ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 1 สรวงสวรรค์

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

ภาค 7 ศึกสุดท้าย

บทที่ 1 สรวงสวรรค์

ท้องฟ้าเบื้องบนเขาหมื่นดาบนั้นกระจ่างใสและงดงามเสมอมา

‘เสมอมา’ ที่หมายถึงเสมอมาจริง ๆ หากไร้ซึ่งคำอนุญาตจากเขาหมื่นดาบแล้ว ฝนแม้เพียงหยดก็จะไม่มีวันร่วงหล่นลงมา

และหากเขาหมื่นดาบต้องการฝน ท้องฟ้าก็ไม่อาจกักเก็บไว้ได้แม้แต่หยดเดียว

ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตจะสร้างก้อนเมฆขึ้นบนท้องฟ้าเหนือภูเขาได้โดยตรงตามที่ต้องการ แล้วจึงกวาดต้อนพวกมันขึ้นไปยังตำแหน่งพึงปรารถนา เหนือบริเวณที่พายุจะกระหน่ำลงมานั่นเอง

ศิษย์เหล่านี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อศิษย์ต้อนเมฆ

“เล่อชิ่ง! เอาก้อนเมฆของเจ้ามาที่นี่สักหน่อยซิ พวกเราต้องการน้ำ!” บนท้องฟ้าศิษย์คนหนึ่งผู้สวมเสื้อคลุมสีขาวกำลังลอยอยู่บนเมฆสามก้อนส่งเสียงเรียกศิษย์อีกคนหนึ่ง จากท่าทางแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาอยู่ในด่านสู่พิสดารแต่แม้จะมีการฝึกฝนขั้นสูง เขาก็ยังเป็นเพียงศิษย์สำนักฝ่ายนอกเท่านั้น

และเขาไม่ใช่แค่เพียงหนึ่งเดียว

ห่างไกลออกไปมีศิษย์นิกายไร้ขอบเขตวัยเยาว์อีกคนหนึ่งลอยอยู่เหนืออีกหนึ่งกลุ่มก้อนเมฆ ศิษย์คนนั้นถือแส้สีแดงเส้นยาวไว้ในมือขณะที่ขี่หมู่เมฆไปในท้องฟ้า จังหวะที่ก้อนเมฆเคลื่อนไปตามความประสงค์ของเจ้าตัวนั้น พวกมันก็เริ่มกลั่นฝนสาดกระหน่ำลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง

ผู้ฝึกตนที่มีหน้าที่รับผิดชอบกวาดต้อนกลุ่มก้อนเมฆเข้าด้วยกัน คือผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารผู้สร้างแท่นบงกช 4 แท่น ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้มีตำแหน่งทรงอำนาจอย่างแท้จริงในนิกายไร้ขอบเขต

“กำลังไป!” นักต้อนเมฆนามเล่อชิ่งควบคุมก้อนเมฆหลายสิบก้อนให้มุ่งหน้าไปทางของผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ เพื่อรวมก้อนเมฆเข้าด้วยกัน แล้วตะโกนขึ้นในเวลาที่เหมาะเจาะพอดี “ขึ้น!”

ก้อนเมฆทั้งหมดเริ่มปลดปล่อยหยาดฝนอย่างต่อเนื่อง

ห่าฝนตกลงบนยอดเขาหมื่นดาบอย่างแม่นเหมาะ สายฝนนี้ไม่ใช่เพียงแค่ฝนธรรมดา มันเปี่ยมไปด้วยพลังต้นกำเนิด และนักต้อนเมฆยังผสมยาพิเศษเข้าไปอีกด้วย ไม่ว่าหยาดฝนจะตกลงไปที่ใด พวกมันจะอาบรดพื้นดินอย่างสมบูรณ์แบบ นำมาซึ่งพืชพรรณอุดมสมบูรณ์ ดอกไม้ สมุนไพร และพืชชนิดพิเศษที่โตขึ้นในบริเวณนี้ของภูเขาก็จะได้รับการบำรุงรักษาและเจริญเติบโตได้ดีขึ้นไปด้วย

มนุษย์ส่วนมากได้รับทรัพยากรในการฝึกฝนของตัวเองมาด้วยการฉกฉวยจากผู้อื่น แต่นิกายไร้ขอบเขตได้พัฒนาระบบที่ทำให้พวกตนสามารถเพาะปลูก และจัดหาทรัพยากรทั้งหมดด้วยตนเองได้ ณ จุดนี้ พื้นฐานเบื้องต้นของระบบนี้ได้ถูกพัฒนาจนสมบูรณ์แล้ว ทำให้นิกายไร้ขอบเขตสามารถขยับขยายต่อไปได้

“ฝนตกมาได้ 3 นับแล้ว! หยุด!” เล่อชิ่งตะเบ็งเสียงขณะที่กำลังวัดปริมาณของฝนที่ตกลงมาอย่างแม่นยำ เมื่อโบกมือ หมู่เมฆก็ระเหยจากไปอย่างช้า ๆ

“ช่างน่าสงสาร” ศิษย์อีกคนหนึ่งถอนหายใจ นามว่าจินฝาน

“มีอะไรให้น่าสงสารหรือ?” เล่อชิ่งถามด้วยความงงงวย

“ยาในก้อนเมฆหายไปก่อนที่พวกเราจะใช้หมดตลอดเลย” จินฝานตอบ

เล่อชิ่งหัวเราะ “พวกมันคือส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เดี๋ยวก็ก่อตัวขึ้นใหม่และกลับมาในอีกไม่นาน”

“อาจจะไม่หรอก ทวีปนี้ใหญ่มาก และคงไม่น่าตกใจนัก หากมากกว่าครึ่งของสายฝนนี้จะตกลงไปที่อื่น” จินฝานตอบอย่างสลดใจ

เล่อชิ่งขำเบา ๆ “แล้วอย่างไรเล่า? เจ้าจะเห็นแก่ตัวขนาดนั้นเพื่อยาเพียงเล็กน้อยเลยหรือ?”

จินฝานขยี้หัว “ข้ามาจากครอบครัวที่ยากจน กระทั่งหมั่นโถวก็ยังต้องแบ่งให้ดีก่อนถึงจะกินได้ ข้าไม่อาจทนเห็นสิ่งใดเสียไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ ได้ ถ้าเราเสียบางส่วนไปวันนี้และก็เสียบางส่วนอีกในวันพรุ่ง สุดท้ายเราก็จะสูญเสียมันไปเป็นปริมาณมาก”

“ก็จริง แต่พวกเราทำอะไรไม่ได้หรอก เขาหมื่นดาบไม่ได้แยกออกจากส่วนที่เหลือของโลกเสียหน่อย” เล่อชิ่งตอบ “ทางออกเดียวที่เป็นไปได้คือสร้างช่องว่างที่แยกออกไป ตั้งระยะของทั้งภูเขาไว้ข้างใน และยอมให้พลังต้นกำเนิดเข้ามาเท่านั้น ไม่ใช่ออกไป”

ดวงตาของจินฝานเปล่งประกายเมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น “นั่นเป็นไปได้หรือ?”

เล่อชิ่งส่ายหัว “ไม่ นั่นยากเกินไป การสร้างถ้ำหรือปราการขึ้นอีกแห่งนั้นยากไม่ต่างไปจากการสร้างแดนใหม่ขึ้นมาทั้งแดน กระทั่งผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชันก็ไม่อาจทำได้”

จินฝานเลื่อมใสในเจ้านิกายของพวกเขาอย่างถึงที่สุด “แล้วเจ้านิกายสามารถทำได้หรือไม่?”

“เจ้านิกายหรือ?” ใจจริงแล้วเล่อชิ่งต้องการจะบอกว่าแม้แต่เจ้านิกายก็ทำได้ยากลำบากเช่นกัน การที่จะทำเช่นนั้นได้ ความหยั่งรู้ในกฎแห่งพลังสูญจำเป็นจะต้องลึกซึ้งเป็นอย่างมาก ทว่าความคิดดังกล่าวนั้นเป็นได้เพียงความปรารถนาเท่านั้น เพราะความเคารพอย่างสูงของตนที่มีต่อซูเฉิน ทำให้ไม่อาจพูดความคิดที่เสมือนดูหมิ่นเช่นนั้นออกมาได้

ทันใดนั้นเองเสียงระเบิดลั่นก็ดังสนั่นออกมาข้างหน้า

ทั้งสองหันไปด้วยความตกใจ แล้วก็พบว่ารูขนาดใหญ่ได้ปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้าอย่างลึกลับ

รูนั้นมีสีดำสนิทไม่อาจมองเห็นข้างในได้แม้แต่น้อย ดูราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ยักษ์ที่เปิดปากออกกว้าง …นี่คือความน่าขนลุกของความมืดมิดเบื้องบนฟ้า

แม้มันจะมีขนาดใหญ่โตมโหฬารอยู่แล้ว แต่รูนี้ก็ยังคงขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง ประหนึ่งว่าจะกลืนกินทั้งโลกลงไป ไม่นานนัก มันก็ล้อมครอบเขาหมื่นดาบไว้อย่างสมบูรณ์

สิ่งนี้ทำให้ศิษย์ทั้งสองหวาดกลัวอย่างหนัก

เกิดอะไรขึ้นน่ะ?

มีปีศาจน่าสะพรึงกลัวทำลายเกราะป้องกันระหว่างแดนแล้วบุกเข้ามาในแดนของพวกเขาหรือไงกัน?

ในตอนนั้นเองความเป็นไปได้นับไม่ถ้วนแล่นเข้ามาในจินตนาการของสองศิษย์

เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่ไม่ใช่ตัวละครหลักของเรื่องนี้ เพราะการเคลื่อนไหวแรกของ ‘ปีศาจ’ คือการเข้ากลืนกินทั้งโลกรอบตัวพวกเขาในทันที

…แม้กระทั่งนักต้อนเมฆผู้บริสุทธิ์สองคนนี้ก็ไม่ได้รับการยกเว้น

“อ๊าก!!!”

ทั้งสองต่างแหกปากร้องด้วยความสิ้นหวัง แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น พวกเขารู้สึกว่าโลกโดยรอบกำลังหมุนอย่างบ้าคลั่งขณะที่คลื่นความวิงเวียนถาโถมเข้ามา

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกวิงเวียนเพียงไร ความตายก็ยังมาไม่ถึง จินฝานกับเล่อชิ่งตะเกียกตะกายอยู่กลางอากาศนับครั้งไม่ถ้วนก่อนที่จะหยุดนิ่งลงในที่สุด ตอนนั้นเองที่พวกเขานึกขึ้นได้ว่าพวกตนนั้นปลอดภัยดี กระทั่งพลังต้นกำเนิดของตัวเองก็ยังคงไหลเวียนอย่างปกติ เสมือนว่าไม่มีสิ่งน่าหวาดกลัวเกิดขึ้นแม้แต่น้อย

หลังจากที่นักต้อนเมฆทั้งสองบรรเทาความตกใจ ก็พบว่าภูเขาและแม่น้ำที่คุ้นเคยก็ยังคงอยู่ดีโดยรอบ แต่หลังจากภูเขาและแม่น้ำไปนั้น ทุกสิ่งก็พร่ามัวไป

เล่อชิ่งและจินฝานพยายามที่จะเปิดเกราะป้องกันออก รู้สึกนุ่มยามสัมผัสแต่ก็แข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด แม้จะใช้พละกำลังทั้งหมด พวกเขาก็ไม่อาจเปิดมันออกได้ ทั้งสองกระทั่งพยายามใช้เครื่องมือต้นกำเนิดเพื่อฝ่าออกไป แต่ไม่ว่าจะโจมตีเท่าไรก็สร้างไม่ได้แม้แต่รอยขีดข่วน

“จบสิ้นแล้ว! พวกเราจะถูกขังอยู่ที่นี่ตลอดไป!”

เล่อชิ่งและจินฝานรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวังที่แทรกเข้ามาในจิตใจ

“นี่ พวกเจ้าทั้งสองเป็นอะไรหรือไม่?” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลังในทันใด

ทั้งสองหันไปด้วยความประหลาดใจ และพบเข้ากับซูเฉินที่กำลังหัวเราะใส่

“เจ้านิกาย!” ทั้งสองร้องลั่นด้วยความดีใจ

“เจ้านิกาย ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่? หรือว่า…” จินฝานเอ่ยก่อนที่จะนึกบางสิ่งขึ้นได้และปิดปากเงียบไปในทันที

“อะไร? เจ้าคิดว่าปีศาจต่างแดนโจมตีพวกเราหรือไง?” ซูเฉินหัวเราะร่วน

ทั้งสองก้มหน้าด้วยความอับอาย

ทั้งคู่เริ่มเข้าใจว่าแท้จริงแล้วเกิดสิ่งใดขึ้นในที่สุด

เล่อชิ่งตรวจสอบสิ่งแวดล้อมรอบข้าง และค้นพบว่าพลังต้นกำเนิดในพื้นที่แห่งนี้นั้นหนาแน่นอย่างน่าเหลือเชื่อในทันที ที่จริงแล้วมันกำลังไหลเวียนอย่างปกติและไม่ได้หยุดนิ่ง พูดอีกอย่างคือ แดนนี้ยังคงเชื่อมต่อกับโลกภายนอก แม้จะไม่อาจรู้เรื่องนั้นได้จากตำแหน่งของพวกเขาก็ตาม

“อุโมงค์ที่นำไปสู่อีกโลกหนึ่ง…” เล่อชิ่งพึมพำด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “เจ้านิกาย ท่านทำมันได้จริง ๆ! ท่านเปิดช่องว่างแยกออก! ท่านทำเพื่อให้กักตุนยาโบราณมูลค่าสูงได้ดียิ่งขึ้นอย่างนั้นหรือ?”

ซูเฉินหัวเราะ “เจ้าจะต้องฉลาดแน่ ๆ ถึงเดาได้ถูกเผง”

ชายหนุ่มไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบทสนทนาก่อนหน้านี้ ที่จริงแล้ว คงจะเป็นเรื่องธรรมดาหากเขาสามารถคาดเดาได้ทันทีว่าเกิดสิ่งใดขึ้น

แต่การเลือกคำพูดของเล่อชิ่งก็ทำให้เขาหยุดไป หลังจากที่พึมพำกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้าและเอ่ยขึ้น “ชื่อ ‘ช่องว่างแยก’ ดูจืดชืดไปหน่อย สิ่งที่เจ้าพูดให้แรงบันดาลใจแก่ข้า ทำไมเราไม่เรียกที่แห่งนี้ว่าต้นกำเนิดสรวงสวรรค์ล่ะ?”

“ต้นกำเนิดสรวงสวรรค์!” ทั้งสองตื่นอกตื่นใจขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน “เป็นชื่อที่ดียิ่งนัก!”

ซูเฉินกล่าวอย่างแผ่วเบา “นี่คือสรวงสวรรค์แห่งแรกของนิกายไร้ขอบเขต เราจึงควรตั้งชื่อมันว่าต้นกำเนิดด้วย แต่มันจะไม่เป็นแห่งสุดท้าย บางทีในอนาคต เจ้าแต่ละคนจะมีสรวงสวรรค์เล็ก ๆ เป็นของตนเอง แม้ว่ามันอาจจะเล็กกว่าที่นี่ มันก็คงจะเหมาะสมให้พวกเจ้าตั้งถิ่นฐานได้เป็นอย่างดี”

“จริงหรือขอรับ?” ทั้งสองต่างตื่นเต้นดีใจด้วยโอกาสครั้งนี้ “เป็นไปได้จริง ๆ หรือที่ศิษย์ทุกคนจะได้ครอบครองมัน?”

“ไม่ใช่ตอนนี้ แต่ในอนาคต… แล้วใครเป็นคนตัดสินว่าอะไรเป็นไปได้กันล่ะ?” หลังจากที่ซูเฉินพูดจบ เขาก็โบกแขนเสื้อทั้งสองข้างซึ่งพาศิษย์ทั้งสองคนออกไปจากต้นกำเนิดสรวงสวรรค์

เมื่อกลับมายังโลกหลัก ศิษย์ทั้งสองก็พบว่าช่องว่างอันมืดมิดขนาดยักษ์บนท้องฟ้าได้หายไปแล้ว เช่นเดียวกันกับชิ้นส่วนขนาดใหญ่ของเขาหมื่นดาบและบริเวณโดยรอบยอดเขา

ดูราวกับว่าใครบางคนได้ตัดแบ่งชิ้นส่วนขนาดยักษ์ของภูเขาออกไป ทำให้เขาหมื่นดาบดูจะเป็นเขาร้อยดาบเสียมากกว่า

แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่ได้รบกวนศิษย์นิกายไร้ขอบเขตแต่อย่างใด

ห่างไกลออกไป ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตจำนวนมากยิ่งกว่าเดิมบินเข้ามาอย่างช้า ๆ พร้อมกับลากภูเขาลูกอื่น ๆ ตามหลังมาด้วย

พวกเขากำลังเคลื่อนย้ายภูเขา!

หลังจากที่กวาดต้อนก้อนเมฆโดยรอบมา นิกายไร้ขอบเขตก็ทำเช่นเดียวกันกับภูเขาของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังวางแผนโยกย้ายภูเขาในบริเวณใกล้เคียงทั้งหมด เข้ามาแทนที่ช่องว่างที่ถูกสร้างขึ้น

แม้ว่านี่จะเป็นการทดลองครั้งยิ่งใหญ่ แต่มันก็ไม่ได้ทำลายล้างมากเท่าการปรับปรุงภูมิประเทศใกล้เคียง กระทั่งผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชันก็ทำสิ่งนี้ได้อย่างยากลำบากทีเดียว

แต่นิกายไร้ขอบเขตก็นำมันมาสู่ความเป็นจริงได้

นี่เป็นเพราะผู้ฝึกตนหลักของนิกายไร้ขอบเขตไม่ได้อยู่ในด่านสู่พิสดารอีกต่อไป แต่เป็นด่านผลาญจิตวิญญาณต่างหาก

ผู้ฝึกตนเหล่านี้ล้วนมีคุณสมบัติที่จะชี้นำตระกูลเล็ก ๆ หรือเป็นแม่ทัพในกองทัพราชวงศ์ได้ แต่ที่นี่พวกเขาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งหลักของนิกายเท่านั้น แท้จริงแล้ว ความแข็งแกร่งของนิกายไร้ขอบเขตนั้นน่าตกตะลึงเป็นอย่างมาก

เมื่อผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณหลายหมื่นคนผสานพลังของพวกเขาเข้าด้วยกัน การเคลื่อนย้ายภูเขาก็ไม่ใช่งานที่ไม่อาจพิชิตได้อีกต่อไป

ยอดเขามากมายถูกโยกย้ายมายังเขาหมื่นดาบอย่างมั่นคง แล้วจึงถูกดัดแปลงและจัดแจงใหม่

และในช่องว่างที่ยังคงถูกซ่อนไว้ มีสรวงสวรรค์ที่เป็นของนิกายไร้ขอบเขตแต่เพียงผู้เดียวรอคอยอยู่

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พื้นที่สร้างทรัพยากรของนิกายไร้ขอบเขตจะตั้งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นไปอีก ในขณะเดียวกัน มันจะได้รับการบำรุงรักษาที่ดีกว่าเดิมด้วยพลังต้นกำเนิดที่หนาแน่นยิ่งขึ้น ทำให้พืชและสมุนไพรที่นั่นสามารถเติบโตและเบ่งบานได้อย่างอุดมสมบูรณ์

ที่จริงแล้ว การสร้างต้นกำเนิดสรวงสวรรค์ขึ้นนั้นเป็นเหตุการณ์สำคัญ แต่มันเป็นเพียงขั้นแรกในแผนการครั้งยิ่งใหญ่ของซูเฉินเท่านั้น

หลังจากที่จัดการกับเรื่องนี้แล้ว ซูเฉินก็จากไปอย่างรวดเร็ว

ขณะที่จินฝานมองดูซูเฉินจากไป เขาก็ทนไม่ไหวและถามออกมา “พี่ชายเล่อ เจ้าคิดว่าสักวันหนึ่งเจ้านิกายจะสร้างสรวงสวรรค์ให้แก่พวกเราทุกคนได้จริง ๆ ไหม?”

“ใครจะรู้” เล่อชิ่งตอบเนิบ ๆ “การสร้างสรวงสวรรค์นั้นเกี่ยวโยงกับกฎแห่งพลังสูญ และด้วยระดับพลังของพวกเราแล้ว มันคงจะเป็นไปไม่ได้ แต่…”

“แต่ถ้ามีเจ้านิกายอยู่ที่นี่ มันอาจไม่เกินความเป็นไปได้” จินฝานกล่าวอย่างมีความหวัง

“เจ้าศรัทธาในตัวเขามากสินะ”

“แน่นอน ลองคิดดูสิ ในอดีต คำว่า ‘ด่านสู่พิสดาร’ เป็นที่นับถือและสูงส่งยิ่งนัก หากเจ้าไปถึงด่านสู่พิสดาร เจ้าก็แข็งแกร่งพอที่จะควบคุมทั้งเมืองได้ แต่ตอนนี้ล่ะ? ผู้ฝึกตนแปลกหน้าบนถนนก็สามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารได้แต่ก่อนหน้านั้น มันต้องใช้อย่างน้อยถึง 30 – 40 ปีเพื่อให้ไปถึงจุดนั้นได้ และสายเลือดก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างถึงที่สุดในการจะทำเช่นนั้น แต่ตอนนี้ด้วยวิชาการฝึกสู่อมตะ มันใช้เวลาเพียงราว ๆ 10 ปี เท่านั้น ในการไปถึงยังระดับเดียวกัน นานมาแล้ว ด่านสู่พิสดารเคยถูกพิจารณาเป็นขีดจำกัดสูงสุดที่เป็นไปได้ของเผ่าพันธุ์มนุษย์เสียด้วยซ้ำ แต่ขีดจำกัดนั้นก็ถูกเลื่อนขึ้นเป็นด่านมหาราชันในเวลาต่อมา หากด่านสู่พิสดารสามารถไปถึงได้ง่ายแล้วในตอนนี้ ใครจะบอกได้ว่าสิ่งเดียวกันนั้นจะไม่เกิดขึ้นกับด่านมหาราชันในเวลาต่อมาล่ะ?”

เล่อชิ่งตกตะลึง “เจ้ากำลังบอกว่า…”

จินฝานยังคงชี้แจงมุมมองของเขาต่อไป “เจ้านิกายบอกว่าไม่ใช่ทุกสรวงสวรรค์จะมีขนาดใหญ่เท่าต้นกำเนิดสรวงสวรรค์นี่ บางทีเราอาจไม่จำเป็นต้องมีความหยั่งรู้ลึกซึ้งในกฎแห่งพลังสูญในการสร้างสรวงสวรรค์เล็ก ๆ ขึ้นมาก็ได้ บางทีความเข้าใจพิเศษก็คงเพียงพอแล้ว หรือบางทีเจ้านิกายอาจมอบวิชาบ่มเพาะพิเศษที่เจ้าตัวพัฒนาขึ้นจากความเข้าใจในกฎแห่งพลังสูญของเขาก็ได้ ในตอนนั้นเราอาจไม่จำเป็นต้องอยู่ในด่านมหาราชันอีกต่อไปแล้ว…”

เมื่อเล่อชิ่งได้ยินการคาดคะเนก็ตกตะลึง

หากกระบวนการทะลวงด่านง่ายขึ้นและกฎแห่งพลังอันลึกซึ้งเหล่านั้นถูกทำความเข้าใจและมีเอกสารข้อมูลสนับสนุนมากขึ้น สิ่งที่เจ้านิกายของพวกเขาพูดไว้ก็อาจเป็นไปได้

แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น เจ้านิกายของพวกเขาคือซูเฉิน

ซูเฉินผู้ยิ่งกว่าคุ้นเคยกับการแสดงปาฏิหาริย์!

บางสิ่งที่หายากในทุกวันนี้อาจไม่ได้หายากอีกต่อไปในวันพรุ่งนี้

ข้อแตกต่างเดียวคือ ในอดีต ซูเฉินมักจะไล่คนอื่น ๆ ออกจากงานเสมอ แต่ในตอนนี้เขากำลังทำแบบนั้นกับตัวเองด้วยเช่นกัน