ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 5 เฟยเยว่

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 5 เฟยเยว่

สงครามนั้นซับซ้อนยิ่งนัก

แต่สงครามก็เรียบง่ายด้วยเช่นกัน

มันซับซ้อนเพราะจำนวนของกลยุทธ์มากมายที่สามารถใช้งานได้ ความแตกต่างระหว่างการแบ่งแยกของอำนาจในกองทัพ และการที่ความสามารถของผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดในการบินเพิ่มพูนกลยุทธ์ ที่สามารถใช้ในการต่อสู้ได้หลากหลายมากขึ้น

มันเรียบง่ายเพราะไม่ว่าจะมีกลยุทธ์อยู่มากเพียงไร รากฐานที่เป็นตัวกำหนดแพ้ชนะก็คือความแข็งแกร่ง!

ความแข็งแกร่งคือแก่นของทุกสิ่ง!

เมื่อช่องว่างระหว่างความแข็งแกร่งมากจนถึงระดับหนึ่ง จะไม่มีกลอุบายใดสามารถเทียบเคียงได้อีก

นี่คือเหตุผลที่จักรพรรดิอสูรทั้งสามล้วนเลือกที่จะหลบหนีไปโดยไม่แม้แต่จะคิด สิ่งเดียวกันเกิดขึ้นในทางทิศเหนือ ความไร้เทียมทานของเมืองล่องนภาทำให้จักรพรรดิอสูรตัวอื่น ๆ หนีไปเช่นกัน เมืองแห่งนี้ไม่ต่างไปจากอาวุธหุ้มเกราะขนาดยักษ์ที่หาหนทางเข้ามาในเขตแดนของสัตว์อสูร

ฝ่ายหนึ่งคือกองทัพอันไร้เทียมทานและอีกฝ่ายหนึ่งคืออาวุธหุ้มเกราะอันไร้เทียมทาน ทั้งสองฝ่ายต่างบุกรุกเข้ามาในเขตแดนของสัตว์อสูรจากสองจุดเริ่มต้น จนพวกมันต้องหนีหัวซุกหัวซุน

อสูรกายต่างหลบหนีออกจากป่าเขาลำเนาไพร

ขบวนอสูรกายขนาดยักษ์หลั่งไหลไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทวีป

นี่คือมุมมองที่ยังไม่ถูกพบเห็นโดยทวีปต้นกำเนิดมากว่าหลายหมื่นปีแล้ว สัตว์อสูรเป็นผู้กดดันให้เผ่าพันธุ์อัจฉริยะเป็นฝ่ายถอยมาเสมอ แต่วันนี้คือวันที่เผ่าพันธุ์อัจฉริยะพลิกเกมบ้าง

“เราไม่เคยถูกเหยียดหยามเช่นนี้มาก่อน!” จักรพรรดิอสูรตาแดงผู้มีเขาขนาดใหญ่คำรามลั่นด้วยความไม่พอใจ ขณะที่มันหลบหนีมากับอสูรตัวอื่น ๆ

ผู้พูดคือจักรพรรดิอสูรตาแดงผู้มีร่างกายเป็นงูเหลือมขนาดยักษ์

“เราไม่อยากหนีแล้วไงล่ะ? พวกมนุษย์แข็งแกร่งเกินไป ถ้าไม่อยากตายเราก็ได้แต่หนีเท่านั้น แม้ว่าฟ้าจะถล่ม เราก็มีใครบางคนที่แข็งแกร่งคอยคุ้มกันอยู่ ทุกอย่างจะถูกแก้ไขอย่างง่ายดาย ตราบใดที่เราสามารถไปหาจักรพรรดิเฟยเยว่ได้” จักรพรรดิอสูรตนหนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าติดจะม่วงคล้ำ

ผู้พูดคือจักรพรรดิอสูรใจม่วง จิ้งจอกผู้มีโลหิตสีเลือด

สิ่งมีชีวิตที่กำลังล่องลอยอยู่บนฟากฟ้าและถูกปกคลุมด้วยความมืดคือราชาอีกาแห่งท้องนภา

ในตอนนั้นเอง ราชาอีกาแห่งท้องนภาก็เอ่ยขึ้น “พวกเราจะไม่ไปที่นั่น”

อะไรนะ?

จักรพรรดิอสูรทั้งสองหันไปมองเขา

แม้ว่าราชาอีกาแห่งท้องนภาจะมีระดับพลังต่ำกว่าพวกมันเพียงระดับเดียว แต่ด้วยความแข็งแกร่งและอัจฉริยภาพของมัน ก็ทำให้มันกลายเป็นหัวหน้ากลุ่มไปโดยพฤตินัย

การตัดสินใจถอยทัพเองก็มาจากราชาอีกาแห่งท้องนภา

จักรพรรดิอสูรตาแดงและจักรพรรดิอสูรใจม่วงรู้ว่าราชาอีกาแห่งท้องนภาจะไม่เอ่ยสิ่งนี้ออกมาอย่างไร้เหตุผล พวกมันจึงรอฟังว่าเขาจะพูดสิ่งใดต่อไป

ราชาอีกาแห่งท้องนภาพูดต่อ “พวกมนุษย์ได้เคลื่อนไหวด้วยกันเป็นกลุ่ม จักรพรรดิอสูรเพียงตัวเดียวไม่อาจต้านทานได้ เมื่อคำนึงถึงอำนาจที่ตกเป็นของนิกายไร้ขอบเขต และข้อเท็จจริงที่ว่ากระทั่งเผ่าวิญญาณก็ถูกกำราบแล้ว กระทั่งจักรพรรดิของพวกเราสองสามตนก็ยังอาจพ่ายแพ้ได้”

จักรพรรดิอสูรตาแดงพูดขึ้น “แต่แม้ว่าจักรพรรดิอสูรก็ไม่อาจขับไล่พวกเขาไปได้ แต่เทพอสูรสามารถทำได้อย่างแน่นอนใช่ไหม?”

เผ่าพันธุ์เทพอสูรที่จักรพรรดิอสูรตาแดงกำลังพูดถึงคืออสูรกายนั่นเอง

แม้ว่าเทพอสูรจะจำศีลอยู่แทบทุกหนแห่ง พวกมันส่วนมากก็มักจะอยู่ในเขตแดนของสัตว์อสูร

ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่ามีเทพอสูรและเทพอสูรบรรพกาลที่หลับใหลอยู่กว่าครึ่งผืนทวีปของพวกตนอยู่จำนวนเท่าไร แต่ตัวเลขนั้นก็ไม่น้อยอย่างแน่นอน

ระหว่างยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาได้โจมตีเทพอสูรมาแล้วหลายต่อหลายครั้งโดยได้คว้าชัยชนะมามากมายและเจาะทะลวงลึกเข้าไปในเขตแดนของพวกมัน

แต่พวกเขาก็จำเป็นต้องถอยทัพกลับมาเสมอ

เพราะการตื่นขึ้นของเหล่าเทพอสูร

ในเทพอสูรทั้ง 9 ตัวที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ได้สังหารไป กว่า 7 ตัว ถูกสังหารในสถานการณ์เช่นนั้น

โดยไร้ซึ่งการป้องกันของเทพอสูรและเทพอสูรบรรพกาล อสูรกายทั้งหลายจึงถูกกวาดล้างไปเมื่อนานมาแล้ว

ทั้งอาณาจักรอาร์คาน่าและราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ล้วนมีโอกาสที่จะทำลายเหล่าอสูรกาย แต่พวกเขาต่างก็ล้มเหลวเพราะอสูรที่กำลังหลับใหลอยู่เหล่านี้

เป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ว่ามีเทพอสูรและเทพอสูรบรรพกาลที่ยังคงหลับใหลอยู่ในเขตแดนของสัตว์อูรอยู่มากเพียงไร แต่จนกว่าพวกมันจะตายจนหมดสิ้น ฐานที่มั่นของเหล่าเทพอสูรก็จะไม่สั่นคลอน

เหล่าสัตว์อสูรอาจไม่สามารถใช้พลังอำนาจนี้ในการโจมตีได้ แต่การป้องกันของพวกมันก็ไม่อาจบุกฝ่าไปได้อย่างเห็นได้ชัด

ดังนั้นแล้ว เทพอสูรทั้งหลายจึงไม่ใส่ใจกับการโจมตีของเผ่าพันธุ์อัจฉริยะมากนัก พวกมันรู้ดีถึงจำนวนของเทพอสูรที่ยังมีชีวิตอยู่ในเขตแดนของพวกตน

มีเทพอสูรจำนวนมากพอที่จะทำให้ผู้ที่จองหองและพยายามบุกรุกเข้ามาในเขตแดนของพวกมันต้องรู้สึกเสียดายในการตัดสินใจอันโง่เขลานี้

ถึงอย่างนั้น ราชาอีกาแห่งท้องนภาก็ดูจะไม่ได้ใส่ใจ “แล้วไง? เจ้าและข้าไม่ได้มีพื้นที่เป็นของตัวเองอีกแล้วด้วยซ้ำ ถ้าเราพยายามเข้าร่วมกับจักรพรรดิเฟยเยว่ เจ้าคิดว่าเขาจะทำอะไรกับเราล่ะ? ถ้าเราปักหลักกองทัพไว้กับเขา เขาก็คงจะใช้เราเป็นเพียงวัตถุทางสงครามเป็นแน่ หากไร้ซึ่งเขตแดนแล้ว เราก็ไม่มีเกียรติศักดิ์ศรีใด ๆ ให้พูดถึง”

จักรพรรดิอสูรตาแดงกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก “ไม่ใช่ว่าเจ้าคือผู้ที่สั่งให้ถอยทัพเองหรอกหรือ?”

ราชาอีกาแห่งท้องนภามองค้อน “เจ้ากำลังโทษข้าหรือ?”

จักรพรรดิอสูรตาแดงตัวแข็งทื่อ

จักรพรรดิอสูรใจม่วงรีบพยายามทำให้บรรยากาศกลับมาลื่นไหลขึ้น “เอาล่ะ ๆ อย่าทะเลาะกันเองเลย ราชาอีกา เจ้าก็รู้ว่าอสูรตาแดงเป็นเช่นไร เขาควบคุมตัวเองได้ยากอยู่แล้ว”

ราชาอีกาแห่งท้องนภากระแอม

เหล่าอสูรกายจะพัฒนาอัจฉริยภาพเยี่ยงมนุษย์ขึ้นหลังจากที่กลายเป็นจักรพรรดิอสูร แต่พัฒนาการอันโดดเด่นของพวกมันก็มักจะก่อให้เกิดความแปรปรวนหลายชนิดอย่างแปลกประหลาด

จักรพรรดิอสูรบางตัวก็เลือดร้อน บางตัวก็บ้าตัณหา บางตัวก็หุนหันพลันแล่น และบางตัวก็เกียจคร้าน

เหล่านี้คือความแปรปรวนทางสัญชาตญาณที่ไม่อาจปิดกั้นได้แม้ว่าจะมีอัจฉริยภาพแล้วก็ตาม

งูเหลือมตาแดงคือหนึ่งในประเภทจะที่เลือดร้อนเป็นพิเศษ บางครั้งจู่ ๆ มันก็ระเบิดอารมณ์ออกมาเองได้เสียด้วยซ้ำ

ราชาอีกาแห่งท้องนภานั้นเล็งเห็นถึงข้อเสียนี้ของตนและปล่อยวางไป เขาพูดเพียงแค่ว่า “เผ่ามนุษย์กำลังเดินหน้าเป็นเส้นตรง และดูจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเส้นทางหากไม่เผชิญเข้ากับศัตรูที่ทรงพลัง หากเป็นเช่นนั้น พวกเขาจะไปถึงยังเฟยเยว่อย่างรวดเร็ว การที่พวกเราหลีกเลี่ยงเขา แท้จริงแล้วเป็นการหลีกเลี่ยงการปะทะ”

อสูรใจม่วงปลื้มปิติ “ใช่ เราควรปล่อยให้เผ่ามนุษย์และเฟยเยว่กัดกันเองตอนที่เราโจมตีเข้าจากอีกทาง!”

“ถอยทัพหรือ?” ราชาอีกาแห่งท้องนภามองค้อนอีกครั้ง “ไม่ เราจะไม่ถอยทัพ”

อะไรนะ?

จักรพรรดิอสูรทั้งสองตกตะลึง

ราชาอีกาแห่งท้องนภามองไปยังเหล่าอสูรเบื้องล่างและกล่าว “เราจะเดินหน้า เราจะเคลื่อนไปยังเขตแดนเผ่ามนุษย์”

“ไปยังเขตแดนมนุษย์หรือ?” จักรพรรดิอสูรตาแดงและจักรพรรดิอสูรใจม่วงแผดเสียงออกมาพร้อมกัน

“ใช่แล้ว ไปยังเขตแดนมนุษย์!” ราชาอีกาแห่งท้องนภาพยักหน้า “ในเมื่อมนุษย์แห่กันเข้ามาโจมตีเรา เขตแดนของพวกมันก็จะต้องอ่อนแอเป็นแน่ เราจะโค่นล้มบ้านเก่าของพวกมัน!”

เมื่อได้ยินดังนั้น จักรพรรดิอสูรทั้งสองก็ลิงโลดอย่างถึงที่สุด

“ช่างเป็นแผนการอันหลักแหลมยิ่งนัก!”

“ทีนี้เราก็จะมีเนื้อมนุษย์นุ่ม ๆ ให้กินไม่อั้น!”

เหล่าสัตว์อสูรทั้งหมดเริ่มหัวเราะร่วน

ในขณะที่จักรพรรดิอสูรทั้งสามกำลังถกเถียงกันเรื่องแผนการ กองทัพเผ่ามนุษย์ก็กำลังเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

แม้จะเป็นฝ่ายโจมตี พวกเขาทุกคนก็เอาแต่เดินและเดิน

สิ่งมีชีวิตใดที่มีหรือไม่มีอัจฉริยภาพก็ตามล้วนหลบหนีความแข็งแกร่งของกองทัพอันทรงพลังอย่างถึงที่สุดนี้

ไม่มีสิ่งใดที่ซูเฉินจะทำได้ พละกำลังของกองทัพเผ่ามนุษย์นั้นแข็งแกร่งเกินไปและไม่อาจป้องกันได้ รวมถึง เขาจะไม่มีวันแบ่งแยกกองกำลังให้เหล่าอสูรกายได้ใจอย่างแน่นอน เขาได้แต่ส่งกลุ่มลาดตระเวนออกไปก่อนที่กองทัพหลักจะไปถึงเท่านั้น

ซึ่งอสูรกายทั้งหลายก็เป็นเครือข่ายข้อมูลที่ละเอียดทีเดียว และบางตัวกระทั่งมีทักษะการตรวจสอบที่สามารถสัมผัสถึงการเคลื่อนไหวของมนุษย์ทุกคนได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นแล้ว แต่ละขบวนอสูรที่ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องจึงหลบหนีได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าขบวนก่อน ๆ

แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกตัวจะสามารถหลบหนีไปได้

บางส่วนไม่รู้ถึงคำสั่ง บางส่วนช้าเกินไป บางส่วนโชคร้าย และส่วนอื่น ๆ ก็โง่เขลาพอที่จะอยู่ตำแหน่งเดิม… กองทัพเผ่ามนุษย์ได้เผชิญหน้ากับอสูรมากมายหลายประเภทที่ถูกทอดทิ้งไว้ราวกับใบไม้ที่พัดปลิวไปตามสายลม

ความแตกระแหงในหมู่ศัตรูนี้ช่างหอมหวานยิ่งนัก

กองทัพเผ่ามนุษย์ยังคงเดินหน้าผ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าต่อไป ไม่ว่ามันจะทรงพลัง แปลกประหลาดหรือพิลึกพิลั่นเพียงไรก็ตาม ที่จริงแล้วทหารบางคนถึงกับรู้สึกเสียดายที่ไม่มีสัตว์อสูรให้เชือดเฉือนมากกว่านี้

ทหารจากอาณาจักรเมฆาเคลื่อนและวายุโหมคือกลุ่มที่ดูตื่นตาตื่นใจมากที่สุด

พวกเขาต่อสู้กับสัตว์อสูรมาแล้วจนนับปีไม่ได้ โดยทนทุกข์ทรมานจากการโจมตีของพวกมันในทุก ๆ ปี ที่จริงแล้ว พวกเขาแทบจะมีปฏิกิริยาทางกายภาพตามธรรมชาติต่อคำว่า ‘ขบวนอสูร’ เสียด้วยซ้ำ

ตอนนี้เมื่อพวกเขามีโอกาสที่จะพลิกเป็นฝ่ายบุกและคิดบัญชีบ้าง ก็เป็นเพียงธรรมชาติที่พวกเขาจะตื่นเต้นถึงเพียงนี้ ในที่สุดพวกเขาก็สามารถแก้แค้นให้แก่ผู้คนอันเป็นที่รักที่ได้สูญเสียให้แก่กรงเล็บและคมเขี้ยวของอสูรชั่วร้ายเหล่านี้ ไม่มีการไว้ชีวิตแม้แต่ตัวเดียว

ไม่มีความขัดแย้งขนาดใหญ่เกิดขึ้น แต่ก็มีโต้เถียงกันเล็กน้อยที่ไม่ได้เป็นที่สนใจของผู้ใดที่อยู่ในระดับสูง

พวกเขาทุกคนล้วนรู้สึกเบื่อหน่าย

บางส่วนกระทั่งหยอกล้อว่าการบุกครั้งนี้เป็นเหมือนการแข่งกรีฑาเสียอีก ใครที่วิ่งเร็วกว่าก็จะเข้าใกล้ชัยชนะมากกว่า

แน่นอนว่าพวกเขารู้ว่านี่เป็นเพียงเรื่องหยอกล้อเท่านั้น

เหล่าอสูรกายจะไม่ปล่อยให้พวกเขาสะดวกสบายเช่นนี้ตลอดไปเป็นแน่ ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือพวกเขาจะเริ่มตอบโต้เมื่อไหร่เท่านั้น

แต่สิ่งเดียวที่แน่นอนคือ การตอบโต้นี้ไม่ใช่เพียงการฟื้นฟูทรัพยากร สัตว์อสูรที่ถอยทัพไปกำลังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ และพวกมันจะต้องพยายามตอบโต้อย่างแน่นอน ดังนั้นแล้ว ทันทีที่มันบังเกิดขึ้น สงครามนี้จะต้องยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน

เหล่าผู้บัญชาการต่างเตรียมการอย่างไม่หยุดหย่อน

จักรพรรดิเฟยเยว่จะโจมตีเองหรือไม่? เขาจะพยายามหนีหรือเปล่า? เขาจะร่วมมือกับจักรพรรดิทั้งสามในการโจมตีมนุษย์ด้วยกันหรือไม่? เขาจะปลุกเทพอสูรกี่ตัว? ข้อถกเถียงนั้นไร้ที่สิ้นสุด

บางกลุ่มกระทั่งเริ่มวางเดิมพันกันบนความเป็นไปได้ต่าง ๆ

อัตราเดิมพันที่จักรพรรดิเฟยเยว่จะรบอย่างสันโดษคือ 1 ต่อ 4

อัตราเดิมพันที่เขาจะหลบหนีคือ 1 ต่อ 2

อัตราเดิมพันที่เทพอสูรตัวหนึ่งจะโจมตีคือ 1 ต่อ 20

จากสถิติแล้ว แทบไม่มีความเป็นไปได้เลยที่พวกเขาจะพบเข้ากับเทพอสูรในการเผชิญหน้าครั้งแรก

เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก เมื่อเทพอสูรถูกปลุกขึ้น พวกมันจะเริ่มสิ้นลม ดังนั้นแล้ว เหล่าเทพอสูรจึงไม่เคยถูกปลุกขึ้นมาเว้นแต่เหล่าสัตว์อสูรจะอยู่ในสถานะสุดวิสัยอย่างแท้จริง

เทพอสูรคงจะบดขยี้อสูรที่พยายามปลุกมันขึ้นมาหากพวกมันไม่ได้พยายามที่จะต่อสู้เองก่อน

จักรพรรดิเฟยเยว่ดูมีแนวโน้มที่จะหลบหนีมากที่สุด

อย่างไรแล้ว เขาก็เป็นราชันจักรพรรดิอสูรเพียงตัวเดียว ไม่มีทางที่เขาจะสามารถต้านทานการบุกโจมตีของกองทัพเผ่ามนุษย์ได้

นอกจากนี้ เผ่ามนุษย์ยังมีพลังระดับระดับราชันจักรพรรดิจำนวนไม่น้อยอยู่เคียงข้างอีกด้วย

ซูเฉินคือหนึ่งในนั้น บรรพชนชราแห่งตระกูลกู่ กู่ฮุยหมิง คืออีกหนึ่ง และกู่ฉางเซิงและกู่เฟยหงล้วนมีคุณสมบัติที่จะอยู่ในระดับนั้นเช่นกัน รวมถึงม้าน้ำพลังสูญที่ทำให้จำนวนพละกำลังระดับราชันจักรพรรดิรวมเป็นทั้งหมด 5 คน

ราชันจักรพรรดิเพียงคนเดียวก็สร้างความแตกต่างได้มากมาย

แต่ถึงอย่างนั้น ทุกสิ่งก็ไม่ได้เป็นไปตามแผนการเสมอไป

หลังจากที่เดินทางมาราวยี่สิบวัน กองทัพเผ่ามนุษย์ก็มาถึงยังเขาชมจันทร์

นี่คือเขตแดนของจักรพรรดิเฟยเยว่

ร่างหลักของจักรพรรดิเฟยเยว่นั้นเป็นกระต่ายหยก มันใช้ชีวิตส่วนมากอยู่บนยอดเขาและจ้องมองไปยังดวงจันทร์บนฟ้า

เบื้องล่างคือเทพอสูรจำนวนนับไม่ถ้วนที่จ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเช่นเดียวกัน

นี่คือที่มาของชื่อเขาชมจันทร์

เมื่อกองทัพเผ่ามนุษย์มาถึง พวกเขาก็พบว่าเหล่าอสูรได้รวมตัวกันเป็นจำนวนมหาศาลและถูกจัดเรียงแถวไว้ตั้งรับพวกตน

จักรพรรดิอสูรเฟยเยว่ผู้นี้ได้เลือกที่จะยึดฐานที่มั่นและต่อสู้นั่นเอง!