ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 7 เลื่อนขั้น

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 7 เลื่อนขั้น

ด้านบนสุดของเขาชมจันทร์เป็นแท่นที่มีพื้นผิวเนียนเรียบ ซึ่งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20 จั้ง เห็นได้ชัดว่านี่เป็นผลงานของพลังต้นกำเนิด

นอกจากนี้ยังมีบัลลังก์ศิลาตั้งอยู่เคียงข้างแท่นหิน มองแล้วคงจะเป็นบัลลังก์ของจักรพรรดิเฟยเยว่

ทว่าบัลลังก์นี้กลับถูกจัดวางอยู่ในลักษณะที่แปลกประหลาด

บัลลังก์ควรจะหันหลังให้หน้าผาและหันหน้าไปทางถนนขึ้นเขา เพื่อที่จะได้สามารถเฝ้ามองเหล่าสัตว์อสูรคุกเข่าลงเมื่อมาเข้าพบได้

แต่บัลลังก์หินนี้กลับหันหน้าเข้าหาหน้าผา ห่างจากเหวเบื้องหน้าไปเพียง 2 ก้าว

แม้ว่าราชันจักรพรรดิจะสามารถเหาะเหินเดินอากาศและมุดว่ายดำดินได้ แต่การตั้งบัลลังก์ไว้เฝ้ามองความว่างเปล่า และเมินเฉยต่อสัตว์อสูรที่มารวมตัวกันอยู่ด้านหลังนั้น ให้ความรู้สึกที่ไม่ลงรอยและดูไร้เหตุผลไม่หยอก

ซูเฉินเดินตรงไปทางด้านหลังของบัลลังก์ศิลาแล้วอ้อมไปเพื่อดูด้านหน้า

เป็นบัลลังก์ที่เรียบง่ายยิ่งนัก บนพนักพิงนั้นแกะสลักเป็นรูปกระต่ายธรรมดาที่กำลังแหงนหน้าขึ้นไปหาท้องฟ้า ที่มีดวงจันทร์กลมโตลอยประดับอยู่

เมื่อซูเฉินมองดูดวงจันทร์ในคราแรก เขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลย แต่ยิ่งมองดูมากเท่าไหร่ ชายหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่ดึงดูดความสนใจมากขึ้น ทำให้ยากต่อการละสายตาจากดวงจันทร์นั้น

ความรู้สึกตกใจผุดขึ้นในหัวใจของซูเฉิน ขณะที่เขาเปิดใช้งานเนตรมองโลกจุลภาคอย่างรวดเร็ว

ถึงกระนั้นบัลลังก์นั้นก็เป็นเพียงแค่ที่นั่งหินธรรมดาที่ดูเรียบง่ายเฉกเช่นเดิม ไม่ได้มีอะไรพิเศษ

นั่นหมายความว่านี่ไม่ใช่ปัญหาที่พลังต้นกำเนิด ในเมื่อมันไม่ใช่ปัญหาที่พลังต้นกำเนิด ถ้าอย่างนั้นก็อาจจะเป็นปัญหาที่จิตวิญญาณ

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ซูเฉินก็ปิดการใช้งานเนตรมองโลกจุลภาคลง ในขณะที่ดวงตายักษ์ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังตน

มืดมน ลึกล้ำ และแฝงไปด้วยกลิ่นอายที่ลึกลับ

นี่คือเนตรดวงจิตของซูเฉิน มันเป็นทักษะที่เขาได้รับจากการซึมซับความรู้ของเผ่าวิญญาณทั้งหมดก่อนหน้านี้ เขาได้ดัดแปลงมันเพื่อใช้สำหรับการตรวจจับโดยเฉพาะ

เช่นเดียวกับที่เนตรมองโลกจุลภาคสามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ในระดับจุลภาคได้ เนตรดวงจิตนี้ก็สามารถรับรู้สิ่งที่อยู่ในระดับจิตวิญญาณได้

เมื่อเนตรดวงจิตเปิดออก ซูเฉินก็ค้นพบทันทีว่ามีสิ่งแปลก ๆ บางอย่างปกคลุมบัลลังก์หินอยู่ มันยากที่จะอธิบายว่าสิ่งนี้คืออะไร แต่เขาสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของมัน

การมีอยู่ของมันนั้นดูแปลกประหลาด ไม่สมเหตุสมผล แต่ก็มีอยู่จริง

เป็นการคงอยู่ที่ไม่สามารถอธิบายได้

ความรู้สึกนี้ทำให้ซูเฉินตัวสั่น เมื่อเขาเหลือบมองไปยังบัลลังก์อีกรอบ ภาพที่จารึกไว้บนพนักพิงก็เริ่มเปลี่ยนรูปไปอีกครั้ง

ราวกับว่าเขาถูกส่งกลับมาในช่วงเวลาหนึ่งในอดีต

ชายหนุ่มเห็นกระต่ายนั่งอยู่บนบัลลังก์ศิลา กำลังแหงนมองนภาและบูชาจันทราเต็มดวงเบื้องบน

ขณะที่ทางด้านหลัง ก็มีกลุ่มสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนกำลังบูชากระต่ายตัวนั้น

เส้นไหมบาง ๆ ในอากาศจำนวนนับไม่ถ้วน เชื่อมระหว่างดวงจันทร์กับกระต่ายผู้บูชาเอาไว้ จากนั้นมันก็รวมตัวเป็นเส้นเชือกหนาขนาดใหญ่ที่ทอดนำไปสู่ดวงจันทร์ที่สว่างไสวบนท้องฟ้า

นี่คือพิธีไหว้พระจันทร์งั้นหรือ?

ในที่สุดซูเฉินก็เงยหน้าขึ้นมองผืนนภา

เขาหันหลังกลับแล้วนั่งบนบัลลังก์ แหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าดังเดิมพลางครุ่นคิด

ทันใดนั้น อักขระที่ดูคล้ายคล้ายยันต์สีทองขนาดใหญ่ปรากฏออกมาจากบัลลังก์ศิลา ดูเหมือนบทสวดลึกลับอะไรสักอย่าง ทว่าซูเฉินก็สามารถเข้าใจความหมายของอักขระเหล่านี้ได้ในทันที จากนั้นจึงเริ่มท่องบทสวดเบา ๆ สำเนียงประหลาดหลั่งไหลออกมาจากปากของชายหนุ่ม ขณะที่อักขระสีทองเริ่มเลือนลง ในเวลาเดียวกันเส้นไหมบาง ๆ ก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเชื่อมบัลลังก์กับดวงจันทร์

ซูเฉินยังคงพึมพำบทสวดต่อไป อักขระสีทองเองก็จางลงเรื่อย ๆ กลับกันกับเส้นไหมบางที่เปล่งแสงชัดเจนมากขึ้น

ทันใดนั้นซูเฉินก็หยุดท่องลงอย่างกะทันหัน

เขาลืมตาขึ้นและแหงนมองดวงจันทร์ที่สว่างไสวบนท้องฟ้า

ดวงจันทร์ที่เคยมืดมัวก่อนหน้านี้ บัดนี้กลับกระจ่างใสอย่างหาที่เปรียบมิได้

ริมฝีปากของชายหนุ่มยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “งั้นนี่ก็คือเป้าหมายของเจ้า? เกรงว่าข้าคงจะทำให้เจ้าต้องผิดหวังเสียแล้ว”

ขณะที่พูด ซูเฉินก็โบกมือเล็กน้อย ปัดเส้นบาง ๆ ในอากาศให้ขาดออกทันที

อันที่จริง เส้นไหมเหล่านี้ไม่ได้ขาดลงเพราะเขา แต่การหยุดบทสวดนั้นได้สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อพวกมัน เมื่อไม่มีพลังเหลืออยู่ในเส้นไหมเหล่านี้พวกมันจึงทำได้เพียงขาดลง

กรร!

ซูเฉินรู้สึกราวกับว่าเขาถูกโจมตีโดยเสียงคำรามที่มองไม่เห็น

เสียงคำรามนี้ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง แต่ซูเฉินก็ยังสามารถสัมผัสได้

ราวกับว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ห่างไกลออกไป กำลังส่งเสียงร้องคำรามด้วยความเดือดดาล

อักขระทองคำบนบัลลังก์เริ่มหายไป แต่คราวนี้แทนที่มันจะหรี่แสงลง มันกลับเริ่มสลายหายไปจริง ๆ

ราวกับว่าพวกมันได้รับความเสียหายร้ายแรง

ซูเฉินลุกขึ้นจากบัลลังก์ เมื่อเขาเหลือบมองกลับไปที่ดวงจันทร์ เขาก็ตระหนักว่าความน่าดึงดูดใจของดวงจันทร์ดูเหมือนลดน้อยลง

เขาดีดนิ้วขึ้น จากนั้นภาพที่พร่ามัวและดูไม่มีตัวตนก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเขา

กระต่ายตัวหนึ่งกำลังหนีอย่างสิ้นหวังอยู่ในทุ่งหญ้า หลังจากหลบหนีหมาป่าผู้หิวโหยมาได้ในที่สุด กระต่ายที่เหนื่อยล้าก็รวบรวมกำลังสุดท้ายของเขาเพื่อขุดหลุมหลบภัยให้ตัวเอง

สิ่งที่มันไม่รู้ก็คือหลุมนั้นกลับนำไปสู่หลุมที่ลึกและใหญ่ยิ่งกว่า

กระต่ายก้าวเข้าไปด้านในด้วยความงุนงง สิ่งที่มันเห็นมีเพียงภาพจิตรกรรมฝาผนัง

พระจันทร์หนึ่งดวงกำลังสว่างไสวอยู่บนท้องฟ้า ในขณะที่สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนได้กราบไหว้บูชาอยู่เบื้องล่าง

กระต่ายรู้สึกสับสน มันไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เห็นได้อย่างเต็มที่เนื่องจากมีสติปัญญาที่จำกัด

มันทำได้เพียงมองขึ้นไปทางดวงจันทร์และก้มลงกราบไหว้ตามสัญชาตญาณ หากจะกล่าวให้ถูก นี่ไม่ใช่แม้แต่การกราบไหว้บูชา แต่เป็นการเลียนแบบที่เรียบง่ายและธรรมดาเท่านั้น

จากนั้นอักขระสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนโผล่ขึ้นมาในอากาศ

กระต่ายที่ไม่เคยรู้จักวิธีพูด จู่ ๆ ก็รู้วิธีท่องบทสวดแปลก ๆ นี้

แล้วหลังจากนั้น…

หลังจากนั้นไม่มีอีกแล้ว

ภาพเบื้องหน้าเลือนหายไปจากสายตา

นี่อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ได้ท่องบทสวดนั้นจนจบ

แต่ถึงแม้เขาจะไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ซูเฉินก็พอจะเดาได้ว่ากระต่ายตัวนั้นคงจะเป็นจักรพรรดิเฟยเยว่

แน่นอนว่านี่คือที่มาของการเติบโต

ส่วนเรื่องพระจันทร์นั้น…

ซูเฉินพ่นลม เขาแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและพึมพำกับตัวเอง “พระเจ้า ท่านคงงานยุ่งมากจริง ๆ”

แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว แต่เหล่าทวยเทพยังคงคอยควบคุมโลกนี้อยู่อย่างเงียบงัน

นี่แสดงให้เห็นว่าถึงพวกเขาจะถูกบังคับให้จากไปในอดีต แต่ก็ยังคิดที่จะกลับมาที่นี่อยู่เสมอ

มิฉะนั้นสัญญาณเหล่านี้ย่อมไม่มีทางเกิดขึ้น

แต่อะไรกันที่ขับไล่พวกเขาออกไป? แล้วเหตุใดพวกเขาถึงต้องการกลับมา? มีเทพกี่องค์? พวกเขาซ่อนอะไรเอาไว้ใต้แขนเสื้อบ้าง?

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูเฉินก็ขมวดคิ้ว

ถ้าเขาต้องการที่จะเข้าใจคำตอบของคำถามทั้งหมดนี้ เกรงว่าทางออกที่ดีที่สุด คงจะเป็นการถามจากเจียหลัว

แต่ถึงกระนั้นเจียหลัวก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณที่สูญเสียความทรงจำส่วนใหญ่ไปแล้ว หากต้องการถามบางอย่างจากเขา ก็คงจะต้องบำรุงหล่อเลี้ยงร่างวิญญาณของเขาเสียก่อน

นั่นไม่ใช่เรื่องยาก แม้ว่าเผ่าวิญญาณจะถูกกำจัดไปแล้ว แต่นิกายไร้ขอบเขตยังคงคุมตัวเชลยของเผ่าวิญญาณบางส่วนไว้เพื่อการวิจัยอยู่ และยังมีกลุ่มวิญญาณบางส่วนที่เร่ร่อนอยู่บนแผ่นดินใหญ่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือซูเฉินมีเครื่องมือสกัดจิตที่สามารถใช้ได้ทุกเมื่ออยู่กับเขา

สิ่งเดียวที่เขาวิตกกับวิธีนี้ คือตัวตนของเจียหลัว

ผลที่ตามมาของการฟื้นฟูพลังให้พระเจ้านั้นเป็นเรื่องที่สามารถจินตนาการได้อย่างง่ายดาย

เพียงเศษเสี้ยวของวิญญาณที่หลงเหลือนี้ยังสามารถแปลงร่างเป็นเทพเจ้าที่โหดร้ายได้ แล้วถ้าหากได้กลับคืนสู่สภาพที่สมบูรณ์ล่ะ จะเป็นอย่างไร?

อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาไม่เข้าใจสาเหตุของการหายตัวไปของเหล่าทวยเทพ ซูเฉินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบายใจ

คำพูดของเจ้าแห่งแดนฝันลวงตายังคงดังก้องอยู่ในหู

โลกนี้กำลังเปลี่ยนไป การกลับมาของเหล่าทวยเทพอยู่ไม่ไกล

การเปลี่ยนแปลง!

แต่อะไรกันที่เปลี่ยนไป?

ซูเฉินไม่เข้าใจ

การฟื้นฟูกลับมาของพลังต้นกำเนิด?

ไม่ นั่นไม่สามารถเป็นได้

ซูเฉินที่สังเกตพลังต้นกำเนิดได้ สามารถบอกได้อย่างชัดเจน

พลังต้นกำเนิดของทวีปดั้งเดิมยังไม่ฟื้นกลับคืนมา

แต่ถ้ามันไม่ใช่เพื่อการฟื้นฟู แล้วเหตุใดพวกเขาถึงได้หายตัวไป?

เป็นไปได้ไหมที่การหายตัวไปของพวกเขาไม่ได้เกิดจากการลดลงของพลังต้นกำเนิด?

ความสงสัยของซูเฉินยิ่งมีเท่าไรก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อเขาคิดมาถึงจุดนี้ เขาก็เหลือบมองดวงจันทร์เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังเดินจากไป

เขาตัดสินใจที่จะป้อนร่างจิตให้กับเจียหลัว 2-3 ดวงก่อน และดูว่าความทรงจำใดที่เขาจะสามารถปลุกมาได้ ทว่าก็มีความเป็นไปได้สูง ที่ชายเจ้าเล่ห์ผู้นี้จะไม่ยอมพูดอะไรเลยแม้ว่าจะจำได้ก็ตาม… หรือเขาควรจะพยายามต่อรองดู อย่าง 1 ความลับต่อ 1 ร่างจิต?

ซูเฉินไตร่ตรองสถานการณ์ขณะที่ก้าวเดินไปด้วย

แต่ทันใดนั้น เขาก็ชะงักและหยุดลงกลางทาง

จู่ ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่ทรงพลัง พวยพุ่งออกมาจากภายในร่างกายของตนเองอย่างกะทันหัน

มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้และวิเศษมาก ราวกับว่าเขาได้กินยาอายุวัฒนะขวดใหญ่ไปทั้งขวด และพลังของยาก็กำลังไหลผ่านหล่อเลี้ยงไปทั่วร่างกายของเขา ทำให้ร่างกายของเขารู้สึกสบายอย่างหาที่เปรียบมิได้

ความรู้สึกสบายนี้รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ซูเฉินรู้สึกว่าร่างกายของเขากำลังพัฒนา

นี่คือการปรับปรุงแก่นแท้พื้นฐาน

ความรู้สึกของการเลื่อนขั้น!

แม้ว่าความรู้สึกนี้จะไม่ชัดเจนเท่ายามที่ก้าวจากด่านทะลวงลมปราณสู่ด่านสู่พิสดาร หรือยามที่ก้าวจากด่านหยั่งรู้ฟ้าดินสู่ด่านมหาราชันก็ตาม แต่ซูเฉินก็รู้ว่าเขาไม่ได้เข้าใจความรู้สึกนี้ผิด มันเหมือนกับการเลื่อนระดับจากแท่นบงกช 1 ชั้นเป็น 2 ชั้น ราวกับว่ามันเป็นแค่การฝ่าฟันอุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ

มันเป็นไปได้อย่างไร?

มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?

ซูเฉินรู้สึกแปลกใจโดยสมบูรณ์ไปชั่วครู่ใหญ่

จู่ ๆ เขาก็เลื่อนขั้นได้อย่างไร?

เขาไม่ได้กินหรือทำอะไรเลย เหตุใดจู่ ๆ เขาถึงได้เลื่อนขั้นในเวลานี้กัน?

ไม่มีด่านใดที่เป็นที่รู้จักอยู่เหนือกว่าด่านมหาราชัน กฎเกณฑ์เดียวที่ใช้ตัดสินถึงการก้าวเข้าสู่ด่านมหาราชันขั้นปลายสุด มันคือความรู้สึกแปลกประหลาด ที่สามารถพบได้ที่จุดตัดระหว่างความเป็นกับความตายเท่านั้น

นี่คือสาเหตุที่ไม่มีการแบ่งแยกย่อยระดับของด่านมหาราชันขั้นปลายสุด

นอกจากนี้ เพราะความลึกลับของชีวิตและความตายนั้นยากเกินกว่าจะเข้าใจ การก้าวไปข้างหน้าเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างยิ่ง และยังตรวจสอบได้ยากยิ่งกว่า

แต่ซูเฉินแตกต่างออกไป แม้ว่าความรู้สึกที่เขาเพิ่งผ่านไปจะไม่รุนแรงนัก ราวกับสายลมเบา ๆ มากกว่า แต่พลังของเขาที่เพิ่มขึ้นในทันทีนั้นเป็นจุดสำคัญกว่า อันที่จริงชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าเขาได้ครอบครองความแข็งแกร่งของผู้ที่ฝึกฝนผ่านไปแล้ว 10 ปีมาในพริบตา

ด้วยเหตุนี้ซูเฉินจึงรู้สึกประหลาดใจและสับสนอย่างมาก

เหตุใดจู่ ๆ ข้าถึงได้เลื่อนขั้นกัน?

ข้าทำได้อย่างไรในเมื่อข้าอยู่ในด่านมหาราชันแล้ว?

เป็นเพราะพระจันทร์ที่สว่างไสวนั่นหรือเปล่า?

ซูเฉินนึกถึงจักรพรรดิเฟยเยว่

แต่กระต่ายตัวนั้นบูชาพระจันทร์ทั้งวันทั้งคืนมาหลายปีกว่าจะมาถึงจุด ๆ นี้ได้ ไม่มีความสำเร็จใดเกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน ความก้าวหน้าของซูเฉินกลับพุ่งขึ้นมาเทียบเท่ากับผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชันขั้นต้นที่ฝึกฝนมาหลายร้อยปีอย่างกะทันหัน

แม้แต่เทพเจ้าที่แยกตัวออกจากดินแดนนี้ก็ไม่สามารถมอบพลังอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ให้ใครได้ ใช่ไหม?

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังอ่านบทสวดอธิษฐานไม่จบเลย

คิดไปคิดมา ซูเฉินก็ก้มลงมองดูตัวเองอีกครั้ง ทันใดนั้น เขาตระหนักว่ามีแสงระยิบระยับสีทองจาง ๆ กำลังไหลผ่านร่างกายตัวเอง

“นี่คือ…” ซูเฉินพึมพำ

ตอนแรกชายหนุ่มคิดว่ามันเป็นการแก้แค้นรูปแบบหนึ่งจากเทพจันทรา แต่เขาตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่ามันไม่ใช่

เพราะแสงพราวระยับเหล่านี้ไม่ได้มีเจตนาร้าย กลับกันมันยังคงอยู่ตรงนั้น และช่วยส่งเสริมเขาอย่างเงียบ ๆ

นี่คือเศษเสี้ยวของพลังที่ยังไม่ถูกดูดซับไป

ซูเฉินพยายามที่จะรับรู้เกี่ยวกับพลังงานแปลก ๆ นี้ให้มากที่สุด

จู่ ๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้

“กฎแห่งพลังชีวิตงั้นเหรอ?”