ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 8 พลังศักดิ์สิทธิ์

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 8 พลังศักดิ์สิทธิ์

พลังที่มีอยู่ในโทเทมของคนเถื่อนคือกฎแห่งพลัง

หลังจากที่ซูเฉินได้รับโทเทมอื่น ๆ มา เขาก็เข้าใจถึงกฎแห่งพลังต่าง ๆ เหล่านั้น จะยกเว้นก็แต่โทเทมแห่งพลังชีวิตนี้

นั่นเป็นเพราะในตอนนั้นระดับของเขายังต่ำเกินไปที่จะเข้าใจพลังของมัน

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ใช่ว่ากฎแห่งพลังชีวิตได้หายไป แต่กลับถูกซ่อนอยู่ในร่างกายของเขา เฝ้ารอที่จะถูกกระตุ้นจากสถานการณ์พิเศษเหล่านี้

กฎแห่งพลังชีวิตคือตัวการของการเลื่อนขั้นของเขาในครานี้

จริงอยู่ที่ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะยกระดับขึ้นได้หรือไม่ มันก็ไม่สำคัญ เพราะเพียงแค่ ณ จุดนี้ก็แทบจะไม่มีเผ่าอัจฉริยะใดคุกคามเขาได้แล้ว

ถึงกระนั้นการเลื่อนขั้นนี้ก็ยังมีความหมายอยู่มาก

เพราะนั่นหมายความว่ามันยังคงมีที่ว่างสำหรับการเติบโต ความเป็นไปได้ที่ไม่สิ้นสุดในอนาคต และโอกาสใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้ก้าวไปอยู่เหนือยิ่งกว่าด่านมหาราชันขั้นปลายสุดอยู่อีก

และเมื่อไม่มีคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมคนอื่นแล้ว ซูเฉินไม่สามารถพบความสุขในการต่อสู้กับเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ โดยเฉพาะเผ่าพันธุ์มนุษย์ซึ่งเป็นเสมือนบรรพบุรุษของตนเองอีกต่อไป มันย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่ความสนใจของเขาจะเปลี่ยนเป้าไปหาการต่อสู้กับข้อจำกัดของสวรรค์แทน

ซูเฉินจึงเริ่มความท้าทายใหม่

กำจัดเผ่าสัตว์อสูร เผชิญหน้ากับเผ่าปักษา ท้าทายสวรรค์และปฐพีแล้วก้าวเข้าสู่ระดับที่สูงกว่า…

นี่คือสิ่งที่เขากำลังไล่ตาม

นั่นคือเหตุผลที่การเลื่อนขั้นครั้งนี้ จึงมีความสำคัญมากกว่าหินพลังต้นกำเนิดหลายพันล้านก้อน ท้ายที่สุดแล้วในสายตาของมหาเศรษฐี การค้นพบทิศทางใหม่ของอุตสาหกรรมย่อมมีความหมายมากกว่าการหารายได้หนึ่งร้อยล้าน

แต่ทำไมกฎแห่งพลังชีวิตถึงได้มาเปิดใช้งานแบบปุบปับในเวลานี้กัน? เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับเทพเจ้าหรือไม่?

ประเดี๋ยวก่อน!

ซูเฉินนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นได้และโพล่งออกมา “ไม่ มันไม่ใช่พระเจ้า!”

เขาหันกลับและจ้องมองไปที่บัลลังก์หินอีกครั้ง ก่อนจะปลดปล่อยพลังจิตไปทั่วทุกทิศทุกทาง

คราวนี้เขาสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่เขาไม่ทันได้สังเกตในครั้งแรก

มันเป็นความรู้สึกพิเศษที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ราวกับเส้นแบ่งระหว่างสิ่งที่มีอยู่จริงกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน แต่มันให้ความรู้สึกที่เหมือนกับว่า ร่างกายของเขาและสิ่งนี้ผสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ก่อตัวเป็นสายสัมพันธ์ที่ลึกลับ

การเชื่อมต่อที่ไม่สามารถอธิบายได้ เป็นทั้งจริงและเท็จ!

นี่เป็นความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวของซูเฉิน

ใครจะเชื่อกันว่าของแบบนี้จะมีอยู่จริง ทว่าซูเฉินก็สามารถสัมผัสได้ว่ามันมีอยู่จริง

สาเหตุที่เขาไม่ได้รับรู้ถึงมันมาก่อนเพราะเขายังไม่เข้าใจถึงกฎแห่งพลังชีวิต แต่หลังจากที่เข้าถึงกฎได้แล้ว ในที่สุดชายหนุ่มก็สามารถสังเกตเห็นมัน

การดำรงอยู่ของพลังที่สูงกว่า!

ซูเฉินไม่รู้ว่ามันเป็นพลังแบบไหน แต่เขารู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับพลังชีวิตอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นการที่จะสัมผัสถึงมันได้คงไม่เกี่ยวข้องกับการเข้าใจถึงกฎแห่งพลังชีวิต

และไม่ใช่แค่นั้น

เพราะเขาสัมผัสได้ว่าพลังนี้ดูเหมือนจะมีความเชื่อมโยงระหว่างบัลลังก์หินกับดวงจันทร์อยู่

ในที่สุดซูเฉินก็เข้าใจว่าทำไมจักรพรรดิเฟยเยว่จึงสละผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองแสนตนของมัน

มันเป็นการเซ่นสังเวยจริง ๆ!

โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีแท่นบูชาหรือค่ายกลต้นกำเนิดใด ๆ

การตายของสัตว์อสูรทั้งสองแสนนี้ พลังลึกลับที่ดูเหมือนแหล่งพลังชีวิตก็จะท่วมพื้นที่นี้ จากนั้นบัลลังก์หินก็จะดูดซับมันแล้วส่งตรงไปยังดวงจันทร์ ก่อนจะตกลงสู่มือของเทพจันทรา

นี่คือพลังที่เหล่าทวยเทพต้องการงั้นหรือ?

พวกเขาถูกสังหารเพื่อเป็นเครื่องบูชาแด่เทพพระเจ้า!

“แต่น่าเสียดายที่คนที่เจ้าเจอเป็นข้า!” ทันทีที่ซูเฉินพูดจบ เขาก็ดึงมีดไร้แสงออกมา และฟันเข้าที่บัลลังก์หิน

ตูม!

บัลลังก์หินถูกตัดออกเป็นสองส่วน

“ไม่!!!” เทพเจ้าส่งเสียงร้องคำรามด้วยความโกรธขึ้นจากที่ไหนสักแห่งในโลกภายนอก

แน่นอนว่าซูเฉินไม่รู้เรื่องนี้ และแม้ว่าเขาจะรู้ตัว เขาก็ไม่ได้สนใจอยู่ดี

ปัญหาตอนนี้คือเมื่อชายหนุ่มทำลายบัลลังก์ลงไปแล้ว เขาก็พบว่าพลังงานลึกลับรอบตัวเริ่มผันผวนและพุ่งเข้าสู่ร่างกายของตน

ใช่ กฎแห่งพลังชีวิตของเขากำลังดึงดูดสสารลึกลับที่เกี่ยวข้องกับพลังชีวิตเหล่านี้

เมื่อปราศจากแรงดึงดูดจากเทพจันทรา สสารลึกลับจึงเริ่มไหลเข้าหาซูเฉินโดยอัตโนมัติ นี่นับเป็นเรื่องดี

ซูเฉินกำลังจะดูดซับพลังลึกลับเหล่านี้ ทันใดนั้นก็มีเสียงของคนผู้หนึ่งดังขึ้นในหูของเขา “อย่าดูดซับมัน!”

อะไรนะ?

ซูเฉินสะดุ้งตกใจ ชายหนุ่มหันมองไปรอบ ๆ ทันทีแต่เขาก็ไม่พบใครในบริเวณใกล้เคียงเลย

อย่างไรก็ตาม เสียงพูดปริศนานี้ก็ยังคงก้องอยู่ในหูของเขา

เป็นภาพหลอนงั้นหรือ?

ไม่ นั่นเป็นไปไม่ได้

พลังจิตของเขาในตอนนี้เทียบได้กับเผ่าวิญญาณแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเห็นภาพหลอนหรือภาพลวงตา

แล้วใครที่ไหนในโลกนี้กันล่ะ ที่สามารถส่งเสียงของพวกเขาเข้าไปในหูของคนอื่นโดยตรงได้?

เดี๋ยวก่อน!

เสียงนั้น!!!

หัวใจของซูเฉินสั่นระรัวขึ้นในทันใด

เสียงที่คุ้นเคยเช่นนี้

ราวกับว่าเคยได้ยินมาก่อนจากที่ไหนสักแห่ง

ดวงตาของเขาพร่ามัว สายตาของเขาเหม่อลอยเมื่อความคิดย้อนเวลากลับไปในวัยเยาว์ จนถึงช่วงเวลาแห่งความมืดอันขมขื่น

“เป็นท่าน!!!”

ซูเฉินตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

ชายหนุ่มแหงนมองท้องฟ้าอีกครั้งแล้วตะโกนขึ้น “งั้นท่านก็แอบมองข้ามาโดยตลอด? ที่ผ่านมาท่านเฝ้าดูข้ามาตลอด… ทำไม? เหตุใดถึงต้องทำเช่นนั้นกับข้า? ท่านเป็นใครกันแน่! เผยตัวออกมาสิ!”

“เผยตัวออกมา!”

“เผยตัวออกมา!”

“เผยตัวออกมา!”

ซูเฉินตะโกนติดต่อกันเจ็ดถึงแปดครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเสียงของเขาดังก้องไปทั่วผืนฟ้า ทำให้นกทั่วทั้งผืนป่าแตกฮือออกจากรัง

ผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งของกองทัพบางคนสัมผัสได้ถึงความโกลาหลนี้และรีบเหินขึ้นไปในท้องฟ้า แต่ก่อนที่พวกเขาจะไปไหนได้ไกล พวกเขากลับถูกกดทับด้วยแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวสุดจะพรรณนา บีบให้พวกเขากลับลงไปบนพื้น

จากนั้นเสียงของซูเฉินก็ดังขึ้น “ข้าไม่เป็นไร ไม่จำเป็นต้องตามมา”

“เป็นท่านเจ้านิกายนี่เอง” ทุกคนถอนหายใจโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงของคนอีกฝั่ง

จากนั้นการแสดงออกของพวกเขาก็เริ่มแปลกไปอีกครั้ง

เมื่อครู่นี้ผู้ที่บินขึ้นไปมีทั้งกู่ซินหรง กู่ชิงซาน เฟิงจู่อิ่ง สามจักรพรรดิ และรวมไปถึงหลี่ฉงซาน แต่พวกเขาถูกซูเฉินบังคับให้ต้องกลับลงมา โดยไม่ทันได้เห็นแม้แต่เงาของอีกฝ่าย …นี่นับเป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่ง!

กู่ซินหรง “ความแข็งแกร่งของเด็กคนนั้นเติบโตขึ้นอีกครั้งแล้ว”

อายุของนางทำให้หญิงชราเรียกซูเฉินว่าเด็กน้อยไปตามสัญชาตญาณ

ในขณะหลี่ฉงซานรู้สึกกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดกับซูเฉินในยามนี้มาก “น้ำเสียงของเขาฟังดูไม่สบายใจเท่าไหร่นัก อย่างกับว่ามีคนทำให้เขาโกรธ”

“น่าแปลก ในตอนนี้ยังมีใครสามารถยั่วยุท่านเจ้านิกายได้อยู่อีกหรือ?” กู่ชิงซานพูดไม่ถูกไปชั่วขณะหนึ่ง

แต่เสียงตะโกนที่ว่าให้ ‘เผยตัวออกมา!’ นั่นทำให้ดูเหมือนว่าเขากำลังเสียเปรียบอยู่ยังไงอย่างงั้น

นี่มันเกินจะคาดเดาจริง ๆ

ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปเสียเวลาคิดมากดีกว่า ทุกคนคิดเช่นนั้นก่อนจะพากันกลับไปพักผ่อน

ซูเฉินไม่ได้รับคำตอบกลับมา เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากสังเกตสิ่งแปลก ๆ ที่กำลังลอยอยู่รอบตัวอย่างเงียบ ๆ

อย่าดูดซับมัน!

คำพูดเหล่านี้ดังก้องซ้ำไปมาอยู่ในหูซูเฉินราวกับคำสาป ทำให้เขาตัดสินใจไม่ถูก

พลังงานนี้ทั้งบริสุทธิ์และมีอยู่เยอะมาก มันจะต้องเป็นสิ่งที่ยอดยิ่งกว่าพลังชีวิตปกติอย่างแน่นอน ความจริงที่ว่าแม้แต่เทพจันทรายังต้องการมัน แสดงเห็นว่ามันเป็นพลังที่ดีมาก

แต่เสียงนั้นกลับบอกเขาว่าอย่าดูดซับมัน

ประเดี๋ยวก่อน พลังที่เหล่าทวยเทพต้องการ?

“พลังที่เหล่าทวยเทพต้องการ… เป็นไปได้หรือไม่ว่าสาเหตุที่ทวยเทพได้เป็นเทพ ก็เพราะดูดซับพลังเหล่านี้? งั้นนี่ก็ไม่ใช่พลังของทวยเทพแต่เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์งั้นสิ?”

ซูเฉินไตร่ตรองถึงสถานการณ์อย่างระมัดระวัง ในขณะที่สายตาของเขาค่อย ๆ เฉียบคมขึ้น

ทวยเทพอาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงอำนาจมาก แต่ตอนนี้พระเจ้าเหล่านั้นอยู่ที่ไหนล่ะ?

…ดินแดนด้านนอก!

บางทีพลังศักดิ์สิทธิ์นี้อาจช่วยให้เขากลายเป็นพระเจ้า แต่มันจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เขากลายเป็นพระเจ้าล่ะ?

ซูเฉินไม่รู้

เขาไม่รู้ว่าทำไมคนคนนั้นถึงหยุดตนเอาไว้ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าคนคนนั้นไม่ได้คิดที่จะทำร้ายเขา ถ้าไม่ใช่เพราะได้อีกฝ่าย ซูเฉินคงไม่มีวันเป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ได้

ในเมื่อคนผู้นั้นไม่ต้องการให้เขาดูดซับมัน ถ้างั้นเขาก็ไม่ควรจะดูดซับมัน

แต่…

การยอมแพ้แบบนี้ไม่ใช่นิสัยของซูเฉิน มันคงจะดีกว่าถ้าเขาสามารถเก็บรวบรวมพวกมัน และค่อย ๆ เอาไปศึกษาวิจัยได้

แล้วเขาจะรวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ได้อย่างไรล่ะ?

ซูเฉินสัมผัสได้ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์พวกนี้จะไม่คงอยู่ตลอดไป ตอนนี้บัลลังก์ถูกทำลายไปแล้ว พวกมันคงจะสลายไปอย่างรวดเร็วถ้าซูเฉินไม่พยายามดูดซับมัน

เขาจำต้องรีบคิดหาวิธี

ความเป็นไปได้นับไม่ถ้วนผุดขึ้นในใจของซูเฉิน

เจอแล้ว

ดวงตาของซูเฉินเป็นประกายเมื่อเหลือบมองไปยังบัลลังก์หินที่ถล่มลงมา

ชายหนุ่มเอื้อมมือออกไปและประทับนิ้วลงบนบัลลังก์ จากนั้นเขาก็เริ่มท่องบทสวดแปลก ๆ มันคือบทสวดเดียวกันกับที่ซูเฉินเคยท่องเมื่อตอนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์หินนั้น

อย่างไรก็ตาม คราวนี้สถานการณ์มันกลับกัน

แทนที่อักขระสีทองจะจางหายไปไปเมื่อซูเฉินท่องบทสวด ครั้งนี้พวกมันกลับปรากฏขึ้นทีละตัวตามเสียงบทสวดของเขา

อักขระเหล่านี้คือพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกควบแน่นแล้ว

อักขระก่อนหน้านี้ถูกเทพจันทราวางเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว ส่วนใหญ่มักใช้ในการถวายเครื่องบูชาและแปลงพลังศักดิ์สิทธิ์

แต่ตอนนี้ซูเฉินได้เรียบเรียงลำดับของบทสวดขึ้นใหม่

ชายหนุ่มใช้บทสวดนี้เพื่อรวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์ โดยการแปลงพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่เขาซึมซับเข้าสู่ร่างกายกลายเป็นอักขระ

ด้วยวิธีนี้เขาจะสามารถรักษาพลังศักดิ์สิทธิ์ไว้ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องดูดซับพวกมัน

ขณะที่ซูเฉินท่องบทสวด ค่ำคืนก็ได้ผ่านไปอย่างช้า ๆ ในที่สุด พลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในร่างกายของซูเฉินก็ถูกเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์

จากนั้นเขาก็ใช้บัลลังก์หินมาสร้างเป็นกล่องขึ้น โดยที่ฝากล่องด้านบนเป็นหินส่วนที่ถูกสลักภาพดวงจันทร์เอาไว้

ครั้งหนึ่งบัลลังก์หินนี้เคยถูกใช้ในการสังเวย เพื่อแปลงและดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นมันจึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้เก็บพลังศักดิ์สิทธิ์ และเมื่อซูเฉินอยู่ใกล้ ๆ มัน เทพจันทราก็คงทำได้เพียงเลิกหวังที่จะเชื่อมต่อกับพลังนั้นอีกครั้งไป

อักขระศักดิ์สิทธิ์ที่ซูเฉินสร้างขึ้นได้บรรจุเอาไว้ภายในกล่องหินหนักนี้

มีอักขระรวมทั้งหมดอยู่ 102 ตัวด้วยกัน แต่ละตัวล้วนมีพลังศักดิ์สิทธิ์ควบแน่นอยู่จำนวนมหาศาล

แต่เนื่องจากความหนาแน่นของพลัง มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใส่กล่องใบนี้ลงไปในแหวนต้นกำเนิดของเขา

หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว ซูเฉินก็กลับลงมาจากภูเขา เมื่อลงมาถึงด้านล่างเขาก็พบว่าหลี่ฉงซานกับคนอื่น ๆ กำลังรอเขาอยู่

“ท่านเจ้านิกาย เกิดอะไรขึ้นบนภูเขาลูกนั้นกัน?” หลี่ฉงซานถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

ซูเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว “อย่าถามถึงเลยจะดีกว่า”

ขณะที่พูด เขาก็หันกลับและตั้งใจจะกลับไปที่วัง

“เจ้านิกายซู ขอให้ชายชราดูกล่องในมือท่านหน่อยจะได้หรือไม่?” จู่ ๆ กู่ฮุยหมิงก็กล่าวขัดขึ้นมา

ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่กล่องนั้น ราวกับว่าเขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง

แม้แต่ซูเฉินยังต้องแสดงความเคารพต่อบรรพชนผู้นี้อยู่บ้าง

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยื่นมันให้อีกฝ่าย

กู่ฮุยหมิงไม่ได้รับมันขึ้นมา ทั้งหมดที่เขาทำคือเข้าไปเพื่อดูใกล้ ๆ เท่านั้น

ใบหน้าของเขาขยับเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ จนแทบจะแนบติดกับฝากล่องแล้ว ในขณะที่เขาพูดพึมพำ “ข้าแค่ต้องการมอง ไม่จับ… ไม่แตะ…”

ขณะที่เขาพูด ฝากล่องก็อ้าออกขึ้น

ทันใดนั้นแสงสีทองพุ่งออกมาจากกล่อง และซึมเข้าไปในดวงตาของกู่ฮุยหมิง

“อ๊าก!” กู่ฮุ่ยหมิงส่งเสียงร้องออกมาและผงะถอยหลังไป

“ท่านบรรพชน!” ทุกคนตะโกนขึ้นพร้อมกันขณะที่พวกเขารีบวิ่งเข้ามา

แต่ก่อนที่พวกเขาจะทันได้เข้าไปใกล้ จู่ ๆ กู่ฮุ่ยหมิงก็แหงนหน้าขึ้น ขณะที่ดวงตาของเขาเกิดประกายแสงจ้าทอขึ้นราวกับเปลวไฟที่ลุกโชน

“เกลียด!!!”

กู่ฮุ่ยหมิงคำรามขึ้นด้วยความโกรธ เงามังกรยักษ์โผล่ขึ้นที่ด้านหลังของคนเป็นบรรพชนและคำรามอย่างคั่งแค้นขึ้นไปยังท้องฟ้าเบื้องบน