บทที่ 4 เดินหน้าเป็นเส้นตรง
ณ เขาวิหคสีเลือด
นี่คือเทือกเขาขนาดมหึมาใกล้ชายแดนเมฆาเคลื่อน
เทือกเขานี้เคยถูกเรียกว่าเขาวิหคสีทองมาก่อน แต่เมื่อมันกลายเป็นป้อมปราการป้องกันอสูรให้แก่อาณาจักรเมฆาเคลื่อน หยาดเลือดมากมายก็เปรอะเปื้อนพื้นที่แห่งนี้ ซึ่งก็คือเหตุผลที่มันถูกเรียกว่าเขาวิหคสีเลือดแทนในภายหลัง
อาณาจักรเมฆาเคลื่อนได้ประสบภัยจากขบวนอสูรขนาดทั้งเล็กใหญ่มาตลอดทุกปี
อสูรหลายหมื่นตัวจะบุกรุกข้ามชายแดนเข้ามาและทำลายล้างเขตแดนใกล้เคียงให้ราบเป็นหน้ากลอง
อาณาจักรเมฆาเคลื่อนได้เพิ่มพูนความแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อยเพื่อป้องกันขบวนอสูรเหล่านี้
พวกเขาคืออาณาจักรเดียวที่ขาดแคลนกำลังในการโจมตีอาณาจักรอื่นอย่างแท้จริง 90 ในร้อยส่วนของกำลังทางทหารของอาณาจักรจำเป็นต้องอยู่ในแนวหน้า
ดังนั้นแล้ว อาณาจักรเมฆาเคลื่อนจึงทุกข์เข็ญเป็นพิเศษ วีรบุรุษและนักรบจำนวนมากได้เสียเลือดเนื้อให้แก่ที่แห่งนี้ พวกเขามองข้ามความขัดแย้งภายในไปและต้องการที่จะกำจัดอสูรเพียงเท่านั้น ความหวังของพวกเขาจึงเป็นการที่เผ่าพันธุ์ต่าง ๆ หยุดการทะเลาะเบาะแว้งเพราะความแตกต่าง และจดจ่อกับการกำจัดอสูรแทน แต่ความหวังนี้ก็เป็นได้แค่เรื่องเพ้อฝันเสมอมา
พวกเขายังเป็นอาณาจักรที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุดอีกด้วย เทียนไขชีวิตส่วนมากที่ถูกผลิตขึ้นในภูผาสูญ แท้จริงแล้วถูกมอบให้แก่อาณาจักรเมฆาเคลื่อนและอาณาจักรวายุโหม โดยอาณาจักรเมฆาเคลื่อนเป็นผู้ได้รับส่วนแบ่งที่มากกว่า
อาณาจักรอื่น ๆ มักจะส่งกำลังเสริมไปเพื่อช่วยเหลืออาณาจักรเมฆาเคลื่อนอยู่เสมอ
นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอาณาจักรเมฆาเคลื่อนกำลังรักษาชายแดนนี้ไว้อย่างยากลำบากเพียงไร
ดังนั้น เมื่อนิกายไร้ขอบเขตรวบรวมทั้งเจ็ดอาณาจักรเข้าด้วยกันเพื่อโจมตีกลับ ตู่ชิงซี่จึงแข็งขืนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่ชอบข้อเท็จจริงที่ว่านิกายไร้ขอบเขตดูจะก้าวก่ายอำนาจของเขา ทว่าโอกาสที่จะร่วมมือกันจัดการกับอสูรเหล่านี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะปล่อยให้หลุดมือไปได้ เส้นทางอันถูกต้องตามจริยธรรมจึงเป็นสิ่งที่เขาเลือก
กองทัพขนาดใหญ่ที่ไม่มีใครเคยพบเห็นมาก่อน ถูกระดมพลขึ้นในวันนี้ที่ชายแดนแผ่นดินไร้มนุษย์แห่งนี้
เรือมังกรหุ้มเกราะกว่า 1,300 ลำ ลอยอยู่บนท้องฟ้า กองรบดังสนั่นอย่างมั่นคง ธงมากมายถูกโบกสะบัด ขณะที่กองทัพออกเดินหน้าอย่างมั่นคงและยาวเหยียดไปจนจรดเส้นขอบฟ้า
ที่ศูนย์กลางของกองเรือรบมังกรคือปราการลอยฟ้าขนาดยักษ์ที่ถูกลากโดยเรือมังกรขนาดมหึมากว่า 36 ลำ
ณ วังไร้ขอบเขต
นี่คือวังไร้ขอบเขตแห่งใหม่ที่พัฒนาแล้ว
วังแห่งใหม่นี้มีขนาดใหญ่กว่ามาก แทบจะใหญ่เท่ากับปราการขนาดย่อของเผ่าปักษาเลยทีเดียว
ที่จริงแล้ว วังแห่งนี้ยังมีรัศมีของป้อมปราการอยู่อีกด้วย ศักยภาพในการป้องกันและโจมตีของมันนั้นน่าประทับใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ในตอนนี้เมื่อซูเฉินปรับปรุงมันให้ดียิ่งขึ้น การทำงานของมันก็ถูกส่งเสริมขึ้นไปด้วย แต่พลังของนิกายไร้ขอบเขตนั้นยิ่งใหญ่เกินไป ซึ่งหมายความว่า ยังไม่มีใครบีบบังคับให้นิกายไร้ขอบเขตสำแดงพลังที่แท้จริงออกมาได้
ดังนั้นแล้ว ความหมายเชิงสัญลักษณ์ของวังแห่งนี้จึงสำคัญยิ่งกว่าการใช้งานจริงเสียอีก
พูดอีกอย่างคือ มันมักจะถูกใช้จัดการประชุมเท่านั้นเอง
การประชุมครั้งยิ่งใหญ่สะเทือนแผ่นดินถูกจัดขึ้นที่วังแห่งนี้
การประชุมนั้นไม่ได้ยิ่งใหญ่ในเชิงของการเข้าร่วม แต่เป็นเพราะตัวตนของผู้ที่มาร่วมการต่างหาก
ซูเฉิน ฉู่หยวน หลี่หวู่อี้ เจียงจูเซิง เฟิงจู่อิ่ง ตู่ชิงซี่ เฉิงชี่กง กู่ซินหรง กู่ฉิงซ่ง และคนอื่น ๆ ล้วนปรากฏตัวขึ้นที่นี่ พวกเขาคือผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ และแต่ละคนก็ทรงอำนาจพอที่จะทำให้ผืนโลกเบื้องล่างสั่นไหวได้
ในฐานะเจ้านิกาย แน่นอนว่าซูเฉินนั้นนั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุดอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าเขาจะมีอายุน้อยที่สุดในที่ประชุมแห่งนี้ แต่สถานะของเขาก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้
ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้น ข้างกายซูเฉินมีเพียงชายแก่ผมหงอกคนหนึ่ง
ชายชราคนนั้นดูท่าทางแห้งเหี่ยวและดวงตาของเขาช่างดูไร้ชีวิต หนวดเคราบนใบหน้าของเขาหยักศกและยุ่งเหยิง ในมือถือกล้องยาสูบพร้อมพ่นควันเป็นระยะ ๆ สร้างกลิ่นชวนสำลักอย่างถึงที่สุด เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ใช้ยาสูบชั้นดีแต่อย่างใด
แต่ก็ไม่มีผู้ใดแสดงความไม่พอใจออกมาแม้แต่คนเดียว
เพราะนามของเขาคือกู่ฮุยหมิง
เขาคือบรรพชนที่มีอายุมากที่สุดในตระกูลกู่ ที่จริงแล้วอาจไม่ผิดนักหากจะบอกว่าเขาคือบรรพชนของทุกคนในที่นี้
เขาคือหนึ่งในบรรดาลูกชายของฮ่องเต้เย่า!
หลังจากที่ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ตระกูลกู่ร่วงลงจากอำนาจ สมาชิกตระกูลกู่ส่วนมากก็ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม มีผู้สืบทอดสายเลือดเพียงคนเดียวที่ถูกไว้ชีวิต กู่ฮุยหมิง
ในตอนนั้น เขาเป็นเพียงเด็กน้อยอายุ 3 ขวบเท่านั้น
ข้อเท็จจริงที่เขารอดชีวิตมาได้จนถึงตอนนี้หมายความว่าเขามีอายุกว่า 3,600 ปีแล้ว นี่คืออายุที่มากที่สุดที่มนุษย์จะสามารถอยู่ได้ และมีเพียงผู้ที่มีพลังอำนาจของสายเลือดมังกรสุริยะเท่านั้นที่จะสามารถทำเช่นนั้นได้
คงไม่ผิดหากจะบอกว่าสมาชิกทุกคนของตระกูลกู่นั้นได้รับสายเลือดของเขา และพวกเขาล้วนเป็นเครือญาติของชายผู้นี้ในทางหนึ่ง จนกระทั่งว่าเจ้าหน้าที่จดบันทึกไม่สามารถบันทึกได้ว่าพวกเขาเกี่ยวโยงกันอย่างไร ดังนั้นแล้ว ทุกคนจึงเรียกเขาด้วยความเคารพว่าบรรพชน ซึ่งนั่นไม่ใช่ในกรณีของกู่ชิงลั่วและกู่ซินหรงเท่านั้น ทว่ารวมถึงผู้อาวุโสทั้ง 12 ของตระกูลกู่ด้วย
ที่จริงแล้ว กระทั่งผู้ปกครองของอาณาจักรทั้งเจ็ดก็จำเป็นต้องเรียกเขาอย่างนั้นด้วยเช่นกัน
โดยปกติแล้ว ซูเฉินเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
แต่เดิมแล้วซูเฉินไม่ได้มีเจตนาที่จะเชิญเขามาร่วมการเดินหน้าโจมตีอสูรในครั้งนี้ บรรพชนคนนี้แท้จริงแล้วไม่ต่างจากเทพอสูรที่ใช้เวลาส่วนมากไปกับการจำศีลเพื่อพยายามรักษาสภาพร่างกายให้แข็งแรงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เป้าหมายเดียวของเขาคือมีชีวิตอยู่ให้นานที่สุดและก้าวข้ามขีดจำกัด 3,000 ปีของคนอื่น ๆ ในตระกูลกู่
และแน่นอนว่าเขาทำได้สำเร็จ ก่อนหน้าเขา สมาชิกตระกูลกู่ที่มีชีวิตอยู่นานที่สุดนั้นมีอายุเพียงราว ๆ 2,300 ปีเท่านั้น
แต่บรรพชนชราคนนี้ดูจะเปลี่ยนความคิดของเขาอย่างกะทันหัน แทนที่จะจดจ่ออยู่กับการขยายอายุขัยของตนเอง เขากลับตัดสินใจที่จะเข้าร่วมการเดินทางครั้งนี้กับทุก ๆ คน
ซูเฉินเผชิญกับสิ่งนี้อย่างไม่ทันตั้งตัว
ไม่มีสิ่งใดที่เขาจะทำได้นอกจากตอบตกลงอย่างช่วยไม่ได้
โชคยังดีที่ชายชราไม่ได้สร้างปัญหาใดให้แก่ซูเฉิน เขามีชีวิตอยู่มานานยิ่งนักจนมีมุมมองที่เปิดกว้างไม่น้อยและไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อย กระทั่งระหว่างการประชุมเหล่านี้เขาก็แทบไม่เอ่ยปากพูด ซูเฉินไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดนอกจากอดทนกับเขม่าควันที่ลอยออกมาจากกล้องยาสูบของชายแก่เท่านั้น
“ถัดจากเขาวิหคสีเลือดไปคือเขานภามรกต นั่นคือตอนที่เราเข้าไปในเขตแดนของอสูรอย่างเป็นทางการ ในตอนนี้มีอสูรผู้นำ 3 ตัวอยู่ใกล้ชายแดนของเรา จักรพรรดิอสูรตาแดง จักรพรรดิอสูรใจม่วง และราชาอีกาแห่งท้องนภา” ตู่ชิงซี่ผู้นั่งอยู่เบื้องล่างกู่ฮุยหมิงกล่าว
เขาไม่ได้ถูกจัดให้นั่งที่นั่นเพราะเขาแข็งแกร่งที่สุด แต่เป็นเพราะเขาเข้าใจในพื้นที่บริเวณนี้ดีที่สุด
“ราชาอีกาแห่งท้องนภาหรือ?” เมื่อได้ยินชื่อนี้ ซูเฉินก็เริ่มแสดงความสนใจออกมาทันที
ราชาแห่งท้องนภาคือชื่อที่โดดเด่นในหมู่สัตว์อสูร ที่ใช้เรียกอสูรกายที่ยังไม่ได้ฝึกตนจนกลายเป็นจักรพรรดิอสูรกายแต่มีความแข็งแกร่งมากพอ เช่นเดียวกันกับที่ราชันจักรพรรดิอสูรที่เป็นจักรพรรดิอสูรกายที่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด ราชาแห่งท้องนภาก็เป็นราชาอสูรที่ทรงพลังอย่างถึงที่สุด
ข้อเท็จจริงที่ว่าราชาแห่งท้องนภาแบ่งเขตแดนของมันกับจักรพรรดิอสูรอีก 2 ตัวนั้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามันทรงพลังถึงเพียงไร มันอยู่เหนืออสูรตัวอื่น ๆ ในระดับพลังขั้นเดียวกันส่วนมาก ซึ่งเป็นเหตุผลให้มันสามารถรักษาสถานะสูงส่งนี้ไว้ได้
และความสนใจของซูเฉินในสิ่งมีชีวิตเช่นนี้นั้นมากยิ่งกว่า เพราะทันทีที่มันไปถึงระดับของจักรพรรดิอสูร มันก็จะกลายเป็นราชันจักรพรรดิอสูรทันที
ราชันจักรพรรดิในอนาคต
จะดีกว่าเสมอหากสังหารสิ่งมีชีวิตพิเศษพวกนี้ให้เร็วที่สุด
“ใช่แล้ว ราชาอีกาแห่งท้องนภา ร่างหลักของมันคืออีกาสีดำสนิท และมันยังแข็งแกร่งจนน่าสะพรึงกลัว เห็นได้ชัดว่ามันสามารถส่งเป้าหมายเข้าไปในแดนเงาได้” ตู่ชิงซี่กล่าว
“ลากเป้าหมายของมันเข้าไปในแดนเงา…” ซูเฉินพึมพำกับตัวเอง
หากมันมีความสามารถเช่นนั้นจริงก็ไม่แปลกเลยที่จะถูกพิจารณาว่าเป็นราชาแห่งท้องนภา
นี่คล้ายกับวิธีการที่ซูเฉินใช้ในการส่งเป้าหมายที่อ่อนแอกว่าไปยังแดนพลังสูญ ทันทีที่เข้าไปข้างใน พวกเขาก็จะสิ้นลมทันที ตราบใดที่ขาดความหยั่งรู้ในกฎแห่งพลังสูญ แม้จะเป็นถึงราชันจักพรรดิก็ตาม แต่ซูเฉินก็มองว่ากลยุทธ์นี้ยังไม่ครบถ้วนดี การจะเคลื่อนย้ายผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชันเป็นเรื่องที่ยากไม่น้อยและจะต้องใช้พลังงานอีกมาก ทว่าศัตรูที่อ่อนแอกว่านั้น เพียงแค่กระดิกนิ้วมือก็สามารถจัดการได้แล้ว
แต่ราชาอีกาแห่งท้องนภาตัวนี้นั้นโดดเด่นกว่าตัวอื่นอย่างเห็นได้ชัด หากมันสามารถใช้วิชาเช่นนั้นได้ตามอำเภอใจ ความแข็งแกร่งของมันก็จะต้องไม่น้อยหน้าซูเฉินเป็นแน่ มีแนวโน้มว่ามันจะหยั่งรู้กฎแห่งพลังประเภทเงาเสียด้วยซ้ำ
ไม่แปลกเลยที่สิ่งมีชีวิตเช่นนี้จะกลายเป็นราชาแห่งท้องนภา
บางทีราชาแห่งท้องนภาตัวนี้จะน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าจักรพรรดิอสูรอีก 2 ตัวเสียอีก
“ผู้นำทั้ง 3 เหล่านี้ต่างก็มีเขตแดนเป็นของตัวเอง” ตู่ชิงซี่กล่าวขณะที่เขาวาดเขียนบนอากาศด้วยนิ้วมือ ภาพทิวทัศน์ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นถึงทักษะทางศิลปะที่มี และแม้ว่ารูปวาดจะถูกสร้างขึ้นจากพลังต้นกำเนิดอย่างเห็นได้ชัด แต่สีสันล้วนสดใส ทำให้ภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าดูมีชีวิตขึ้นมา
วงกลมสีแดง 3 วงแผ่กระจายออก ระบุถึงตำแหน่งของผู้นำอสูรเหล่านั้น
“ตอนนี้เรามีสองเส้นทางให้เลือก หนึ่งคือเดินตรงผ่านป่าไม้โปร่งและมุ่งหน้าไปยังหัวใจของปัญหา แต่เส้นทางนั้นง่ายต่อการถูกลอบโจมตีในทุกด้าน อีกเส้นทางคือเดินอ้อมโดยการเข้ายึดครองยอดเขามังกรฟ้าเป็นอย่างแรกและสังหารจักรพรรดิอสูรตาแดง แล้วจึงไปยังธารเมฆาชลและสังหารจักรพรรดิอสูรใจม่วง ก่อนที่จะกลับมายังป่าไม้โปร่ง ถึงจะใช้เวลามากกว่าแต่ก็ปลอดภัยกว่าเช่นกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจียงจูเซิงก็กล่าวอย่างเหยียดหยาม “พี่ชายตู่ เรามีกองทัพขนาดใหญ่อยู่แล้ว เราต้องเกรงกลัวการลอบโจมตีโดยจักรพรรดิอสูรจริง ๆ หรือ? นั่นเป็นเหมือนช้างที่หวาดกลัวมดสามตัวอย่างไรอย่างนั้น”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนต่างก็หัวเราะ
ใช่แล้ว จักรพรรดิอสูรทั้งสามตัวแท้จริงแล้วอ่อนแอทีเดียว เมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งและจำนวนของกองทัพเผ่ามนุษย์
เจียงจูเซิงไม่ได้ตั้งใจที่จะล้อเลียนผู้ใด หากแต่พยายามที่จะเอาใจใครบางคนต่างหาก
อย่างไรแล้วเขาก็ได้กระทำความผิดต่อซูเฉินโดยตรง ตอนนี้เมื่อนิกายไร้ขอบเขตยิ่งกว่าสำแดงพลังของตนออกไปแล้ว เขาก็กระวนกระวายใจและพยายามพัฒนาสัมพันธไมตรีอย่างสุดฝีมือ
แท้จริงแล้วเจียงจูเซิงนั้นเป็นผู้ที่พูดจามากที่สุดเกี่ยวกับการตกลงงร่วมมือกัน และเขายังให้ความร่วมมือยิ่งกว่าตู่ชิงซี่เสียอีก
โชคไม่ดีนักที่แม้ว่าเขาจะพยายามอย่างสุดฝีมือในการแสดงตัว ซูเฉินก็ยังคงปฏิบัติต่อเขาอย่างเมินเฉยเช่นเดียวกันกับที่คนอื่น ๆ ได้รับ
เมื่อได้ยินคำล้อเลียนของเจียงจูเซิง ตู่ชิงซี่ก็หน้าร้อนฉ่า “ข้ารู้ว่าเราไม่หวาดกลัวต่อการลอบโจมตี แต่เหล่าสัตว์อสูรเองก็เชี่ยวชาญกลยุทธ์กองโจรและจะใช้ภูมิประเทศป่าไม้ให้เป็นประโยชน์ หากเราถูกลอบโจมตีที่นั่น เราก็จะต้องสูญเสียแม้จะชนะก็ตาม เรายังไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าจะต้องเผชิญกับอุปสรรคเช่นไรในการเดินทางครั้งนี้ คงจะดีกว่าหากเราป้องกันความเสียหายให้ดีที่สุดในตอนนี้”
เจียงจูเซิงยังต้องการที่จะพูดบางสิ่ง แต่ซูเฉินก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน “เจ้าพูดถูก จักรพรรดิตู่ แต่ในขณะที่การจำกัดความเสียหายคือสิ่งสำคัญ เวลานั้นยิ่งสำคัญกว่า”
เวลาหรือ?
ทุกคนมองไปยังซูเฉิน
ซูเฉินกล่าวอย่างใจเย็น “สงครามนี้ไม่ได้มีเพื่อจัดการกับสัตว์อสูรเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อจัดการกับเผ่าปักษาด้วย เรากำลังจะต่อสู้กับเผ่าปักษาที่ทุ่งหญ้าฟ้าคลั่ง ใครก็ตามที่ไปถึงก่อนจะสามารถยึดครองพื้นที่ก่อนได้ ดังนั้นแล้ว เราไม่เพียงแค่จำเป็นต้องดำเนินการอย่างมั่นคงแต่ยังต้องเร็วอีกด้วย! ด้วยการผ่านพื้นเหล่านี้ให้เร็วที่สุดเท่านั้นที่จะสามารถช่วยให้เราได้เปรียบที่ทุ่งหญ้าฟ้าลั่น”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนก็พยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน “รับทราบ!”
โดยไร้ซึ่งคำถาม ซูเฉินเลือกกลยุทธ์ที่เรียบง่ายที่สุด
เดินหน้าเป็นเส้นตรง!
ในเวลาเดียวกัน เมืองล่องนภาก็เริ่มเดินหน้าไปทางทิศตะวันตกเช่นกัน
เมื่อเปรียบเทียบกับกองทัพขนาดมหึมาของนิกายไร้ขอบเขตแล้ว ความยิ่งใหญ่ของเมืองล่องนภานั้นแสดงให้เห็นในตัวเองอยู่แล้ว
วิธีการของพวกเขาในการจัดการกับศัตรูนั้นเรียบง่ายยิ่งกว่า พวกเขาจะบุกฝ่าเข้ามาด้วยเมืองนั่นเอง
ในวันที่สามของการออกเดินทาง
เผ่าปักษาเผชิญหน้ากับศัตรูรายแรก
ปราสาทนภาระดมปล่อยการโจมตีอันเกรี้ยวกราดออกมา และสังหารจักรพรรดิอสูรผู้นำการจู่โจมในทันที
เผ่าปักษาได้เป็นฝ่ายเริ่มลงมือก่อน
ในตอนนี้ นิกายไร้ขอบเขตเพิ่งจะมาถึงเพียงป่าไม้โปร่งเท่านั้น แต่พวกเขาก็ไม่พบอุปสรรคใด ๆ ทั้งสิ้น
จักรพรรดิอสูรทั้งสามได้หลบหนีไปแล้ว