ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 6 ปีนเขา

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 6 ปีนเขา

ซูเฉินรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับการตัดสินใจของจักรพรรดิเฟยเยว่

มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะไม่สงสัย

แต่ไม่ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธความปรารถนาดีของคู่ต่อสู้ด้วยการถอยกลับไปได้

ด้วยเหตุนี้เขาจึงโบกมือและส่งต่ออำนาจในการควบคุมกองทัพให้แก่ตู่ชิงซี่

ตู่ชิงซี่เป็นจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเมฆาเคลื่อน เขาย่อมได้ต่อสู้กับสัตว์อสูรอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นแล้วเขาจึงเข้าใจพฤติกรรมของพวกมันเป็นอย่างดี การมอบสายบังเหียนให้แก่ตู่ชิงซี่จึงไม่ใช่เพียงเพื่อประโยชน์ของผู้คนเท่านั้น มันยังเป็นการสร้างสมดุลระหว่างความสัมพันธ์ของพันธมิตรด้วย

ตู่ชิงซี่ไม่ทำให้ซูเฉินผิดหวังแต่อย่างใด แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งมาก แต่เขาก็ไม่ได้ทำท่าทีหลงระเริงอวดดีเลยสักนิด เขาส่งผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดออกไปทีละ 20,000 คนอย่างใจเย็น หนึ่งจากเจ็ดอาณาจักรส่วนอีกหนึ่งเป็นนิกายไร้ขอบเขต โจมตีฝั่งซ้ายและฝั่งขวา พุ่งรบขนาบเข้าทางปีกทัพทั้งสองข้าง

ถึงอย่างนั้น ผู้เชี่ยวชาญเพียงแค่ 20,000 คน ก็นับว่าทรงพลังมากเกินพอแล้ว

สถานการณ์ในสนามรบเริ่มรุนแรงยิ่งขึ้น

ทว่าในยามนี้ซูเฉินไม่ได้สนใจที่จะเฝ้าดูบทสรุปของการต่อสู้อีกต่อไป

ไม่ว่าจะทางซ้ายหรือขวา ก็มีแค่เพียงการสู้กันหมัดแลกหมัด ส่งคลื่นพลังธาตุมาต่อกรกัน ลม ไฟ สายฟ้า แสงหลากสีจากการโจมตีต่าง ๆ ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า หยาดเลือดโปรยลงมาจากฟ้าราวเม็ดฝน ท้ายที่สุดแล้ว การต่อสู้ครั้งนี้ก็ไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากสงครามปกติ

นี่คือเหตุผลที่ซูเฉินหมดความสนใจในสงครามนี้ไปอย่างรวดเร็ว

ชายหนุ่มนั่งอยู่บนบัลลังก์ของวังไร้ขอบเขต ซึ่งขณะนั้นกำลังพิงศีรษะลงบนมือที่กำลังเท้าอยู่บนพนักพิงแขน ทำท่าทีราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

เขานั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้เวลาผ่านไป

จนกระทั่งความมืดเริ่มมาเยือน เสียงโห่ร้องตะโกนจากด้านนอกเริ่มเงียบลง

ดูเหมือนว่าการต่อสู้กำลังจะจบลงในไม่ช้านี้แล้ว

ความจริงที่ว่าไม่มีใครมารายงานอะไรกับเขาหรือส่งสัญญาณใด ๆ หมายความว่าทุกอย่างยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพมนุษย์

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ถามออกไป “สถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”

ศิษย์คนหนึ่งเข้ามาและตอบว่า “จักรพรรดิเฟยเยว่พ่ายแพ้และกำลังหลบหนีไปขอรับ”

งั้นนี่ก็เป็นชัยชนะง่าย ๆ อีกครั้งเช่นนั้นหรือ?

ไม่มีกับดัก ไม่มีแผนการ การกระทำของจักรพรรดิเฟยเยว่ช่างดูโง่เขลาและอวดดี แน่นอนว่ามันมีสัตว์อสูรบางตัวที่มีนิสัยเช่นนี้จริง

แต่คิ้วของซูเฉินก็ยังคงขมวดอยู่

ทันใดนั้นเสียงร้องตะโกนยินดีก็ดังก้องมาจากด้านนอก

แนวป้องกันสุดท้ายของสัตว์อสูรได้ถูกทำลายลงแล้ว หรือก็คือชัยชนะอย่างสมบูรณ์ของเผ่ามนุษย์ และตอนนี้พวกเขาก็ส่งเสียงร้องฉลองชัยชนะนี้

นี่เป็นสงครามครั้งแรกระหว่างเผ่ามนุษย์กับสัตว์อสูร เมื่อสงครามครั้งแรกจบลงด้วยชัยชนะ จิตวิญญาณและความมุ่งมั่นของพวกเขาจึงพุ่งสูงขึ้น

มีเพียงซูเฉินเท่านั้นที่ยังคงเงียบสงบ

“ท่านเจ้านิกาย พวกเราชนะแล้ว!” เฉิงเถียนไห่ร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้นในขณะที่เขาเดินเข้ามาในห้องโถง

“โอ้” ซูเฉินพึมพำตอบ

เฉิงเถียนไห่ชะงัก “ท่านเจ้านิกาย ท่านไม่ยินดีหรือ?”

“ไม่หรอก ข้าก็แค่ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องน่ายินดีอะไรขนาดนั้น” ซูเฉินตอบ

เฉิงเถียนไห่รู้สึกสับสนกับคำพูดของซูเฉิน เขาเกาหลังคออย่างไม่เข้าใจ “ไม่ใช่เรื่องน่ายินดี? ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน?”

จวินโม่เสียถอนหายใจ “แค่จักรพรรดิอสูรเพียงตนเดียวกับสัตว์อสูรสองแสนตนก็ตื่นเต้นแล้วหรือ? ด้วยความแข็งแกร่งที่รวมกันของเรา การปัดมือแบบสบาย ๆ ก็เพียงพอที่จะเอาชนะพวกมันได้แล้ว ชัยชนะเช่นนี้น่าโอ้อวดนักหรือ? มีเพียงเจ้าเท่านั้นแหละที่ตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ราวกับว่าทั้งหมดเป็นเพราะความพยายามของตัวเองคนเดียว ผู้ใดก็รู้ว่าในสงครามประเภทนี้ การบดขยี้คู่ต่อสู้ก็ไม่ต่างจากการบดขยี้มด หลังชัยชนะถูกกำหนดไปแล้ว หากพ่ายแพ้ขึ้นมาต่างหากจึงจะน่าประหลาดใจ ชัยชนะแบบนี้ไม่ใช่เรื่องต้องตื่นเต้นยินดีสักนิด เจ้าควรจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกเสียมากกว่า”

เฉิงเถียนไห่ครุ่นคิด “อืม ก็มีเหตุผล”

ความตื่นเต้นของเขาลดกลับลงไปเล็กน้อย

“สัตว์อสูรสองแสนตน? ส่งออกมาตายเปล่า… ? โม่เสีย เจ้ารู้สึกไหมว่าสถานการณ์นี้มีบางอย่างผิดปกติ?”

“ขอรับ!” จวินโม่เสียพยักหน้า “สัตว์อสูรที่ตายไปนั้น ล้วนเป็นสัตว์อสูรระดับต่ำทั้งหมด มีเพียงไม่กี่ตัวที่อยู่ในระดับเจ้าอสูร เราสังหารเจ้าอสูรไปได้เพียง 20 ตนเท่านั้น รวมกับราชันอสูรอีกหนึ่งตน ส่วนจักรพรรดิอสูรนั้นไม่มีเลย มันไม่สอดคล้องกับความแข็งแกร่งของกองกำลังภายใต้ราชันจักรพรรดิอสูรเลยแม้แต่น้อย”

ราชันจักรพรรดิอสูรมักจะมีจักรพรรดิอสูร 5 ถึง 10 ตนอยู่ภายใต้คำสั่งของพวกมัน ตัวตนของราชันที่ทรงพลังที่สุดอาจมีจักรพรรดิใต้ปกครองมากถึง 30 ตนเสียด้วยซ้ำ และจักรพรรดิอสูรเองก็ยังมีราชันอสูรกับเจ้าอสูรในปกครองอยู่อีกจำนวนนับไม่ถ้วน

ดังนั้นจึงเป็นเป็นเรื่องแปลกอย่างยิ่งที่มีเพียงเจ้าอสูร 20 ตนกับราชันอสูรอีกหนึ่งเท่านั้น ที่สิ้นชีพในการต่อสู้ครั้งนี้

เห็นได้ชัดว่าจวินโม่เสียและคนอื่น ๆ ก็ตระหนักเรื่องนี้เช่นกัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ได้มีท่าทีตื่นเต้นที่เอาชนะสงครามนี้มาได้เลย

หลินเฉ่าเซวียนกล่าวสนับสนุนขึ้น “เราได้ยืนยันแล้วว่าจักรพรรดิเฟยเยว่นั้น มีสัตว์อสูรอยู่ภายใต้คำสั่งทั้งหมดประมาณสองแสนตนจริง ทว่ามันกลับมีราชันอสูรกับเจ้าอสูรในปกครองอยู่มากกว่านี้อีก เห็นได้ชัดว่ามันเลือกส่งสัตว์อสูรระดับต่ำทั้งหมดมาตาย เพื่อซื้อเวลาให้พวกมันที่เหลือหลบหนีไป”

“นั่นทำให้สิ่งต่าง ๆ น่าสนใจมากขึ้น เหตุใดพวกมันถึงทำเช่นนั้นกัน?” ตู่ชิงซี่เองก็เข้ามารวมวงด้วย

เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลง ทุกคนก็เริ่มกลับมาหารือกัน ทำให้ห้องโถงเริ่มคึกคักขึ้น

ทุกคนคาดเดาเกี่ยวกับการกระทำที่ดูเหมือนไร้เหตุผลของราชันจักรพรรดิอสูรในแบบของตัวเอง

“บางทีมันอาจต้องการทดสอบความแข็งแกร่งของเรา?”

“ทดสอบความแข็งแกร่งของเราด้วยการสละลูกน้องถึง 2 แสนตนงั้นรึ? แม้ว่าพวกมันจะเป็นสิ่งมีชีวิตเก่าแก่ แต่พวกมันก็ยังมีสมอง เข้าใจไหม?”

“หรือบางทีมันอาจจะยืมมือของเราเพื่อกำจัดผู้เห็นต่าง?” ศิษย์ผู้มีมนุษยธรรมอีกคนหนึ่งกล่าว

“หากพวกมันเพียงต้องการกำจัดผู้ไม่เห็นด้วย ก็ควรกำจัดจักรพรรดิอสูรและลูกน้องของมัน แทนที่จะปล่อยให้ระดับต่ำทั้งหมดต้องตายเปล่าสิ คนที่เห็นต่างในตระกูลของเจ้ามีแต่พวกคนระดับล่างงั้นหรือ?”

“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นไปได้ว่ามันเบื่อจะปกครองพวกระดับล่างแล้ว? และอยากลาจากสถานะที่มีอยู่ตอนนี้”

“เพราะงั้นมันถึงได้พาเหล่าจักรพรรดิกับเจ้าอสูรไปด้วยหรือ? ช่างเป็นความคิดที่เฉียบขาดเสียนี่กระไร” ความคิดเห็นนี้เองก็ถูกเยาะเย้ยเช่นกัน

ทุกคนมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน และมีเหตุผลสำหรับเรื่องนี้ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครตอบได้ถูกต้อง

ในท้ายที่สุดซูเฉินก็กล่าวขึ้นอย่างใจเย็น “บางครั้ง เมื่อพวกเจ้าลองตัดความเป็นไปได้ทั้งหมดทิ้ง สิ่งที่ดูเหมือนไม่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดก็คือสิ่งที่เป็นความจริง”

เฟิงจู่อิ่งสับสน “ท่านเจ้านิกายหมายถึง… ”

ซูเฉินตอบ “เฟยเยว่แค่ต้องการให้สัตว์อสูรเหล่านี้ตาย!”

ทุกคนหันมามองหน้ากัน

จักรพรรดิเฟยเยว่ต้องการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนตาย? เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น?

หลี่ฉงซานก้มหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้น “เป็นไปได้ไหมว่ามันจะทำเพื่อกระตุ้นเทพอสูร?”

ใครบางคนคัดค้านกลับในทันที “เทพอสูรจะตื่นขึ้นก็ต่อเมื่อเผ่าสัตว์อสูรถูกผลักไปอยู่ที่ขอบเหวจริง ๆ เท่านั้น การตายของอสูรแค่สองแสนตัวยังไม่นับว่ามากพอ หากเฟยเยว่ทำเช่นนั้น มันมีแต่จะเสียกองกำลังไปอย่างไร้ประโยชน์”

“ถ้างั้นมันใช้พวกนั้นเป็นเครื่องสังเวยหรือเปล่า?” กู่ชิงลั่วถามขึ้นต่อ

“สังเวยเพื่ออะไรล่ะ?”

“ข้าไม่รู้ แต่หากเราต้องการข้อสรุปที่สมเหตุสมผลที่สุด ข้าคิดว่านี่แหละคือเหตุผลที่เป็นไปได้มากที่สุดแล้ว” กู่ชิงลั่วตอบ

หลี่หวู่อี้ที่ยืนอยู่ด้านข้างพยักหน้า “ภรรยาเจ้านิกายพูดถูก หากเราต้องหาเหตุผล นี่คือสิ่งที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว”

“แต่รอบ ๆ สนามรบไม่มีร่องรอยของแท่นบูชายัญหรือค่ายกลต้นกำเนิดอยู่เลยนะ ระหว่างการสู้รบเองก็ไม่มีใครรู้สึกถึงความผันผวนของพลังต้นกำเนิดเช่นกัน” ตู่ชิงซี่กล่าวตอบ

ในฐานะผู้ดูแลการต่อสู้ สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือค่ายกลต้นกำเนิดลับใต้ดินที่รอดักจับพวกเขา ด้วยเหตุนี้ตู่ชิงซี่จึงได้ส่งหน่วยสอดแนมจำนวนนับไม่ถ้วนออกไป เพื่อสังเกตการณ์สภาพแวดล้อมอย่างละเอียดและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝันใด ๆ เกิดขึ้น ดังนั้นเขาถึงมีสิทธิที่จะพูดแย้งเรื่องนี้ออกมา

การสังเวยไม่สามารถปราศจากแท่นบูชาหรือค่ายกลต้นกำเนิดได้ ทฤษฎีนี้จึงนับว่าไม่ถูกต้องเช่นกัน

ทุกคนต่างโต้เถียงกันอย่างดุเดือดอีกครั้ง แต่น่าเสียดาย ไม่ว่าพวกเขาจะกล่าวแย้งกันไปมากแค่ไหน พวกเขาก็ไม่สามารถสรุปหาผลลัพธ์ที่ถูกต้องได้

ในที่สุด ซูเฉินก็พูดขึ้นอีกครั้ง “ข้าไม่รู้ว่าทำไมมันถึงเลือกทำเช่นนี้ แต่ข้ารู้ว่าไม่ว่าศัตรูของเราจะพยายามสิ่งใด เราจะไม่กลัวหรือถอยหนี เนื่องจากเราไม่สามารถมองทะลุแผนการของศัตรูได้ เช่นนั้นก็แค่เดินหน้าต่อไป ไม่ว่ามันจะเป็นแผนการอะไร ท้ายที่สุดมันก็ต้องปรากฏออกมาอยู่ดี ตราบใดที่เราดำเนินการตามแผนต่อไป ไม่ว่าอีกฝ่ายจะใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไร ศัตรูก็ไม่สามารถสร้างผลกระทบร้ายแรงแก่เราได้”

ประวัติศาสตร์สงครามนับพันปีทำให้ผู้คนได้รับประสบการณ์ในการต่อกรกับศัตรู ตราบใดที่พวกเขาปฏิบัติตามแผนเดิมอย่างเคร่งครัด พวกเขาจะสามารถลดความเสียหายจากการซุ่มโจมตีที่อันตรายที่สุดได้ แม้ว่าพวกเขาจะพบกับการโจมตีที่ไม่คาดคิด พวกเขาก็ยังสามารถลดการสูญเสียได้ทันท่วงที

ในเมื่อพวกเขาไม่รู้ว่าเป้าหมายของฝ่ายตรงข้ามคืออะไร ซูเฉินจึงตัดสินใจที่จะก้าวต่อไปอย่างไม่เกรงกลัวและเตรียมรับมือกับความเป็นไปได้ทั้งหมด

ความจริงก็คือศัตรูของพวกเขาไม่มีกลยุทธ์พิเศษอะไรเลย

ไม่มีสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นในสนามรบ และไม่มีอะไรถูกค้นพบจากหน่วยสอดแนม ดูเหมือนว่าจักรพรรดิเฟยเยว่จะยอมแพ้และเลือกสละสิทธิ์ในการปกครองดินแดนแห่งนี้อย่างสมบูรณ์ หลังจากที่มอบลูกน้องจำนวนมากเป็นของขวัญให้กับกองทัพมนุษย์แล้ว มันก็หนีไปทั้งอย่างนั้นโดยทิ้งสมบัติและความมั่งคั่งมากมายเอาไว้ข้างหลัง

เพราะดินแดนแห่งนี้เป็นที่มั่นของสัตว์อสูร ที่นี่จึงเต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย

สมุนไพรล้ำค่าแทบทุกชนิดสามารถพบได้ในป่า เทือกเขา และหุบเขา สำหรับเผ่าพันธุ์อัจฉริยะแล้ว พืชและสมุนไพรเหล่านี้จัดเป็นของหายากยิ่ง แต่สำหรับสัตว์เดรัจฉานแล้ว พืชและสมุนไพรเหล่านี้ก็เป็นเพียงแค่ของที่พบได้ทั่วไป

ศิษย์บางคนค้นพบดอกซากวิญญาณ 2-3 ดอกในถ้ำ มันคือสิ่งที่เคยช่วยให้ซูเฉินก้าวมาอยู่บนเส้นทางของการฝึกตน

ตัวสัตว์อสูรเองก็ถือเป็นสมบัติเช่นกัน

สัตว์อสูรกว่าสองแสนตัวนั้นไม่ต่างอะไรจากสมบัติที่กองเป็นภูเขา เหล่าศิษย์ในนิกายทำการถลกหนังเลาะกระดูกพวกมันอย่างระมัดระวัง ร่างสัตว์อสูรถูกแบ่งสรรและใช้งานอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เนื้อที่กินได้ก็กิน ที่ทำน้ำซุปได้ก็ทำ ที่เอาไปกลั่นยาได้ก็กลั่น ส่วนอื่นที่สร้างเครื่องมือต้นกำเนิดได้ก็ถูกเอาไปใช้

ในผลของการต่อสู้ครั้งนี้ วัสดุหายากที่ไม่ค่อยพบเห็นในอดีตได้กลายสินค้าทั่วไปในทันใด ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพสูงขึ้นอย่างมาก อันที่จริง การฆ่าเผ่าสัตว์อสูรนั้นน่าพอใจมากกว่าการฆ่าเผ่าวิญญาณมากนัก

นอกจากทรัพยากรที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเหล่านี้แล้ว ยังมีสมบัติมากมายที่อยู่ในวังของจักรพรรดิเฟยเยว่อีก

น่าเสียดายที่สมบัติเกือบทั้งหมดในวังถูกเฟยเยว่รวบหนีเอาไปด้วย ทว่าอย่างน้อยตัววังเองก็นับว่ามีค่ามากอยู่

ด้วยเหตุนี้ศิษย์ของนิกายไร้ขอบเขตจึงตัดสินใจรื้อพระราชวังด้วยความอาฆาตแค้น หลังจากพบว่าไม่มีสมบัติอยู่ข้างใน โดยตัววังนั้นสร้างจากโลหะหายากซึ่งเหมาะสำหรับการเอาไปหลอมเป็นเครื่องมือยิ่ง

กว่าทุกอย่างจะจบลง ฟ้าก็มืดไปเสียแล้ว

แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่จะสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ในความมืดได้ แต่ซูเฉินยังคงสั่งให้พักหนึ่งคืนก่อนจะจากไป

พวกเขาคุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวในตอนกลางวันและพักผ่อนในตอนกลางคืน แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด แต่พวกเขาก็ยังคงมีสัญชาตญาณบางอย่างหลงเหลืออยู่ พวกเขาคุ้นเคยกับการพักฟื้นในเวลากลางคืน

ซูเฉินเดินผ่านค่ายแต่ละจุด ให้เวลาเหล่าศิษย์และทหารพักผ่อนอย่างเต็มที่ เพื่อให้แน่ใจว่าสภาพของพวกเขายังคงอยู่ในระดับสูง

ค่ำคืนผ่านไปอย่างช้า ๆ

ซูเฉินไม่ได้มีความตั้งใจที่จะฝึกฝนแต่อย่างใด

เขาเงยหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้า มองดูดวงจันทร์ที่สว่างไสวอยู่บนผืนฟ้ามืดสนิท

แสงจันทร์ส่องลงมาเหนือเขาชมจันทร์ เขาที่สูงตระหง่านดูราวกับกระต่ายน้อยที่กำลังไหว้บูชาพระจันทร์อยู่

ว่ากันว่าจักรพรรดิเฟยเยว่จะขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อมองดูดวงจันทร์ทุกค่ำคืน ภูเขาลูกนี้จึงถูกตั้งชื่อตามการกระทำของกระต่ายตนนั้น

จู่ ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของซูเฉิน ไม่ช้าเขาก็เริ่มก้าวขาเดินตรงไปที่เขาชมจันทร์

แทนที่จะบิน ชายหนุ่มกลับเลือกที่เดินขึ้นไปบนภูเขาทีละก้าว ค่อย ๆ ปีนขึ้นไปบนยอดเขาอย่างช้า ๆ ภายใต้แสงจันทร์อันเงียบสงบ