ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 3 สงครามที่ถูกกำหนด

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 3 สงครามที่ถูกกำหนด

เมืองล่องนภา วังแสงตะวันชั่วกาล

หยงเยี่ยหลิวกวงกำลังบริหารจัดการธุรการของอาณาจักรอยู่บนบัลลังก์

หลังจากที่เมืองล่องนภาได้รับอิสรภาพกลับคืนมา ความยิ่งใหญ่ของหยงเยี่ยหลิวกวงก็พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“การฉ้อฉลของเอ้อลวิ๋นโปได้รับการยืนยันแล้วและไม่อาจยกเว้นได้ หาใครสักคนมาจัดการเรื่องนั้นเสีย” หยงเยี่ยหลิวกวงออกคำสั่ง

เจ้าหน้าที่ผู้สั่นเทาเบื้องล่างเขาเอ่ยตอบ “ขอรับฝ่าบาท!”

ทั้ง ๆ ที่ถูกสหายคนหนึ่งขอให้มาพูดแทนเอ้อลวิ๋นโป แต่ในตอนนี้ เขาได้สูญเสียความกล้าหาญทั้งหมดไปเสียแล้ว ไม่ว่าหยงเยี่ยหลิวกวงจะพูดว่าอย่างไร เขาก็จะทำเช่นนั้น

“อ้อ เทียนเยวี่ย ตอนนี้สถานการณ์กับเผ่ามนุษย์เป็นอย่างไรบ้าง?” หยงเยี่ยหลิวกวงถามกูเทียนเยวี่ยขณะที่เขาจัดวางรายงานมากมายลงบนโต๊ะของเขา

“เงียบเชียบทีเดียว” กูเทียนเยวี่ยตอบ

“การขาดการเคลื่อนไหวคือสัญญาณของการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนที่สุด” หยงเยี่ยหลิวกวงกล่าวขณะที่เขาถอนหายใจและส่ายหัวไปมา “พัฒนาการของนิกายไร้ขอบเขตจะต้องใช้เวลาอีกสักพัก และยิ่งเวลาผ่านไป พวกเราก็ยิ่งแย่ แค่นี้เราก็ให้เวลาพวกเขามากเกินไปแล้ว”

“พวกเราต้องต่อสู้จริง ๆ หรือ?” กูเทียนเยวี่ยถามด้วยความกังวลใจ

“การต่อสู้นั้นไม่อาจหลีกเลี่ยงได้” หยงเยี่ยหลิวกวงตอบอย่างไร้อารมณ์

วินาทีที่นิกายไร้ขอบเขตทะยานขึ้นสู่อำนาจ หยงเยี่ยหลิวกวงก็รู้ทันทีว่าเผ่าปักษาและเผ่ามนุษย์นั้นจะต้องปะทะกันอย่างไม่อาจหลีกหนีได้ในสักวันหนึ่ง

ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว นิกายไร้ขอบเขตขึ้นสู่พลังอำนาจเร็วเกินไป และการฆ่าล้างเผ่าวิญญาณของพวกเขาก็ทำให้เผ่าพันธุ์อัจฉริยะอื่น ๆ ตกตะลึงกันไปทั้งสิ้น ในเวลาเดียวกัน มันก็เตือนพวกเขาว่าอนาคตของศัตรูนั้นสามารถแข็งแกร่งได้ยิ่งกว่าหุบเหวนรกครั้งก่อนเสียอีก

สำหรับหยงเยี่ยหลิวกวงผู้วาดความฝันว่า เผ่าปักษาจะยืนอยู่บนจุดสูงสุดแต่เพียงผู้เดียวและปกครองเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ทั้งหมดแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะยอมรับได้

หากพวกเขาไม่ฉวยโอกาสจากอิสรภาพในการเคลื่อนไหวครั้งนี้เพื่อเอาชนะศัตรูในตอนนี้แล้ว บางทีกระทั่งเมืองล่องนภาก็อาจไม่สามารถหยุดยั้งเผ่ามนุษย์ไม่ให้เข้ามารุกรานได้อีกในอนาคต

ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เขาได้ทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันสำคัญกับเผ่าพันธุ์อื่น ๆ เพื่อที่เมื่อถึงคราวสงคราม เผ่าปักษาก็จะรักษาความเป็นกลางเอาไว้ได้

หลังจากที่จ่ายราคามหาศาลไปแล้ว หยงเยี่ยหลิวกวงถึงโน้มน้าวชาวสมุทรให้เป็นกลาง ส่วนเผ่าคนเถื่อนนั้นก็กำลังติดพันอยู่กับเหล่าอสูรทางทิศเหนือ ฉะนั้นตอนนี้คือเวลาที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นสงครามขึ้น

เมื่อกูเทียนเยวี่ยนึกได้ว่าหยงเยี่ยหลิวกวงกำลังคิดสิ่งใด เขาก็จำใจยอมละทิ้งความหวังทั้งหมดในการพยายามจะโน้มน้าวอีกฝ่ายไปยังทิศทางอื่น

ขณะที่ทั้งสองกำลังจะถกเถียงกันถึงกลยุทธ์การสู้รบที่มีศักยภาพ ทหารนายหนึ่งก็เข้ามารายงาน “ฝ่าบาท นิกายไร้ขอบเขตส่งจดหมายมาขอรับ”

“หืม?” ชายทั้งสองเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน

จากนั้นหยงเยี่ยหลิวกวงก็พูดขึ้นทันที “เอามานี่!”

จดหมายฉบับดังกล่าวถูกวางลงบนโต๊ะทำงานของหยงเยี่ยหลิวกวง

คนเป็นจักรพรรดิเปิดซองจดหมายอ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน จากนั้นท่าทีที่เคยเยือกเย็นและแข็งกร้าวเสมอต้นเสมอปลายของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ฝ่าบาท?” กูเทียนเยวี่ยส่งเสียงเรียกด้วยความกังวลเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าสีหน้าของหยงเยี่ยหลิวกวงผิดแปลกไป

หยงเยี่ยหลิวกวงดูจะถูกดึงกลับมาสู่ความเป็นจริงและส่ายหัวไปมา “ข้าสบายดี จดหมายฉบับนี้มาจากซูเฉิน เจ้าว่ามันเกี่ยวกับอะไรล่ะ?”

กูเทียนเยวี่ยตอบอย่างไม่มั่นใจนัก “มันคือจดหมายประกาศสงครามหรือ? หรือเขากำลังขอความสงบสุข?”

หยงเยี่ยหลิวกวงส่ายหัวอีกครั้ง “ไม่ใช่สักอย่าง… เขาขอให้ข้าบุกเบิกทางไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ”

“บุกเบิกทางไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือหรือ?” กูเทียนเยวี่ยตกตะลึงไปโดยคำขอแปลกประหลาดนี้

เผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้งหลายยึดครองพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปเป็นหลัก และพื้นที่ที่ยังไม่ได้ถูกสำรวจทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือก็เป็นของเหล่าอสูร เขตแดนของอสูรคือดินแดนอันป่าเถื่อนที่ยังไม่ถูกแตะต้อง ธรรมชาติอันไม่เป็นมิตรของพวกมันหมายความว่ามีปริศนาลึกลับและทรัพย์สมบัตินับไม่ถ้วนรอคอยที่จะถูกค้นพบอยู่ข้างในนั้น

สำหรับเผ่าพันธุ์อัจฉริยะแล้ว การบุกเบิกเส้นทางไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือคือฝันขั้นสูงสุดเลยทีเดียว

ที่จริงแล้ว เขตแดนปัจจุบันของเผ่าพันธุ์อัจฉริยะก็ได้ถูกปรับแต่งเรื่อยมาขณะที่พวกเขาแผ่ขยายเข้าไปในเขตแดนของอสูรอย่างช้า ๆ

เผ่าพันธุ์อัจฉริยะล้วนต้องการเบิกทางลึกเข้าไปสู่เขตแดนของศัตรูที่ตั้งอยู่ในทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

ถึงอย่างนั้น ทุกอณูของเขตแดนใหม่นี้ก็เปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตปริมาณมหาศาล

นี่คือรูปแบบที่เรียบง่ายที่สุดของการแลกเปลี่ยนระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ!

แต่ก็มักจะมีสักเผ่าพันธุ์หนึ่งที่อยู่บนจุดสูงสุดของเผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้งหลายที่แลกเปลี่ยนสิ่งนี้ได้สำเร็จ

นิกายไร้ขอบเขตนั้นทรงพลังอย่างถึงที่สุด แต่พวกเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ข้อเท็จจริงที่ว่าซูเฉินกำลังขอให้เผ่าปักษาบุกเบิกทางไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือในตอนนี้นั้นมีความน่าสงสัยอยู่ไม่น้อยอย่างแน่นอน

“เขาต้องการอะไรกันแน่?” กูเทียนเยวี่ยเอ่ยข้อสงสัยออกมา

หยงเยี่ยหลิวกวงเคาะนิ้วชี้ลงบนโต๊ะก่อนจะพูดขึ้น “ที่จริงแล้วไม่มีอะไรหรอก เขาแค่ไม่อยากปล่อยให้พลังต่อสู้อันน่าเกรงขามของเมืองล่องนภานิ่งเฉย พูดอีกอย่างก็คือ เขาต้องการใช้พื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือทำให้เมืองล่องนภาอ่อนแอลงนั่นเอง”

“เขาไม่อยากปล่อยให้พลังต่อสู้อันน่าเกรงขามของเมืองล่องนภานิ่งเฉยหรือ? เขาต้องการใช้พื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือทำให้เมืองล่องนภาอ่อนแอลงงั้นหรือ?” กูเทียนเยวี่ยเข้าใจในที่สุดหลังจากที่ครุ่นคิดเกี่ยวกับคำพูดของหยงเยี่ยหลิวกวงอยู่ครู่หนึ่ง “เขาต้องการจะต่อสู้กับพวกเราหลังจากที่เราไปยึดครองเขตแดนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือสินะ”

“ให้ชัดเจนยิ่งกว่านั้น …เป็นที่ทุ่งหญ้าฟ้าคลั่ง”

หยงเยี่ยหลิวกวงยื่นจดหมายฉบับนั้นให้แก่กูเทียนเยวี่ย

เบื้องล่างจดหมายนั้นคือภาพวาดง่าย ๆ ของพื้นที่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

เส้นสีแดงยาวขีดลึกเข้าไปในเขตแดนที่ว่า ตัดผ่านกันบนตำแหน่งหนึ่งบนรูปวาด

จุดตัดนั้นถูกวงกลมไว้พร้อมตัวอักษรขนาดใหญ่ 3 ตัวเขียนไว้ด้านบน ‘ทุ่งหญ้าฟ้าคลั่ง’

ไม่มีคำอธิบายหรือสิ่งอื่นใดกำกับไว้ มีเพียงเส้น 2 เส้นและจุดตัด 1 จุด แต่ถึงอย่างนั้น เจตนาของซูเฉินก็ชัดเจน

อย่างแรกคือพิชิตทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แล้วเราจะต่อสู้กัน

กระทั่งไร้ซึ่งคำอธิบายอันน่าอัศจรรย์ใด ๆ หยงเยี่ยหลิวกวงก็เข้าใจทุกสิ่ง

นี่คือความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้คนที่ครอบครองความทะเยอทะยานมหาศาล

ทั้งสองต่างก็ต้องการกวาดล้างอีกฝ่าย แต่ไม่มีฝ่ายใดต้องการสูญเสียความแข็งแกร่งทางการรบอันไร้เทียมทานของตน ดังนั้นแล้ว แผนการในอุดมคติจึงต้องเริ่มจากการลับคมดาบกับเหล่าอสูรในทิศตะวันตกเฉียงเหนือนั่นเอง

เมื่อคิดได้เช่นนี้ กูเทียนเยวี่ยก็หัวเราะร่วน “เขาต้องฝันไปแน่ ๆ! ฝ่าบาท ไม่จำเป็นต้องไปเอาใจ…”

“ทำไมจะไม่ล่ะ?” หยงเยี่ยหลิวกวงสวนกลับ “พวกเราเองก็ฝันถึงการครอบครองดินแดนทิศตะวันตกเฉียงเหนือมานานแสนนานแล้ว”

ท่าทีของหยงเยี่ยหลิวกวงทำให้กูเทียนเยวี่ยตะลึงงันไปทันที

หยงเยี่ยหลิวกวงพูดต่อไป “ซูเฉินต้องการใช้ความแข็งแกร่งใหม่ของเมืองล่องนภานี้ในการแบ่งแยกและนำส่วนของเขตแดนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือไป แต่เมืองล่องนภาจะไม่ทำอย่างนิกายไร้ขอบเขตด้วยหรือ? แผนของซูเฉินแท้จริงแล้วน่าสนใจไม่น้อยเลย”

กูเทียนเยวี่ยกล่าวอย่างกระอักกระอ่วน “แต่ถ้าซูเฉินหลอกพวกเราล่ะ? ถ้านิกายไร้ขอบเขตไม่ได้คิดที่จะทำเช่นเดียวกันแล้วลอบโจมตีพวกเราขณะที่กำลังเดินทัพอยู่แทนล่ะ?”

หยงเยี่ยหลิวกวงตอบอย่างสงบเยือกเย็น “ลอบโจมตีอะไรล่ะ? เมืองล่องนภาหรือไง?”

กูเทียนเยวี่ยตกตะลึงไปกะทันหัน

แน่นอนว่าพวกเขาไม่อาจลอบโจมตีเมืองล่องนภาได้ มันคือปัจจัยหลักในการเดินทางเข้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของพวกเขา แล้วจะไปรวบรวมกำลังพลที่ไหนถ้าไม่ใช่ที่นั่นล่ะ?

กูเทียนเยวี่ยเข้าใจในที่สุด

ไม่ว่าเมืองล่องนภาจะอยู่ที่ใด ที่นั่นก็จะมีเผ่าปักษารวมตัวกันเสมอ

ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการถูกแทงข้างหลังแม้แต่น้อย

แน่นอนว่าอาจมีเผ่าปักษาบางคนหลงเหลืออยู่ข้างหลัง มีเผ่าปักษาจำนวนไม่น้อยที่กระจายตัวอยู่ในเขตแดนเผ่าปักษาที่ยังจำเป็นต้องถูกปกป้อง หากนิกายไร้ขอบเขตลอบโจมตีจริง ๆ ในจังหวะอันโชคร้าย พวกเขาก็ยังต้องได้รับความเสียหายมหาศาลอยู่ดี

หยงเยี่ยหลิวกวงกล่าว “งั้นก็ดูเหมือนว่าซูเฉินจะคาดการณ์ถึงเรื่องนั้นไว้แล้วล่ะ เขาเสนอแนวทางลดความกังวลให้พวกเรามาแล้วด้วย”

“ซึ่งก็คือ?”

“ให้มีผู้คอยสังเกตการณ์สำหรับทั้งสองฝ่าย”

ในจดหมายฉบับนั้น ซูเฉินเสนอความคิดให้ทั้งสองฝ่ายมีผู้สังเกตการณ์มาโดยตรง โดยเฉพาะแผนการที่ทั้งสองฝ่ายทำการส่งผู้สังเกตการณ์ไปยังอีกฝ่ายแล้วจึงมอบกล่องสื่อสารให้ เพื่อให้พวกเขาสามารถสื่อสารกับได้ตลอดเวลา โดยปกติแล้วผู้สังเกตการณ์เหล่านี้จะจับตาดูการเคลื่อนไหวทั่วไปของกองทัพศัตรูและทำให้มั่นใจว่ามันเดินหน้าต่อไปดังแผนการเพื่อให้ถึงยังจุดหมายปลายทาง

จะมีผู้สังเกตการณ์ถูกกำหนดไว้ราว 10 คน ซึ่งจะถูกสับเปลี่ยนทุก ๆ 2 ปีเพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาจะไม่ถูกฝ่ายตรงข้ามติดสินบน

เป้าหมายหลักของผู้สังเกตการณ์ คือการยืนยันว่าไม่มีกองทัพฝ่ายใดกระทำการอันเป็นภัยต่อพันธมิตร แต่พวกเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้สอดแนมและรายงานความลับทางการทหารใด ๆ ทั้งสิ้น

นี่จะช่วยพยุงความเชื่อใจอันระหองระแหงระหว่างสองเผ่าพันธุ์ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถเดินหน้าไปยังเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันได้

ท้ายจดหมาย ซูเฉินยังระบุไว้อีกด้วยว่า “เผ่าพันธุ์ต้นกำเนิดคือศัตรูของเผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้งหมด พวกเขาได้รับพรจากทรัพยากรมากมาย แต่ก็ยังใช้พวกมันอย่างทิ้งขว้างและไม่ยอมปรับปรุง พวกเราเผ่าพันธุ์อัจฉริยะควรไขว่คว้าความยิ่งใหญ่อันเป็นของเราโดยการกวาดล้างศัตรูภายนอกเหล่านี้แทนที่จะมาทะเลาะเบาะแว้งภายในกันเอง…”

ในที่นี้ ซูเฉินรวมเผ่าปักษาเข้ากับเผ่าพันธุ์อัจฉริยะและเรียกข้อขัดแย้งระหว่างกันใหม่ว่า ‘การทะเลาะเบาะแว้งภายใน’

หลังจากที่กูเทียนเยวี่ยอ่านจดหมายจนจบ เขาก็หมดซึ่งคำพูด

หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน เขาก็เอ่ยขึ้นในที่สุด “ฝ่าบาท ท่านกำลังคิดที่จะตอบรับข้อเสนอของเขาจริง ๆ หรือ?”

หยงเยี่ยหลิวกวงตอบด้วยความมั่นใจ “แน่นอน ทำไมจะไม่ล่ะ? ข้อเสนอของซูเฉินก็ยุติธรรมดี และมันก็สอดคล้องกับเป้าหมายของข้าด้วย นี่คือโอกาสสุดท้ายที่เราจะได้ไขว่คว้าอำนาจอย่างแท้จริง หากเราทำสำเร็จ เราจะสามารถปกครองทั่วทั้งทวีปได้ในที่สุด”

“แต่หากพวกเราพ่ายแพ้….”

“พวกเราก็แพ้” หยงเยี่ยหลิวกวงกล่าวอย่างไม่ลังเล “นี่คือสถานการณ์ที่ผู้ชนะจะได้ทั้งหมด เมื่อเจ้าเป็นฝ่ายแพ้ เจ้าจะได้รู้อย่างรวดเร็วว่ากระทั่งคิดที่จะเป็นข้ารับใช้ใครสักคนก็ยังหวังสูงเกินไป”

นี่คือมุมมองของหยงเยี่ยหลิวกวง

การบุกเบิกไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือนั้นไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญที่สุด เรื่องที่สำคัญจริง ๆ คือผู้ใดจะยืนหยัดอยู่ได้นานที่สุดต่างหาก

ซูเฉินเพียงแค่กำลังยอมรับการต่อสู้กับเผ่าปักษาที่ทุ่งหญ้าฟ้าลั่นเท่านั้นเอง ช่วงเวลาของการเดินทางอันยากลำบากไปเป็นเพียงแค่บททดสอบเท่านั้น และยังเป็นทรัพย์สมบัติเพิ่มเติมจากการสู้รบจริงอีกด้วย แท้จริงแล้ว นี่คือเกมอันแสนซับซ้อนซ่อนเงื่อน

ฝ่ายที่เอาชนะได้สำเร็จจะได้รับทรัพย์สมบัติทั้งหมดไป ในขณะที่ฝ่ายพ่ายแพ้จะถูกกำราบและจางหายไปในประวัติศาสตร์

แท้จริงแล้วนี่คือบททดสอบอันโหดเหี้ยมสำหรับกองกำลังและการวางแผนการจัดการของทั้งสองฝ่าย ดังนั้นแล้ว มันจึงเป็นสงครามอันน่าเหน็ดเหนื่อยที่จะทดสอบความสามารถทุกด้านของพวกเขาอย่างแท้จริง

ทั้งซูเฉินและหยงเยี่ยหลิวกวงต่างก็มีความมั่นอกมั่นใจเป็นอย่างมากว่าพวกเขาจะเป็นผู้คว้าชัยชนะ

ซูเฉินเชื่ออย่างเต็มอกว่านิกายไร้ขอบเขตจะสามารถเปลี่ยนแปลงทรัพยากรใดก็ตามที่ได้รับให้เป็นความแข็งแกร่งทางการรบจริง ๆ ได้อย่างนักรบผู้มีความสามารถฟื้นฟูอันทรงพลังแสนน่าสะพรึงกลัว ทรัพย์สมบัติใดก็ตามที่พวกเขาปล้นมาจากสงครามระหว่างทางได้จะถูกแปรเปลี่ยนเป็นทรัพยากรและใช้ทดแทนสิ่งที่พวกเขาสูญเสียไป

ในทางกลับกัน หยงเยี่ยหลิวกวงนั้นเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งอันไม่อาจทะลวงได้ของเมืองล่องนภาซึ่งทำให้พวกเขาไร้เทียมทานในสงครามขนาดเล็กแทบทั้งหมด หากพวกเขาไม่ได้รับความเสียหาย พวกเขาก็จะใช้ทุกหยดของทรัพยากรที่มี แลดูเหมือนกับนักรบผู้มีพลังในการป้องกันอันน่าเหลือเชื่อผู้สามารถทำให้ศัตรูเหน็ดเหนื่อยจนสิ้นใจได้

ฝ่ายหนึ่งฟื้นฟูอย่างรวดเร็วขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งสูญเสียเพียงเล็กน้อย

ทั้งสองรูปแบบต่างก็มีความโดดเด่นที่แตกต่างกัน

นี่คือเหตุผลที่ทั้งสองมั่นใจยิ่งนักว่าตนจะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอนที่สุด

หากมั่นใจในชัยชนะถึงเพียงนี้ ทำไมจะไม่ลองเสียหน่อยล่ะ?

พวกเขาจะต้องต่อสู้กันอยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ทำเช่นนั้นที่ทุ่งหญ้าฟ้าคลั่ง

แม้ว่าทั้งสองจะระแวดระวังถึงกลอุบายและเล่ห์เหลี่ยมของอีกฝ่าย ความเข้าใจร่วมกันของแต่ละฝ่ายก็ช่วยบรรเทาความหวาดระแวงว่าศัตรูจะปฏิบัติแผนการสำเร็จลงไปได้

และพวกเขาก็สามารถเข้าใจกันและกันได้อย่างลึกซึ้งเพราะพวกเขาต่างก็เป็นผู้ที่มีความทะเยอทะยานยิ่งนัก

ดังนั้นแล้ว หยงเยี่ยหลิวกวงจึงรู้ว่าซูเฉินจะไม่พยายามเล่นตุกติกอย่างแน่นอน

หลังจากที่ได้รับคำตอบของหยงเยี่ยหลิวกวง ซูเฉินก็ดูจะมั่นใจในการออกเดินหน้าไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือเช่นเดียวกัน

คำสั่งถูกแพร่กระจายออกไปทั่วทั้งเจ็ดอาณาจักรอย่างรวดเร็วเพื่อรวบรวมทรัพยากรและกำลังคนทั้งหมดในการเตรียมต่อสู้กับนิกายไร้ขอบเขตร่วมกัน

นิกายไร้ขอบเขตไม่ได้เคลื่อนไหวด้วยตนเองในคราวนี้

นี่ยังเป็นครั้งแรกที่นิกายไร้ขอบเขตใช้เส้นสายของตนในทั่วทั้งอาณาจักรมนุษย์อย่างเป็นสาธารณะอีกด้วย

หลังจากช่วงสั้น ๆ ของการ ‘ฝ่าฟัน’ ทุกอาณาจักรก็ตกลงร่วมมือกัน รวมถึงผู้อาวุโสทั้ง 12 ของตระกูลกูด้วย ผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชันทั้งหมดของเผ่ามนุษย์และผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดินจำนวนมากถูกระดมพล

สองเดือนต่อมา

หลังจากเตรียมการเรียบร้อยแล้ว นิกายไร้ขอบเขตก็ออกเดินทางไปยังเมืองหมอกมายา ผู้ปกครองเมืองนามตู่ชิงซี่มาต้อนรับพวกเขาเป็นการส่วนตัว

สงครามที่จะครอบคลุมครึ่งผืนทวีปกำลังบังเกิดแล้ว