้มครองเจ้าต่างหาก แล้วไหนเลยจะใช้วิธีข่มขู่ได้กัน” 

 

 

ตี้เสียยังคงสลบไสลไม่ได้สติอยู่ด้านข้าง แต่เขากลับหยอกเย้าฮว๋ายยู่อย่างไม่กังวลสนใจ มิได้เกรงกลัวว่าฐานะของพวกเขาจะถูกเปิดเผยเลยสักนิด 

 

 

“เพียงแต่ว่าองค์หญิงมิได้ทรงพบหน้าหมู่โฮ่วมาตั้งนานแล้ว ข้าแม่ทัพเกรงว่าหากนางไม่ได้เห็นหน้าเจ้า ก็จะก่อเรื่องขึ้นมา ทำร้ายตนเองเช่นนี้ก็คงย่ำแย่แล้ว” 

 

 

ใบหน้าของซือเป่ยยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนั่นกลับทำให้ฮว๋ายยู่รู้สึกรังเกียจอย่างที่สุด 

 

 

นางกัดริมฝีปาก ทั้งที่โกรธแค้นแต่ก็ไร้หนทาง 

 

 

ก่อนหน้านี้ ซือเป่ยเชื่อฟังคำสั่งของนางเสมอมา นางจึงคิดไม่ถึงว่า พอถึงวันหนึ่งเขาจะบังอาจได้ถึงเพียงนี้ ถึงกับขึ้นมาเหยียบหัวนาง 

 

 

ทรวงอกของนางกระเพื่อมขึ้นลง พักใหญ่ค่อยยอมเอ่ยออกมาคำหนึ่งว่า “ตกลง ข้าจะไปกับเจ้า” 

 

 

ว่าแล้ว นางก็หันกลับไปมองดูตี้เสียที่บรรทมอยู่บนแท่นอย่างลึกซึ้งครั้งหนึ่ง “แต่ว่าข้าขอเตือนเจ้า หากว่าเทียนตี้ทรงเกิดเรื่องไม่คาดฝัน ข้าก็ไม่ขอมีชีวิตอยู่อีกต่อไป!” 

 

 

นัยตาของซือเป่ยหดลงแวบหนึ่ง เขาเกลียดชังท่าทางยามที่ฮว๋ายยู่ห่วงใยตี้เสียเช่นนี้ที่สุด 

 

 

ทั้งๆที่บุรุษผู้นั้นไม่ได้มีนางอยู่ในหัวใจเลยสักนิด! 

 

 

เห็นนางเอ่ยอย่างจริงจังราวกล่าวคำปฏิญาณ ซือเป่ยก็รีรออยู่พักใหญ่ ค่อยมีทีท่า ‘ยอมอ่อนให้’ “ขอเพียงเจ้าไปพักผ่อนดูแลครรภ์อยู่ในตำหนักเทพสงครามอย่างดี เขาย่อมไม่มีทางเกิดเหตุไม่คาดฝันอันใด” 

 

 

……….. 

 

 

ตำหนักเทพสงครามในตอนนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนหน้า ก็ดูงดงามหรูหรายิ่งกว่าเดิม 

 

 

หลังจากที่เทียนตี้ทรงสิ้นพระสติไม่ฟื้น ชาวแดนสวรรค์ทั้งบนและล่างต่างก็เฮกันมาประจบซือเป่ยมิได้ขาด ยิ่งทีก็ยิ่งเอาใหญ่ 

 

 

ยามที่ฮว๋ายยู่มาถึง ก็บังเอิญได้เห็นเทพหลายองค์พากับมารอพบอยู่พอดี 

 

 

เหล่าเทพเห็นฮว๋ายยู่เสด็จมา ต่างก็ต้องตกตะลึงไปพักใหญ่ ในใจต่างก็เกิดความคิดไปต่างๆนานา แต่ว่าไม่มีผู้ใดกล้าพูดอะไรออกมา 

 

 

พวกเขาได้แต่ทักทายเพียงไม่กี่คำ พอวางของขวัญไว้ ก็รีบลากลับไป 

 

 

ดูจากสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว ไม่แน่ว่าเทพสงครามอาจจะได้เป็นเทียนตี้องค์ต่อไป ในเมื่อกระทั่งบัลลังก์ของเทียนตี้ยังกลายเป็นของเขา แล้วนับประสาอะไรกับสตรีของเทียนตี้กันเล่า? 

 

 

หากพวกเขายังไม่รีบประจบเอาไว้ ไม่แน่ว่าอาจจำต้องโชคร้ายก็เป็นได้ 

 

 

ฮว๋ายยู่มองดูเงาหลังของเหล่าเทพที่พากันล่าถอยจากไป หัวใจก็ต้องหนักอึ้งลงไปอีกหลายส่วน 

 

 

“หมู่โฮ่ว!” ในตอนนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงสดใสของสาวน้อยนางหนึ่งดังมา 

 

 

ฮว๋ายยู่หันกลับไป ก็เห็นใต้ต้นไม้ที่ผลิดอกกลางสวนของตำหนักเทพสงคราม มีสาวน้อยที่สวมชุดเทพธิดาองค์หนึ่งกำลังเหาะมาหาตน นางค่อยร่อนลงตรงหน้าฮว๋ายยู่ ดวงตาและเส้นคิ้วโค้งมน คลี่ยิ้มดูจบุปผางาม 

 

 

สาวน้อยผู้นี้สืบทอดจุดเด่นทั้งหมดจากฮว๋ายยู่และตี้เสีย เกิดมาพร้อมความงดงาม โดยเฉพาะเส้นผมสีทองระยิบระยับ และนัยตาที่เป็นประกายสีทองคู่นั้น 

 

 

ตี้หยูเอ๋อร์เป็นธิดาของตี้เสียที่เกิดกับฮว๋ายยู่ตั้งแต่ยามที่พระองค์แบ่งภาคลงไปเกิดบนโลก 

 

 

ดูภายนอกนางเหมือนสาวน้อยที่มีอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น 

 

 

ฮว๋ายยู่ได้เห็นนาง สีหน้าก็ค่อยดีขึ้นบ้าง 

 

 

“เจ้ามิใช่ว่าไปฝึกวิชากับเทพไท่ซวีเทียนจุนหรอกหรือ? ทำไมอยู่ๆถึงได้กลับมายังเมืองสวรรค์?” ฮว๋ายยู่สอบถาม 

 

 

“พี่ชายเทพสงครามบอกข้าว่าฟู่หวัง (พระบิดา)ทรงได้รับบาดเจ็บ หยูเอ๋อร์จึงขอกลับมาดูหน่อย” ตี้หยูเอ๋อร์พูดพลางเกาะแขนฮว๋ายยู่เอาไว้ “หมู่โฮ่วอย่าได้ทรงเป็นกังวลไป ลูกได้ขอยาบำรุงรักษาวิญญาณกลับมาจากเทียนจุน ขอเพียงฟู่หวัง ได้เสวยลงไปก็จะต้องทรงดีขึ้นโดยเร็วอย่างแน่นอน” 

 

 

ไท่ซวีเทียนจุน คือเทพผู้อาวุโสที่ได้รับความเคารพนับถือที่สุดในหกภพภูมิ ตอนนั้นฮว๋ายยู่อ้อนวอนตี้เสียให้ใช้บารมีของจักรพรรดิสวรรค์ส่งตี้หยูเอ๋อร์ไปกราบเขาเป็นอาจารย์ จึงสำเร็จ 

 

 

ยาวิเศษที่ได้จากเขา จะมากน้อยสมควรได้ผลอยู่บ้าง 

 

 

เพียงแต่คำว่าพี่ชายเทพสงครามที่ออกจากปากของตี้หยูเอ๋อร์เมื่อครู่ ทำให้หัวใจของฮว๋ายยู่รู้สึกอึดอัดขึ้นมา 

 

 

“ในเมื่อเจ้านำยากลับมาแล้ว พรุ่งนี้ก็จงกลับไปหาไท่ซวีเทียนจุน การฝึกฝนเพื่อบำเพ็ญเพียรไม่อาจเหลวไหลได้” 

 

 

ฮว๋ายยู่กังวลใจจนต้องรีบไล่นางกลับไป เพราะเกรงว่าซือเป่ยจะคิดอะไรไม่ดีกับนาง 

 

 

ตี้หยูไม่ได้รู้ระแคะระคายอะไรเลยสักนิด นางยังคงเกาะแขนของฮว๋ายยู่เอาไว้ต่อไป “ลูกไม่ได้กลับมาวังหลวงตั้งร้อยปีแล้ว ยากนักที่จะได้กลับมาสักครั้ง หมู่โฮ่วมิทรงคิดถึงลูกบ้างหรอกหรือเพคะ?” 

 

 

แม้จะพูดออกไปเช่นนั้น แต่ว่าสายตาของนางกลับแอบสอดส่องดูซือเป่ย 

 

 

พี่ชายเทพสงครามในวันนี้ พอถอดชุดเกราะสีทองออกไป เปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่เป็นอีกแบบ ก็ดูแปลกตาไปมาก ดูคล้ายคุณชายในตระกูลสูงศักดิ์ ทำให้ผู้อื่นไม่อาจละสายตาไปได้ 

 

 

ซือเป่ยทำเหมือนมิได้สังเกตเห็นสายตาของนาง เพียงยิ้มบางๆ “เทียนโฮ่วย่อมทรงคิดถึงองค์หญิงอย่างยิ่ง พระวรกายของพระนางมิสู้ดี ตอนนี้ก็ทรงพระครรภ์อีกครั้ง ช่วงนี้กลับต้องมาทรงกังวลพระทัยเรื่องของเทียนตี้ องค์หญิงทรงกลับมาแล้ว ก็สมควรประทับอยู่สักหลายๆวัน เป็นเพื่อนเทียนโฮว่จึงจะดี” 

 

 

“พี่ชายเทพสงครามกล่าวถูกแล้ว!” ตี้หยูเอ๋อร์ดีใจขึ้นมาในทันที 

 

 

นางกระตุกแขนเสื้อของฮว๋ายยู่ “หมู่โฮ่ว ท่านอาจารย์เทียนจุนทราบเรื่องที่เกิดขึ้นในแดนสวรรค์ จึงอนุญาตให้ลูกได้หยุดพักเป็นพิเศษ ตอนนี้ลูกยังไม่จำเป็นต้องกลับไปหาท่านอาจารย์เทียนจุน” 

 

 

“ลูกอยากจะอยู่เป็นเพื่อนท่าน” 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น นางอยากจะอยู่ข้างกายพี่ชายเทพสงครามไปอีกสักหลายๆวัน 

 

 

อายุของนางมิใช่เด็กน้อยแล้ว ส่วนพี่ชายเทพสงครามก็ยังมิได้แต่งงานมีภรรยา เทพสงครามผู้นี้ แม้แต่อนุสักคนก็ยังไม่มี 

 

 

พี่ชายเทพสงครามรักษากายใจยิ่งนัก 

 

 

ระหว่างเขาและนางคนหนึ่งเป็นองค์หญิงของแดนสวรรค์ อีกคนคือเทพสงคราม บุรุษหล่อเหล่าสตรีโฉมสะคราญ ดูแล้วช่างเป็นคู่ครองที่เหมาะสมกันอย่างยิ่ง 

 

 

รอให้ฟู่หวังทรงได้พระสติฟื้นจากอาการบาดเจ็บ นางค่อยบอกความในใจกับฟู่หวัง ให้ฟู่หวังพระราชทานมงคลสมรสให้เขาเป็นราชบุตรเขยของนาง 

 

 

ฟู่หวังรทรงรักเอ็นดูนางที่สุดมาโดยตลอด จะต้องทรงประทานอนุญาตตามคำขอของนางอย่างแน่นอน 

 

 

ส่วนช่วงนี้ นางควรได้รั้งอยู่ในตำหนักเทพสงครามจะได้อาศัยความใกล้ชิดสร้างความผูกพันกับพี่ชายเทพสงคราม 

 

 

ในใจของตี้หยูเอ๋อร์มีแต่ความยินดี ดวงตาที่มองไปยังซือเป่ยเปี่ยมไปด้วยประกายวาววับ 

 

 

ตั้งแต่ตอนนั้น ที่นางได้ขึ้นมาบนแดนสวรรค์ ครั้งแรกที่ได้เห็นเขาก็หลงรักเขาเข้าแล้ว 

 

 

นอกจากฟู่หวังแล้ว เขาก็คือเทพบุตรที่หล่อเหลาที่สุด ทั้งยังเป็นเทพสงครามที่ปกครองไพร่พลถึงแสนนาย หากลองถามเหล่าสตรีในแดนสวรรค์ผู้ใดบ้างที่จะไม่ต้องตาต้องใจในตัวเขา? 

 

 

……………..