ภาคที่ 6 บทที่ 125 สันโดษ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 125 สันโดษ

มีโทเทมอยู่ทั้งหมด 9 ชิ้น ลม ไฟ น้ำ ดิน แสง สายฟ้า ความมืด จิต และโทเทมแห่งพลังชีวิต

ในหมู่นั้น ซูเฉินได้ลม สายฟ้า และพลังชีวิตมาแล้ว ทำให้สามารถทำความเข้าใจกฎแห่งพลังดังที่กล่าวมาได้

ที่เหลืออีก 6 ชิ้น ซูเฉินรู้เพียงว่าโทเทมไฟอยู่ในมือหยงเยี่ยหลิวกวง ทว่าหยงเยี่ยหลิวกวงไม่ได้มอบให้ตอนเปิดคลังสมบัติราชวงศ์ให้ดู ส่วนอีก 5 ชิ้นนั้นไม่มีใครรู้แน่ชัด

“เป็นโทเทมอะไร?” ซูเฉินถาม

“จิต” จูเซียนเหยาตอบ

นั่นปะไร!

โทเทมจิตอยู่ในมือเผ่าวิญญาณนี่เอง

มันไม่เหมือนกับโทเทมที่คนเถื่อนครอบครอง โทเทมจิตที่อยู่ในมือเผ่าวิญญาณนับว่ามีประโยชน์มหาศาล

วิชาจิตของเผ่าวิญญาณหลายวิชา เช่นวิชาบงการจิตธาตุ ก็ได้มาจากการตระหนักรู้ที่ก่อเกิดจากโทเทมนี้เช่นกัน

มันอยู่ในหอวิญญาณของเมืองแห่งความมืดมน คนเถื่อนไม่สนใจที่นั่น ทำให้นิกายได้ประโยชน์มากมายนัก

ซูเฉินมีความเข้าใจในกฎแห่งพลังจิตบ้างแล้ว ตอนนี้ได้โทเทมมา ย่อมทำให้เขายกระดับกฎแห่งพลังผนึกเซียนให้สูงขึ้นได้

“ส่งมันให้ข้า” ซูเฉินยื่นมือออกไป

จูเซียนเหยาจงใจเอ่ย “ไม่เอา เมื่อครู่เจ้าบอกไม่สนไม่ใช่หรือ?”

ซูเฉินรั้งร่างนางเข้ามากอด ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในเสื้อนาง

จูเซียนเหยาหน้าแดงในพลัน “ไม่ได้อยู่ในนั้น ก็บอกว่าไม่อยู่ไง! ข้างล่างมีตาไม่รู้กี่ตามองอยู่นะ”

“มองไม่เห็นหรอก” ซูเฉินหัวเราะ

เขาใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตา

ทั้งสองคนหยอกเย้ากันสักพัก ก่อนที่จูเซียนเหยาจะส่งโทเทมจิตให้ซูเฉิน

ทันทีที่สัมผัสโทเทม ความรู้สึกคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นในใจ

มันไม่เหมือนโทเทมวิญญาณสายลมและโทเทมวิญญาณสายฟ้าที่เขาได้มาตอนยังไม่อาจเข้าใจ แต่โทเทมจิตที่ได้มาในตอนนี้ แค่เพียงคิดก็ถูกดึงเข้าไปภายในโทเทม

เป็นไปดังคาด โทเทมชิ้นนี้เต็มไปด้วยกฎแห่งพลังจิต จิตซูเฉินล่องลอยเข้าไปภายใน มองดูพื้นที่รอบข้าง

เขามีความเข้าใจในกฎแห่งพลังจิตอยู่บ้างแล้ว เมื่อได้โทเทมนี้มา ความเข้าใจยิ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด

และเมื่อซูเฉินทำความเข้าใจมันได้ โทเทมจิตก็ค่อย ๆ สลายหายไป

ทันใดนั้นก็มีความคิดหนึ่งขึ้น เขานำหุ่นเชิดยักษ์ตัวหนึ่งออกมา ชี้นิ้วใส่มัน เกิดแสงจุดหนึ่งลอยเข้าไป แม้จะดูไม่เกิดอะไรขึ้น แต่แววตามันก็ฉายประกายอยู่ครู่หนึ่ง

จากนั้นมันก็คุกเข่าลง “ทำความเคารพนายท่าน”

“หือ? หุ่นเชิดพูดได้อย่างไรกัน?” จูเซียนเหยาแปลกใจนัก

แม้หุ่นเชิดยักษ์จะทรงพลังมาก แต่ก็ไร้สติปัญญา ไม่จำเป็นต้องพูดได้ ดังนั้นคนสร้างจึงไม่เคยสร้างความสามารถนี้ให้มัน อย่างไรสร้างไปก็เปล่าประโยชน์

แต่ในจังหวะนั้นหุ่นเชิดยักษ์กลับพูดได้

‘ผนึกเซียนทุกสรรพสิ่ง’

ผนึกเซียนสามารถเปลี่ยนสิ่งธรรมดาให้กลายเป็นเซียนได้ ย่อมสามารถมอบชีวิตให้สิ่งไม่มีชีวิตได้

แม้ว่าซูเฉินจะยังไม่เก่งกาจถึงขั้นนั้น แต่การมอบสติปัญญาให้หุ่นเชิดก็ไม่เกินความสามารถที่ทำได้

เมื่อซูเฉินเห็นว่าทำได้สำเร็จ ก็มีความสุขมาก รีบหยิบเอาหุ่นเชิดตัวอื่นออกมามอบสติปัญญาให้เช่นกัน

เป็นการมอบชีวิตให้ของแท้ หุ่นเชิดทั้งหลายกลายเป็นมีชีวิตขึ้นมา แต่ละตัวสามารถพูดได้ มีลักษณะนิสัยเป็นของตนเอง

นี่คือผลจากการดูดซับโทเทมจิตซึ่งเป็นหนึ่งในโทเทมที่แกร่งที่สุด ความสามารถในการมอบจิตวิญญาณให้กับสิ่งไร้ชีวิตเบ่งบานอยู่ภายในฝ่ามือซูเฉิน

“เผ่าวิญญาณถูกฆ่าล้าง แล้วจะมีเผ่าหุ่นเชิดขึ้นมาแทนงั้นหรือ?” หลี่ฉงซานเหน็บเข้าให้เมื่อเหินร่างผ่านมาเห็นหุ่นเชิดยืนพูดคุยกัน

ซูเฉินหัวเราะ “ไม่ขนาดนั้น แต่การมอบสติปัญญาให้สิ่งไร้ชีวิต อย่างน้อยก็คงทำให้มันแข็งแกร่งขึ้นได้บ้าง”

ข้อเสียที่ร้ายแรงที่สุดของหุ่นเชิดนั่นคือการที่มันไร้สติปัญญา ไม่สามารถปรับตัวได้ แม้จะมีพละกำลังมหาศาล แต่ปกติแล้วก็จะไม่ต่อสู้กับผู้ที่มีระดับพลังเช่นเดียวกับมัน

ตามทฤษฎี หุ่นเชิดยักษ์แข็งแกร่งเทียบเท่าด่านมหาราชัน แต่ปกติมักใช้หุ่นเชิดยักษ์สองตัวเพื่อจัดการด่านมหาราชันคนหนึ่ง นั่นก็เพราะขาดสัญชาตญาณและความชาญฉลาดในการต่อสู้นั่นเอง

หุ่นเชิดที่ซูเฉินสร้างขึ้นนั้นแตกต่าง พวกมันมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนมนุษย์ทั่วไป ยามต่อสู้ย่อมสามารถสร้างความประหลาดใจได้

“ไม่เลวเลย!” หลี่ฉงซานคลี่ยิ้ม “ดูท่าคงจะต้องให้หอสร้างสวรรค์เพิ่มอัตราการผลิตเสียหน่อยแล้ว”

หุ่นเชิดไม่เกรงกลัวความตาย เป็นทหารเดนตายที่ดีมาก แต่มีความยืดหยุ่นต่ำ ทำให้ไม่สามารถส่งพวกมันออกไปทำภารกิจตัวเดียวได้ แต่ตอนนี้คงสามารถส่งพวกมันไปทำภารกิจอันตรายได้บ้างแล้ว

หากนิกายไร้ขอบเขตส่งหุ่นเชิดกลุ่มใหญ่ออกไปทำภารกิจ ก็ไม่ต้องใช้มนุษย์เลยสักคน และหุ่นเชิดยังรู้จักเก็บค่าเช่าได้ คงเป็นเรื่องน่าทึ่งไม่ใช่น้อย

ต้นทุนจะลดลงมาก อัตราสำเร็จจะเพิ่มขึ้นสูง

ซูเฉินหัวเราะ “เช่นนั้นได้ก็ดียิ่ง”

กฎแห่งพลังผนึกเซียนของเขายิ่งใช้ยิ่งพัฒนา แม้ทำเช่นนี้จะดูเหมือนการที่เจ้านิกายลงมาทำงานใช้แรงในนิกายเอง แต่ถึงตอนนี้เขาก็ไม่สนใจแล้ว

“จะว่าไป วิชานี่มันคืออะไรกันแน่?” หลี่ฉงซานถาม

ซูเฉินไม่ได้บอกเรื่องกฎแห่งพลังผนึกเซียนให้เขาฟัง บอกเพียงว่าได้วิชานี้มาหลังจากมั่วเนี่ยลาซือใช้เครื่องมือสกัดจิตกับอีกฝ่ายเท่านั้น

ความแตกต่างระหว่างผนึกเซียนและวิชาจิตธรรมดาทั่วไปนั้น ต่างกันราวยามกลางวันกับกลางคืน แม้วิชาในขั้นแรกจะเหมือนกันก็ตาม แต่กระนั้นหลี่ฉงซานได้ยินก็ยังรู้สึกอิจฉามากอยู่ดี

“แล้วเจ้ายังสามารถหาวิธีทะลวงด่านมหาราชันได้อีก… ความเร็วเช่นนี้ตามทันได้ยากนัก!” หลี่ฉงซานถอนใจ

ในอดีต ซูเฉินต้องใช้พละกำลังและระยะเวลานานมาก ในการหาวิธีทะลวงพลังสู่ด่านสู่พิสดาร แต่ตอนนี้ภายในชั่วระยะเวลาไม่กี่ปี เขากลับสามารถทะลวงสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน และกระโดดไปด่านมหาราชันได้แล้ว คงได้แต่กล่าวว่าการเตรียมตัวทั้งหลายในอดีตคงติดดอกออกผลแล้ว

เหล่าศิษย์เบื้องล่างยังคงขนสมบัติออกมา

ซูเฉินวาดมือ กองทัพหุ่นเชิดจึงลงไปช่วยงานเช่นกัน

เผ่าวิญญาณมีสมบัติพัสถานมากมายพอสมควร ตอนนี้ถูกโค่นทำลายลง สมบัติทั้งหลายจึงตกไปอยู่ในมือของผู้ชนะ

โดยเฉพาะตำราลับ บันทึกการทดลองทั้งหลายในหอตำรา ของเหล่านี้มีมากมายไม่หมดไม่สิ้น คนเถื่อนไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ แต่ซูเฉินยินดีเหลือเกินที่ของเหล่านี้นิกายไร้ขอบเขตได้ไปเอง

ในตอนนี้ สถานที่ที่น่าประทับใจที่สุดในนิกายไม่ใช่ยอดเขาต้นธารที่มีหญ้าต้นน้ำและน้ำค้างพรายจันทร์ หรือยอดเขาโอสถศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป แต่เป็นหอตำราแห่งนิกายไร้ขอบเขตต่างหาก

ชายหนุ่มใช้ยอดเขาทั้งยอดเพื่อสร้างหอตำราขึ้นมา

หนังสือและตำราทั้งหลายมาจากทั่วทั้งทวีป รวมถึงที่เขาได้มาจากซากโบราณลุ่มน้ำทองด้วย มีทั้งจากคลังสมบัติจักรพรรดิอสูรกาย และจากเมืองหลวงของเผ่าปักษา ตอนนี้มีบันทึกเผ่าวิญญาณเข้ามาเสริม มีหอตำราแห่งเดียวไม่พออีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงใช้ร่างแยกนั่งอ่านตำราหลากหลายเล่ม ครั้งหนึ่งอ่านได้ทีละเป็น 10 เล่ม จากนั้นใช้สมองผลึกแก้วกลั่นกรองข้อมูลออกมา นับเป็นวิธีเดียวที่เขาจะสามารถอ่านตำราทั้งหมดได้

จะอ่านตำราทั้งหมดได้นั้น ซูเฉินต้องใช้เวลาพอสมควรเลยทีเดียว

แต่เขาก็ยินดี

ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าความเข้าใจในกฎแห่งพลัง… มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับความรู้ที่ตัวเองเคยมีอยู่ก่อนหน้า

กฎแห่งพลัง มองบางมุมก็คือหลักธรรมชาติที่คอยควบคุมทุกสิ่งอย่างนั่นเอง

เชี่ยวชาญกฎแห่งพลังก็จะทำให้สามารถนำหลักการที่ควบคุมทุกสิ่งอย่างเปลี่ยนให้กลายมาเป็นพลังได้

ดังนั้นคำกล่าวที่ว่า ‘ความรู้คือพลัง’ ไม่ใช่เพียงลมปากเปล่าประโยชน์ แต่น่าเสียดายที่น้อยคนนักจะรู้ค่า

เมื่อเขาเข้าใจจุดนี้แล้ว ความลับทั้งหลายในใต้หล้าก็ราวกับคลี่คลายออกสู่สายตาของซูเฉิน

ซูเฉินในตอนนี้ราวกับก้าวเข้าสู่โลกใบใหม่ ความไม่รู้ไม่ใช่ความไม่รู้อีกต่อไป พลังไร้ขีดจำกัดและความร่ำรวยมหาศาลกำลังรอให้เขาไปค้นหาอยู่

การค้นเมืองแห่งความมืดมนใช้เวลาไปทั้งวัน นิกายไร้ขอบเขตช่วงชิงเอาเท่าที่ได้ ได้สมบัติมามากมาย แต่ของเรานั้นไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงเท่าไหร่

อย่างไรก็ตาม นิกายไร้ขอบเขตกลับพบขุมทรัพย์เข้าในครั้งนี้

คนเถื่อนเองก็พอใจในส่วนของตนแล้วเช่นกัน

ทั้งมนุษย์และคนเถื่อนรักษาความสงบได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ไม่มีใครทะเลาะเบาะแว้งกัน นับเป็นความผิดปกติในประวัติศาสตร์ของสองเผ่าพันธุ์เลยทีเดียว

ไม่นานหลังจากนั้น ตานปาก็ออกคำสั่งให้ล่าถอย ปล่อยเมืองแห่งความมืดมนไว้ให้ซูเฉิน

อย่างไรในเมืองแห่งความมืดมนยังต้องมีสมบัติลับซุกซ่อนอยู่อีกแน่ ทั้งยังป่าหอคอยที่สร้างขึ้นจากวัสดุล้ำค่านั่นอีก ทำลายมันทิ้งต้องได้วัสดุมาไม่มากก็น้อย แต่ตานปาไม่สนใจทำเช่นนั้น

โลภมากเกินไปสุดท้ายจะถึงจุดจบ

ดังนั้นซูเฉินจึงไม่รอช้า ออกคำสั่งลงมา ทำลายทั้งเมืองเสียให้สิ้น!

อาคารบ้านเรือนของเผ่าวิญญาณมีมูลค่าไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่สามารถทำลายและหลอมให้กลายเป็นของอีกอย่างหนึ่งได้ ซูเฉินเองก็ลงมือในการทำลายล้างครั้งนี้ด้วย

การทำลายทั้งเมืองใช้เวลาถึง 3 วัน

ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตทำงานกันด้วยความสามัคคี ทำลายเมืองสิ้น สุดท้ายทั้งเมืองก็ราบเป็นหน้ากลอง นอกจากกำแพงเมืองที่ถูกทำลายไปกว่าครึ่ง ก็ไม่เหลือของมีค่าอะไรอยู่อีก

เมืองหลวงน่าเกรงขามที่เคยตั้งอยู่มาเกือบ 20,000 ปี กลับถูกทำลายลงภายในช่วงระยะเวลาไม่กี่วัน จากนี้ต่อไปก็คงหลงเหลืออยู่เพียงในหน้าประวัติศาสตร์เท่านั้น

หลังจากลองค้นทั่วทั้งเมืองอีกครั้งหนึ่งแล้ว ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตจึงถอยออกมากลับสู่หลงซาง

สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือ ใช้เวลาใคร่ครวญกับของที่ได้มาจากภารกิจครั้งนี้

ทรัพยากรจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อเปลี่ยนเป็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงได้เท่านั้น ทั้งซูเฉินและศิษย์นิกายจำต้องใช้เวลาใช้ประโยชน์จากของเหล่านี้และทำให้ตนแข็งแกร่งขึ้น

เหล่าศิษย์ทำการฝึกฝนต่อไป ส่วนซูเฉินก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ เช่นกัน

เขาจำเป็นต้องใช้ร่างแยกนั่งอ่านตำราและบันทึกที่เขาสะสมมา

เขาต้องทำความเข้าใจกฎแห่งพลังให้ลึกซึ้งมากขึ้นกว่านี้ ยกระดับกฎแห่งพลังผนึกเซียนขึ้นให้ได้

เขาต้องมอบชีวิตให้กับสิ่งมีชีวิตต่อไปเพื่อทำให้เขาหมื่นดาบแข็งแกร่งขึ้นกว่าเก่า

เขาต้องหาเวลาอยู่กับกู่ชิงลั่วและจูเซียนเหยา

เขายังต้องฝึกฝน และหาทางทะลวงสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินกับด่านมหาราชันให้สมบูรณ์มากกว่าเดิมให้ได้

แล้วยังต้องทำการค้นคว้าว่ามีด่านที่สูงกว่าด่านมหาราชันอีกหรือไม่

ยังมีความเป็นไปได้ที่จะมีการค้นพบใหม่อยู่เสมอ

ในเมื่อมนุษย์ค้นพบด่านพลังเพิ่มขึ้นอีก 3 ด่านเมื่อครั้งด่านสู่พิสดารยังเป็นขั้นสุด ก็เป็นไปได้ไม่ใช่หรือว่ายังมีด่านที่เหนือกว่าด่านมหาราชันอยู่อีก?

อย่างไรเขาก็คุ้นเคยกับการเดินไปยังเส้นทางที่ไม่เคยมีใครเดินมาก่อนอยู่แล้ว

ด่านพลังทั้งเจ็ดด่านของมนุษย์ ที่ก่อนหน้านี้จำเป็นต้องมีสายเลือดในการทะลวง ตอนนี้ไม่ว่าใครก็สามารถทะลวงได้ จะมีใครรู้ได้ว่าต่อไปอาจจะมีด่านพลังที่แปด เก้า หรือสิบก็เป็นได้

เมื่อมีความทะเยอทะยานขับเคลื่อนเช่นนี้ ซูเฉินจึงค้นคว้าวิจัยและทดลองไม่หยุดหย่อน จากนั้นก็ค่อย ๆ คุ้นชินกับกิจวัตรประจำวันเช่นนี้ไป

หลังจากนิกายไร้ขอบเขตกวาดล้างเผ่าวิญญาณไปได้ ก็ไม่มีใครกล้ามายุ่มย่ามอีก

อาศัยอยู่บนภูเขา ลืมวันเวลาง่ายดายยิ่งนัก

พริบตาเดียวเวลา 10 ปีก็ผ่านไปแล้ว…