บทที่ 2 สถานการณ์
ซูเฉินเพึ่งจะมาถึงยอดเขาเทียมสวรรค์เมื่อหลี่ฉงซาน หลินเฉ่าเซวียน รวมทั้งคนอื่น ๆ บินเข้ามาและกล่าว “ยินดีด้วย เจ้านิกาย! ท่านเปิดจักรวาลออกและสร้างสรวงสวรรค์ขึ้นสำเร็จแล้ว!”
ซูเฉินหัวเราะ “เอาล่ะ ไม่จำเป็นต้องเยินยอข้าเช่นนี้ แล้วอาจารย์อยู่ที่ไหนล่ะ?”
“กำลังเล่นอยู่กับเสี่ยวเจี้ยนจู” เฉิงเถียนไห่ตอบ
เสี่ยวเจี้ยนจูคือลูกชายของฉือไคฮวง สามปีหลังจากที่เขากลับมาจากถ้ำว่านไหล ฉู่อิงหว่านก็ตั้งท้องและให้กำเนิดลูกชาย ผู้มีอายุกว่า 6 ปีแล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พลังและความมีชีวิตชีวาของเขาอยู่ในระดับสูงสุด ฉือไคฮวงปลาบปลื้มยิ่งนักที่ได้มีลูกชายกระทั่งในช่วงเวลานี้ของชีวิต อีกทั้งยังมีหน้าที่ความรับผิดชอบอยู่เพียงน้อยนิดนอกเหนือจากการเลี้ยงดูลูกชายของตน
ทุกคนรู้อย่างลับ ๆ ว่าฉือไคฮวงตั้งใจทำให้เป็นเช่นนี้
ในตอนนี้ สถานะของซูเฉินได้เริ่มทะยานสูงขึ้น และเขาก็ถูกพิจารณาเป็นอันดับ 1 ของเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างกว้างขวาง เขาได้พัฒนาวิชาบ่มเพาะสำคัญ ๆ ขึ้นจำนวนนับไม่ถ้วน ทำให้เจ้าตัวได้รับความเคารพบูชากระทั่งจากประชาชนทั่วไป ไม่ใช่เรื่องเกินจริงแม้แต่น้อยที่ว่าผู้คนบางส่วนปฏิบัติต่อเขาราวกับพระเจ้าทีเดียว ฉือไคฮวงในฐานะอาจารย์ของซูเฉินจึงเกี่ยวข้องไปด้วย ชายชราคนนี้หัวใสทีเดียว เลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษเพื่อหลีกเลี่ยงการนำปัญหามาให้แก่ซูเฉิน แม้ว่าซูเฉินจะอ้อนวอนเขาหลายต่อหลายครั้ง ฉือไคฮวงก็ดื้อด้านอย่างถึงที่สุด และก็ไม่มีสิ่งใดที่ซูเฉินสามารถทำได้
เมื่อซูเฉินได้ยินดังนั้น เขาก็ได้แต่ส่ายหัวไปมา “ชายแก่หัวรั้นนั่น”
“เหล่าฉือแก่ลงเรื่อย ๆ และเจ้าก็ได้เห็นความฝันของเขาอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว ตอนนี้ในเมื่อเขามีทั้งภรรยาและลูกชาย เขาจึงไม่สนใจว่าใครจะบอกว่าเขามาได้ไกลถึงเพียงนี้ด้วยการเกาะชายเสื้อคลุมเจ้า พยายามเข้าใจสถานะของเขาหน่อยนะ” จวินโม่เสียกล่าว
ซูเฉินได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย
“อ้อ เจ้านิกาย ในเมื่อท่านได้โยกย้ายชิ้นส่วนแผ่นดินขนาดใหญ่มายังสรวงสวรรค์แล้ว แผ่นดินแห่งใหม่นี้จำเป็นต้องถูกจัดระเบียบใหม่” หลินเฉ่าเซวียนเอ่ย “ท่านคิดว่าอย่างไร?”
ซูเฉินตอบพูดขึ้น “ตอนนี้ต้นกำเนิดสรวงสวรรค์ถูกใช้เพื่อเพาะปลูกพืชและสมุนไพรเป็นหลักด้วยการกลั่นยาเป็นตัวช่วย สำหรับภูเขาที่เราโยกย้ายมา ตอนนี้พวกมันยังว่างเปล่าอยู่ เราก็สามารถใช้เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าศิษย์ได้ และสำหรับการทำเครื่องมือ ยันต์ และค่ายกล อ้อ! พูดถึงค่ายกลแล้ว เราคงจะต้องซ่อมแซมค่ายกลป้องกันของนิกายด้วย ชิ้นส่วนขนาดใหญ่ของมันคงจะหายไป หานเฟิงจะต้องทำงานหนักแน่ ๆ…”
ซูเฉินแจกจ่ายงานต่อไป
ความโกลาหลที่เกิดขึ้นจากการโยกย้ายภูเขาเหล่านี้นั้นไม่ใช่น้อย ๆ เลย เส้นแบ่งดินแดนจะต้องถูกเขียนใหม่และกำลังคนก็จะต้องจัดสรรใหม่ มีงานจำนวนมากทีเดียวที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสิ่งเหล่านี้ และกระทั่งด้วยผลึกวิญญาณ ซูเฉินก็ยังต้องใช้เวลาไม่น้อยในการคิดหาวิธีการที่เหมาะสมที่สุด
หลังจากที่ทำงานมาทั้งช่วงเช้า ซูเฉินทำท่าทางปาดเหงื่อออกจากคิ้วและเอ่ยขึ้น “ทำไมข้ารู้สึกเหมือนว่าการจัดการธุรการของนิกายมันเหนื่อยยิ่งกว่าการสร้างต้นกำเนิดสรวงสวรรค์ซะอีกล่ะ? ข้าเอาเวลาไปสร้างสรวงสวรรค์อีกแห่งยังจะดีกว่า”
ทุกคนหัวเราะ แต่พวกเขาก็รู้เช่นกันว่าซูเฉินกำลังล้อเล่น
แม้ว่ากระบวนการในการเปิดสรวงสวรรค์จะดูเรียบง่าย ซูเฉินก็ต้องใช้เวลาและพลังงานไม่น้อยในการทำให้มันสามารถบรรจุส่วนของภูเขาที่ดียิ่งขึ้นได้ เพียงแค่การจัดเตรียมก็กินเวลาไปกว่า 5 ปีแล้ว และปริมาณของทรัพยากรที่ถูกใช้ไปนั้นมากยิ่งกว่า โลหะดาราสูญและผลึกพลังสูญจำนวนมากที่นิกายไร้ขอบเขตครอบครองได้ถูกใช้ไปกับกระบวนการนี้ จะต้องใช้เวลาอีกนานก่อนที่พวกมันจะปรากฏขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
“ท่านเจ้านิกาย นี่คือรายชื่อของศิษย์ที่ได้เข้ามาอยู่ฝ่ายในครานี้ โปรดตรวจสอบดู” ชายร่างผอมตัวสูงโปร่งเอ่ยขณะที่มือยื่นรายชื่อมาให้ซูเฉิน
ชื่อของเขาคือฉางเหวยซ่าน เขาเข้าร่วมนิกายไร้ขอบเขตเมื่อ 12 ปีที่แล้ว
เขาเคยเป็นศิษย์มาก่อน เหมือนกับกัวเหวินฉาง และเคยทำงานราชการมาก่อน แต่เขาก็ลาออกไปในเวลาต่อมาเนื่องจากการโกงกินที่แพร่ระบาดในระบบราชวงศ์
หลังจากนั้น เขาก็ได้ยินเรื่องของซูเฉินและได้เรียนรู้ว่ากระทั่งสามัญชนก็สามารถฝึกตนได้ นั่นคือตอนที่เขาตัดสินใจมายังเขาหมื่นดาบและเข้าร่วมนิกายไร้ขอบเขต
เมื่ออยู่ในนิกายไร้ขอบเขตแล้ว ฉางเหวยซ่านก็ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ที่น่าประทับใจใด ๆ ระดับพลังของเขาก็อยู่ในระดับกลาง ๆ แต่การจัดการธุรการภายในของเขานั้นน่าประทับใจยิ่งนัก หลังจากที่กัวเหวินฉางเสียชีวิต นิกายไร้ขอบเขตก็ขาดแคลนผู้คนที่สามารถดูแลธุรการภายในที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนของนิกายไร้ขอบเขตอย่างเหมาะสมได้ นี่คือเหตุผลที่ฉางเหวยซ่านถูกเลือกตัวและเลื่อนตำแหน่งขึ้นกะทันหัน ในตอนนี้เขามีอำนาจในการจัดการของนิกายไร้ขอบเขตไม่น้อยเลยทีเดียว
ณ จุดนี้ ระดับพลังของเขายังคงอยู่ในด่านสู่พิสดาร แต่สถานะของเขานั้นแทบจะเท่ากับสมาชิกที่อาวุโสที่สุดในนิกายไร้ขอบเขตเลยทีเดียว นอกจากนี้เขามาถึงด่านสู่พิสดารได้ด้วยความช่วยเหลือของยาจำนวนนับไม่ถ้วนที่ซูเฉินและคนอื่น ๆ มอบให้เขาเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าศักยภาพในการฝึกฝนของเขานั้นธรรมดายิ่งนัก
พรสวรรค์ที่แท้จริงของเขาอยู่ที่การจัดการธุรการภายในต่างหาก รายชื่อที่ซูเฉินได้รับนั้นประกอบไปด้วยรายชื่อของศิษย์ สถานที่เกิด ประวัติโดยย่อ คะแนนสอบที่สอดคล้องกัน และข้อมูลอื่น ๆ ของพวกเขา ล้วนถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบและง่ายต่อการเข้าใจ
ซูเฉินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ไม่แย่ ตอนนี้เราควรจะมีศิษย์มากกว่า 8,000 คนในฝ่ายในแล้วใช่ไหม?”
ฉางเหวยซ่านตอบ “ตอนนี้ พวกเรามีศิษย์ฝ่ายในทั้งหมด 84,231 คน”
ความแข็งแกร่งของนิกายไร้ขอบเขตได้เพิ่มสูงขึ้นมากจริง ๆ ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารในตอนนี้มีค่าพอ ๆ กับกะหล่ำปลี และพวกเขาก็มีจำนวนมากกว่า 80,000 คนแล้ว
นี่ยังไม่ได้รวมศิษย์ทั่วไปอีกจำนวนมหาศาลเสียด้วยซ้ำ
นิกายไร้ขอบเขตมีศิษย์ราว ๆ 400,000 คนแล้วในตอนนี้ โดย 1 ใน 3 ของพวกเขามีระดับพลังตั้งแต่ระดับกลางไปจนถึงระดับสูง มีผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณอย่างน้อยกว่า 15,000 คนแล้ว
แต่ก็ยังคงมีผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดินไม่เกิน 100 คน
การที่นิกายไร้ขอบเขตพึ่งจะก่อกำเนิดขึ้นไม่นานก็ยังเป็นขีดจำกัดสูงสุด
แต่หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป บางทีในอีก 30 ปีข้างหน้า นิกายไร้ขอบเขตอาจจะมีผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชันหลายหมื่นคนก็เป็นได้
ตัวเลขนี้ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งอย่างแท้จริง
จำนวนทั้งหมดของผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชันก่อนหน้านี้อยู่ในหลักสิบ เมื่อรวมกับผู้ฝึกตนของตระกูลกูผู้ไร้เทียมทานแล้ว ตัวเลขนั้นก็ยังคงไม่มากไปกว่า 30
ศักยภาพที่ซ่อนเร้นของนิกายไร้ขอบเขตนับว่าชัดเจนอย่างถึงที่สุด
ในตอนนี้ อาณาจักรทั้งเจ็ดได้ก้มหัวให้กับนิกายไร้ขอบเขตไปโดยปริยาย แม้ว่าพวกเขาจะยังถือครองอำนาจทางการเมือง แต่เขาหมื่นดาบก็กำลังกลายเป็นศูนย์กลางทางการเมืองใหม่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างช้า ๆ
ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งนี้ได้เผชิญเข้ากับแรงต้านทานเล็กน้อยเท่านั้น
ก่อนหน้านี้การปรากฏตัวของอำนาจใหม่ใด ๆ คือความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ของฝ่ายเก่า
แต่หลังจากศึกสงครามที่หลายหมื่นชีวิตสิ้นสุดไป การแลกเปลี่ยนระหว่างฝ่ายเก่าและใหม่นี้ก็ไม่อาจดำเนินต่อไปได้อีก
แน่นอนว่ามีเหตุผลอื่นอีกด้วย ที่แห่งนี้เป็นข้อยกเว้น
ยกตัวอย่างเช่น ช่องว่างอันชัดเจนที่ไม่อาจข้ามผ่านได้ในความแข็งแกร่ง!
ฝ่ายเดิมนั้นสามารถกดฝ่ายใหม่ได้เพราะพวกเขาแข็งแกร่งกว่า พวกเขาจะขับไล่ภัยคุกคามใดก็ตามจากฝ่ายเก่าก่อนที่มันจะเกิดขึ้นเสียอีก
ด้วยเหตุนี้ ฝ่ายเก่าจึงมักจะเอาชนะฝ่ายใหม่ได้อยู่เสมอในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
หน้าใหม่ ๆ บางส่วนที่ทำสำเร็จก็มักจะถูกพูดถึงและจดจำได้ง่าย แต่ความล้มเหลวเองก็มีมากมายจึงมักถูกหลงลืมไป
แต่เมื่ออำนาจใหม่เกิดขึ้นรวดเร็วเกินที่จะหยุดยั้งไว้ได้ ทุกสิ่งก็จะแตกต่างออกไป
นั่นคือกรณีของนิกายไร้ขอบเขต
เมื่อพวกเขายังเด็กและอ่อนแอ นิกายไร้ขอบเขตเลือกที่จะปิดบังตัวไว้เพื่อไม่ให้ดึงดูดความสนใจอันไม่พึงประสงค์ใด ๆ เข้ามา
ผู้คนบางส่วนที่นึกได้ว่าซูเฉินสำคัญถึงเพียงไรก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้ เพราะวิชาบ่มเพาะของเขาถูกสร้างขึ้นในแดนฝันโดยไร้ซึ่งขีดจำกัด
และวิชาบ่มเพาะใหม่ ๆ นั้นไม่เพียงทำให้ผู้ที่ไม่มีสายเลือดสามารถทะลวงด่านได้ แต่เมื่อซูเฉินพัฒนาและปรับปรุงแก้ไขวิชาเหล่านั้น พวกมันยังส่งเสริมกระบวนการฝึกตนอีกด้วย โดยการใช้เนตรมองโลกจุลภาคของเขา ซูเฉินสามารถพัฒนาวิธีการที่มนุษย์สามารถดูดซึมพลังต้นกำเนิดได้ กระทั่งพัฒนาวิธีการที่สามารถส่งเสริมการเคลื่อนไหวของพลังต้นกำเนิดเหล่านี้ขึ้น ดังนั้นแล้ว มันจึงเป็นไปได้ที่ผู้ฝึกตนทุกคนจะฝึกฝนได้ด้วยการสังหารอสูร
หลังจากสังหารสิ่งมีชีวิตแล้ว พวกเขาจะแสดงท่าทางที่ดูเหมือนพิธีกรรมทางศาสนา นี่ก็กลายเป็นพื้นฐานของนิกายไร้ขอบเขตเช่นกัน
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ นิกายไร้ขอบเขตจึงสามารถก้าวหน้าไปด้วยความเร็วที่น่าตกใจ ก่อนที่เผ่ามนุษย์ที่เหลือจะทันได้ตอบสนอง พวกเขาก็กลายเป็นกลุ่มอำนาจที่ไร้เทียมทานไปเสียแล้ว
การทำลายล้างตระกูลหลินก็แสดงให้เห็นถึงหลักการนี้อย่างชัดเจน
ช่วงเวลาใกล้ ๆ กับครั้งที่หลินเมิ่งเจ๋อถูกสังหารคือโอกาสสุดท้ายของอาณาจักรทั้งเจ็ดในการตอบโต้นิกายไร้ขอบเขต
แต่เมื่อเผชิญกับการล่อลวงและหว่านเมล็ดความร้าวฉานของซูเฉินแล้ว ทั้งเจ็ดอาณาจักรก็เลือกที่จะยอมแพ้ในที่สุด การยินยอมครั้งนี้ทำให้พวกเขาสูญเสียโอกาสครั้งสุดท้ายที่มี!
หลังจากที่นิกายไร้ขอบเขตถอนรากถอนโคนเผ่าวิญญาณสำเร็จแล้ว อาณาจักรทั้งเจ็ดที่นึกขึ้นได้ก็ไม่มีโอกาสที่จะควบคุมนิกายไร้ขอบเขตอีกต่อไปแล้ว
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฝ่ายเก่าก็สูญเสียความต้องการที่จะต่อสู้กับฝ่ายใหม่และเลือกที่จะมอบสิทธิประโยชน์ให้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ผลคืออำนาจเริ่มที่จะโยกย้ายจากฝ่ายเก่าไปยังฝ่ายใหม่ ทำให้เกิดช่วงเวลาแห่งสันติสุขอย่างน่าประหลาดใจ
ศูนย์กลางแห่งอำนาจของเผ่ามนุษย์เริ่มเคลื่อนย้ายจากเมืองหลวงของภูผาสูญ เมืองฝนต้นฤดู ไปยังเขาหมื่นดาบอย่างช้า ๆ สถานที่ซึ่งถูกทิ้งร้างและโดดเดี่ยวมาเป็นเวลานานนี้ กำลังกลายเป็นจุดรวมของทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างช้า ๆ
ที่จริงแล้ว ทำเลของมันค่อนข้างสมบูรณ์แบบสำหรับจุดประสงค์นี้
และการเพิ่มขึ้นของอำนาจก็เริ่มล้นออกไปยังพื้นที่โดยรอบ ด้วยความเกี่ยวข้องอันลึกซึ้ง
แม้ว่าเหล่าจักรพรรดิจะยังคงเป็นผู้ปกครองอาณาจักรของพวกตน ทว่าอำนาจของพวกเขาก็เริ่มลดต่ำลงเรื่อยๆ
สถานะของนิกายไร้ขอบเขตในหลงซางก็ค่อย ๆ แพร่กระจายไปยังอาณาจักรอื่น ๆ อย่างช้า ๆ เช่นกัน
นี่แหละคือสิ่งที่ซูเฉินต้องการ
เขาต้องการรวมทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์เข้าด้วยกันเป็นอาณาจักรขนาดมหึมา แต่ไม่ใช่ด้วยการนองเลือด การใช้พละกำลังมหาศาลเพื่อข่มขู่อาณาจักรอื่น ๆ ให้ยอมจำนนคือทางเลือกที่ดีที่สุด
ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร 80,000 คน และผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณ 50,000 คน
คนทั้งสองกลุ่มนี้นั้นเป็นยิ่งกว่าขุมกำลังที่มีอำนาจมากที่สุดในทั้งเจ็ดอาณาจักรเสียอีก
แต่ถึงอย่างนั้น ซูเฉินก็ยังรู้สึกว่าตัวเลขเหล่านี้นั้นไม่เพียงพอ
หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยขึ้น “มีสัญญาณของการเคลื่อนไหวใดจากเผ่าปักษาบ้างหรือยัง?”
ฉางเหวยซ่านตอบทันที “หยงเยี่ยหลิวกวงกลับมาจากการเยี่ยมเยียนเผ่าท้องสมุทรแล้ว”
ซูเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย
หนึ่งปีหลังจากที่กูเทียนเยวี่ยนำวิญญาณอำมฤตกลับไปด้วย เผ่าปักษาก็มอบอิสรภาพในการเคลื่อนไหวให้แก่เมืองล่องนภาที่ขาดหายไปกว่าหลายหมื่นปีไปได้ในที่สุด
ในวันนั้นเมืองล่องนภาได้เดินทางไปยังชายแดนของอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยทันที แล้วจึงไปยังแถบทะเลทางใต้ ก่อนที่จะล้างบางอสูรกายฝูงใหญ่ซึ่งรวมไปถึงจักรพรรดิอสูรกายตัวหนึ่งด้วยในพื้นที่นั้น นี่คือวิธีการที่พวกเขาป่าวประกาศต่อทั่วทั้งทวีปว่า เมืองล่องนภาได้กลับมาแล้ว
ขวัญกำลังใจของเผ่าปักษาก็พรั่งพรูขึ้นด้วยเช่นกัน เกิดเป็นความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นระหว่างอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยและเผ่าปักษา
ตามที่เผ่าปักษากล่าวแล้ว เพราะจังหวะที่เมืองล่องนภาได้รับการเคลื่อนไหวกลับคืนมา เขตแดนของพวกเขาก็เริ่มแผ่ขยายขึ้นด้วยตนเอง ทุกที่ที่เมืองล่องนภาไปคือสถานที่ที่เผ่าปักษาสามารถใช้การควบคุมของพวกเขาได้
แต่หยงเยี่ยหลิวกวงกลับหักล้างปรัชญานั้น
หลังจากที่เมืองล่องนภากลับมาเคลื่อนไหว สถานะของหยงเยี่ยหลิวกวงภายในเผ่าปักษาก็พุ่งสูงขึ้น ไปจนถึงจุดที่พวกเขามองว่าหยงเยี่ยหลิวกวงเป็นพระเจ้าเลยทีเดียว
มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถยับยั้งกระแสความภาคภูมิใจอันพลุ่งพล่านที่เผ่าปักษากำลังรู้สึกในตอนนี้ได้
เพราะเขารู้ว่าเผ่าปักษายังห่างไกลกับคำว่าไร้เทียมทานอีกมาก
หากเมืองล่องนภาเริ่มรุกทันทีหลังจากที่ได้รับการเคลื่อนไหวกลับมา ทั้งเผ่ามนุษย์ เผ่าคนเถื่อน และเผ่าท้องสมุทรคงไม่มองดูอยู่เฉย ๆ เป็นแน่ มีแนวโน้มสูงทีเดียวที่พวกเขาจะร่วมมือกันเพื่อตอบโต้กลับ
หลังจากที่ทั้งเผ่าปักษาได้ทอดทิ้งนิกายไร้ขอบเขตในศึกระหว่างเผ่าวิญญาณ เผ่ามนุษย์และเผ่าคนเถื่อนก็ร่วมมือกันเข้ายึดเมืองแห่งความมืดมน (โดยไร้ซึ่งการทะเลาะเบาะแว้งในการแบ่งสมบัติอย่างน่าประหลาดใจ) และเผ่ามนุษย์ยังช่วยเหลือเผ่าท้องสมุทรในการแก้ไขปัญหาของท้องสมุทรโศกาอีกด้วย ดังนั้นแล้ว การก่อตั้งขึ้นของพันธมิตรเช่นนี้จึงไม่ได้อยู่นอกความคาดหมาย
หยงเยี่ยหลิวกวงไม่ต้องการสร้างความขัดแย้งระหว่าง 3 เผ่าพันธุ์นี้ในตอนนี้
ระหว่าง 10 ปีที่ผ่านมา เขาพยายามสร้างข้อผูกมัดกับผู้อื่นไม่น้อย กระทั่งระหว่างที่นิกายไร้ขอบเขตเริ่มจะรู้ถึงศักยภาพอย่างเต็มขั้นของพวกเขา
ความพยายามของเขาไม่เคยประสบความสำเร็จเป็นพิเศษ
แต่ไม่นานก่อนหน้านี้ หยงเยี่ยหลิวกวงได้ไปเยี่ยมเยียนเผ่าท้องสมุทรเป็นการส่วนตัว ฝ่ายซูเฉินก็ได้แต่จับตาดูสถานการณ์นี้อย่างไม่นิ่งนอนใจ
หากเขากลับมา กลยุทธ์ของเจ้านกแก่ก็คงจะบังเกิดผล
เขาเพียงแค่ไม่รู้ว่าเผ่าปักษามอบผลประโยชน์มากมายเพียงไรให้แก่เผ่าท้องสมุทรเพื่อที่จะซื้อความเป็นกลางจากพวกเขา
“ไม่สำคัญหรอก” ซูเฉินพูดขึ้นหลังจากที่คิดอยู่สักพัก “เมล็ดพันธุ์ที่เราปลูกฝังไว้เมื่อหลายปีก่อนใกล้จะเติบโตแล้ว ถึงเวลาแล้วที่จะทวงหนี้แล้ว”