บทที่ 8 พลังศักดิ์สิทธิ์
พลังที่มีอยู่ในโทเทมของคนเถื่อนคือกฎแห่งพลัง
หลังจากที่ซูเฉินได้รับโทเทมอื่น ๆ มา เขาก็เข้าใจถึงกฎแห่งพลังต่าง ๆ เหล่านั้น จะยกเว้นก็แต่โทเทมแห่งพลังชีวิตนี้
นั่นเป็นเพราะในตอนนั้นระดับของเขายังต่ำเกินไปที่จะเข้าใจพลังของมัน
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ใช่ว่ากฎแห่งพลังชีวิตได้หายไป แต่กลับถูกซ่อนอยู่ในร่างกายของเขา เฝ้ารอที่จะถูกกระตุ้นจากสถานการณ์พิเศษเหล่านี้
กฎแห่งพลังชีวิตคือตัวการของการเลื่อนขั้นของเขาในครานี้
จริงอยู่ที่ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะยกระดับขึ้นได้หรือไม่ มันก็ไม่สำคัญ เพราะเพียงแค่ ณ จุดนี้ก็แทบจะไม่มีเผ่าอัจฉริยะใดคุกคามเขาได้แล้ว
ถึงกระนั้นการเลื่อนขั้นนี้ก็ยังมีความหมายอยู่มาก
เพราะนั่นหมายความว่ามันยังคงมีที่ว่างสำหรับการเติบโต ความเป็นไปได้ที่ไม่สิ้นสุดในอนาคต และโอกาสใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้ก้าวไปอยู่เหนือยิ่งกว่าด่านมหาราชันขั้นปลายสุดอยู่อีก
และเมื่อไม่มีคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมคนอื่นแล้ว ซูเฉินไม่สามารถพบความสุขในการต่อสู้กับเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ โดยเฉพาะเผ่าพันธุ์มนุษย์ซึ่งเป็นเสมือนบรรพบุรุษของตนเองอีกต่อไป มันย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่ความสนใจของเขาจะเปลี่ยนเป้าไปหาการต่อสู้กับข้อจำกัดของสวรรค์แทน
ซูเฉินจึงเริ่มความท้าทายใหม่
กำจัดเผ่าสัตว์อสูร เผชิญหน้ากับเผ่าปักษา ท้าทายสวรรค์และปฐพีแล้วก้าวเข้าสู่ระดับที่สูงกว่า…
นี่คือสิ่งที่เขากำลังไล่ตาม
นั่นคือเหตุผลที่การเลื่อนขั้นครั้งนี้ จึงมีความสำคัญมากกว่าหินพลังต้นกำเนิดหลายพันล้านก้อน ท้ายที่สุดแล้วในสายตาของมหาเศรษฐี การค้นพบทิศทางใหม่ของอุตสาหกรรมย่อมมีความหมายมากกว่าการหารายได้หนึ่งร้อยล้าน
แต่ทำไมกฎแห่งพลังชีวิตถึงได้มาเปิดใช้งานแบบปุบปับในเวลานี้กัน? เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับเทพเจ้าหรือไม่?
ประเดี๋ยวก่อน!
ซูเฉินนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นได้และโพล่งออกมา “ไม่ มันไม่ใช่พระเจ้า!”
เขาหันกลับและจ้องมองไปที่บัลลังก์หินอีกครั้ง ก่อนจะปลดปล่อยพลังจิตไปทั่วทุกทิศทุกทาง
คราวนี้เขาสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่เขาไม่ทันได้สังเกตในครั้งแรก
มันเป็นความรู้สึกพิเศษที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ราวกับเส้นแบ่งระหว่างสิ่งที่มีอยู่จริงกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน แต่มันให้ความรู้สึกที่เหมือนกับว่า ร่างกายของเขาและสิ่งนี้ผสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ก่อตัวเป็นสายสัมพันธ์ที่ลึกลับ
การเชื่อมต่อที่ไม่สามารถอธิบายได้ เป็นทั้งจริงและเท็จ!
นี่เป็นความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวของซูเฉิน
ใครจะเชื่อกันว่าของแบบนี้จะมีอยู่จริง ทว่าซูเฉินก็สามารถสัมผัสได้ว่ามันมีอยู่จริง
สาเหตุที่เขาไม่ได้รับรู้ถึงมันมาก่อนเพราะเขายังไม่เข้าใจถึงกฎแห่งพลังชีวิต แต่หลังจากที่เข้าถึงกฎได้แล้ว ในที่สุดชายหนุ่มก็สามารถสังเกตเห็นมัน
การดำรงอยู่ของพลังที่สูงกว่า!
ซูเฉินไม่รู้ว่ามันเป็นพลังแบบไหน แต่เขารู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับพลังชีวิตอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นการที่จะสัมผัสถึงมันได้คงไม่เกี่ยวข้องกับการเข้าใจถึงกฎแห่งพลังชีวิต
และไม่ใช่แค่นั้น
เพราะเขาสัมผัสได้ว่าพลังนี้ดูเหมือนจะมีความเชื่อมโยงระหว่างบัลลังก์หินกับดวงจันทร์อยู่
ในที่สุดซูเฉินก็เข้าใจว่าทำไมจักรพรรดิเฟยเยว่จึงสละผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองแสนตนของมัน
มันเป็นการเซ่นสังเวยจริง ๆ!
โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีแท่นบูชาหรือค่ายกลต้นกำเนิดใด ๆ
การตายของสัตว์อสูรทั้งสองแสนนี้ พลังลึกลับที่ดูเหมือนแหล่งพลังชีวิตก็จะท่วมพื้นที่นี้ จากนั้นบัลลังก์หินก็จะดูดซับมันแล้วส่งตรงไปยังดวงจันทร์ ก่อนจะตกลงสู่มือของเทพจันทรา
นี่คือพลังที่เหล่าทวยเทพต้องการงั้นหรือ?
พวกเขาถูกสังหารเพื่อเป็นเครื่องบูชาแด่เทพพระเจ้า!
“แต่น่าเสียดายที่คนที่เจ้าเจอเป็นข้า!” ทันทีที่ซูเฉินพูดจบ เขาก็ดึงมีดไร้แสงออกมา และฟันเข้าที่บัลลังก์หิน
ตูม!
บัลลังก์หินถูกตัดออกเป็นสองส่วน
“ไม่!!!” เทพเจ้าส่งเสียงร้องคำรามด้วยความโกรธขึ้นจากที่ไหนสักแห่งในโลกภายนอก
แน่นอนว่าซูเฉินไม่รู้เรื่องนี้ และแม้ว่าเขาจะรู้ตัว เขาก็ไม่ได้สนใจอยู่ดี
ปัญหาตอนนี้คือเมื่อชายหนุ่มทำลายบัลลังก์ลงไปแล้ว เขาก็พบว่าพลังงานลึกลับรอบตัวเริ่มผันผวนและพุ่งเข้าสู่ร่างกายของตน
ใช่ กฎแห่งพลังชีวิตของเขากำลังดึงดูดสสารลึกลับที่เกี่ยวข้องกับพลังชีวิตเหล่านี้
เมื่อปราศจากแรงดึงดูดจากเทพจันทรา สสารลึกลับจึงเริ่มไหลเข้าหาซูเฉินโดยอัตโนมัติ นี่นับเป็นเรื่องดี
ซูเฉินกำลังจะดูดซับพลังลึกลับเหล่านี้ ทันใดนั้นก็มีเสียงของคนผู้หนึ่งดังขึ้นในหูของเขา “อย่าดูดซับมัน!”
อะไรนะ?
ซูเฉินสะดุ้งตกใจ ชายหนุ่มหันมองไปรอบ ๆ ทันทีแต่เขาก็ไม่พบใครในบริเวณใกล้เคียงเลย
อย่างไรก็ตาม เสียงพูดปริศนานี้ก็ยังคงก้องอยู่ในหูของเขา
เป็นภาพหลอนงั้นหรือ?
ไม่ นั่นเป็นไปไม่ได้
พลังจิตของเขาในตอนนี้เทียบได้กับเผ่าวิญญาณแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเห็นภาพหลอนหรือภาพลวงตา
แล้วใครที่ไหนในโลกนี้กันล่ะ ที่สามารถส่งเสียงของพวกเขาเข้าไปในหูของคนอื่นโดยตรงได้?
เดี๋ยวก่อน!
เสียงนั้น!!!
หัวใจของซูเฉินสั่นระรัวขึ้นในทันใด
เสียงที่คุ้นเคยเช่นนี้
ราวกับว่าเคยได้ยินมาก่อนจากที่ไหนสักแห่ง
ดวงตาของเขาพร่ามัว สายตาของเขาเหม่อลอยเมื่อความคิดย้อนเวลากลับไปในวัยเยาว์ จนถึงช่วงเวลาแห่งความมืดอันขมขื่น
“เป็นท่าน!!!”
ซูเฉินตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
ชายหนุ่มแหงนมองท้องฟ้าอีกครั้งแล้วตะโกนขึ้น “งั้นท่านก็แอบมองข้ามาโดยตลอด? ที่ผ่านมาท่านเฝ้าดูข้ามาตลอด… ทำไม? เหตุใดถึงต้องทำเช่นนั้นกับข้า? ท่านเป็นใครกันแน่! เผยตัวออกมาสิ!”
“เผยตัวออกมา!”
“เผยตัวออกมา!”
“เผยตัวออกมา!”
ซูเฉินตะโกนติดต่อกันเจ็ดถึงแปดครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเสียงของเขาดังก้องไปทั่วผืนฟ้า ทำให้นกทั่วทั้งผืนป่าแตกฮือออกจากรัง
ผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งของกองทัพบางคนสัมผัสได้ถึงความโกลาหลนี้และรีบเหินขึ้นไปในท้องฟ้า แต่ก่อนที่พวกเขาจะไปไหนได้ไกล พวกเขากลับถูกกดทับด้วยแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวสุดจะพรรณนา บีบให้พวกเขากลับลงไปบนพื้น
จากนั้นเสียงของซูเฉินก็ดังขึ้น “ข้าไม่เป็นไร ไม่จำเป็นต้องตามมา”
“เป็นท่านเจ้านิกายนี่เอง” ทุกคนถอนหายใจโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงของคนอีกฝั่ง
จากนั้นการแสดงออกของพวกเขาก็เริ่มแปลกไปอีกครั้ง
เมื่อครู่นี้ผู้ที่บินขึ้นไปมีทั้งกู่ซินหรง กู่ชิงซาน เฟิงจู่อิ่ง สามจักรพรรดิ และรวมไปถึงหลี่ฉงซาน แต่พวกเขาถูกซูเฉินบังคับให้ต้องกลับลงมา โดยไม่ทันได้เห็นแม้แต่เงาของอีกฝ่าย …นี่นับเป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่ง!
กู่ซินหรง “ความแข็งแกร่งของเด็กคนนั้นเติบโตขึ้นอีกครั้งแล้ว”
อายุของนางทำให้หญิงชราเรียกซูเฉินว่าเด็กน้อยไปตามสัญชาตญาณ
ในขณะหลี่ฉงซานรู้สึกกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดกับซูเฉินในยามนี้มาก “น้ำเสียงของเขาฟังดูไม่สบายใจเท่าไหร่นัก อย่างกับว่ามีคนทำให้เขาโกรธ”
“น่าแปลก ในตอนนี้ยังมีใครสามารถยั่วยุท่านเจ้านิกายได้อยู่อีกหรือ?” กู่ชิงซานพูดไม่ถูกไปชั่วขณะหนึ่ง
แต่เสียงตะโกนที่ว่าให้ ‘เผยตัวออกมา!’ นั่นทำให้ดูเหมือนว่าเขากำลังเสียเปรียบอยู่ยังไงอย่างงั้น
นี่มันเกินจะคาดเดาจริง ๆ
ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปเสียเวลาคิดมากดีกว่า ทุกคนคิดเช่นนั้นก่อนจะพากันกลับไปพักผ่อน
ซูเฉินไม่ได้รับคำตอบกลับมา เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากสังเกตสิ่งแปลก ๆ ที่กำลังลอยอยู่รอบตัวอย่างเงียบ ๆ
อย่าดูดซับมัน!
คำพูดเหล่านี้ดังก้องซ้ำไปมาอยู่ในหูซูเฉินราวกับคำสาป ทำให้เขาตัดสินใจไม่ถูก
พลังงานนี้ทั้งบริสุทธิ์และมีอยู่เยอะมาก มันจะต้องเป็นสิ่งที่ยอดยิ่งกว่าพลังชีวิตปกติอย่างแน่นอน ความจริงที่ว่าแม้แต่เทพจันทรายังต้องการมัน แสดงเห็นว่ามันเป็นพลังที่ดีมาก
แต่เสียงนั้นกลับบอกเขาว่าอย่าดูดซับมัน
ประเดี๋ยวก่อน พลังที่เหล่าทวยเทพต้องการ?
“พลังที่เหล่าทวยเทพต้องการ… เป็นไปได้หรือไม่ว่าสาเหตุที่ทวยเทพได้เป็นเทพ ก็เพราะดูดซับพลังเหล่านี้? งั้นนี่ก็ไม่ใช่พลังของทวยเทพแต่เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์งั้นสิ?”
ซูเฉินไตร่ตรองถึงสถานการณ์อย่างระมัดระวัง ในขณะที่สายตาของเขาค่อย ๆ เฉียบคมขึ้น
ทวยเทพอาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงอำนาจมาก แต่ตอนนี้พระเจ้าเหล่านั้นอยู่ที่ไหนล่ะ?
…ดินแดนด้านนอก!
บางทีพลังศักดิ์สิทธิ์นี้อาจช่วยให้เขากลายเป็นพระเจ้า แต่มันจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เขากลายเป็นพระเจ้าล่ะ?
ซูเฉินไม่รู้
เขาไม่รู้ว่าทำไมคนคนนั้นถึงหยุดตนเอาไว้ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าคนคนนั้นไม่ได้คิดที่จะทำร้ายเขา ถ้าไม่ใช่เพราะได้อีกฝ่าย ซูเฉินคงไม่มีวันเป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ได้
ในเมื่อคนผู้นั้นไม่ต้องการให้เขาดูดซับมัน ถ้างั้นเขาก็ไม่ควรจะดูดซับมัน
แต่…
การยอมแพ้แบบนี้ไม่ใช่นิสัยของซูเฉิน มันคงจะดีกว่าถ้าเขาสามารถเก็บรวบรวมพวกมัน และค่อย ๆ เอาไปศึกษาวิจัยได้
แล้วเขาจะรวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ได้อย่างไรล่ะ?
ซูเฉินสัมผัสได้ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์พวกนี้จะไม่คงอยู่ตลอดไป ตอนนี้บัลลังก์ถูกทำลายไปแล้ว พวกมันคงจะสลายไปอย่างรวดเร็วถ้าซูเฉินไม่พยายามดูดซับมัน
เขาจำต้องรีบคิดหาวิธี
ความเป็นไปได้นับไม่ถ้วนผุดขึ้นในใจของซูเฉิน
เจอแล้ว
ดวงตาของซูเฉินเป็นประกายเมื่อเหลือบมองไปยังบัลลังก์หินที่ถล่มลงมา
ชายหนุ่มเอื้อมมือออกไปและประทับนิ้วลงบนบัลลังก์ จากนั้นเขาก็เริ่มท่องบทสวดแปลก ๆ มันคือบทสวดเดียวกันกับที่ซูเฉินเคยท่องเมื่อตอนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์หินนั้น
อย่างไรก็ตาม คราวนี้สถานการณ์มันกลับกัน
แทนที่อักขระสีทองจะจางหายไปไปเมื่อซูเฉินท่องบทสวด ครั้งนี้พวกมันกลับปรากฏขึ้นทีละตัวตามเสียงบทสวดของเขา
อักขระเหล่านี้คือพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกควบแน่นแล้ว
อักขระก่อนหน้านี้ถูกเทพจันทราวางเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว ส่วนใหญ่มักใช้ในการถวายเครื่องบูชาและแปลงพลังศักดิ์สิทธิ์
แต่ตอนนี้ซูเฉินได้เรียบเรียงลำดับของบทสวดขึ้นใหม่
ชายหนุ่มใช้บทสวดนี้เพื่อรวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์ โดยการแปลงพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่เขาซึมซับเข้าสู่ร่างกายกลายเป็นอักขระ
ด้วยวิธีนี้เขาจะสามารถรักษาพลังศักดิ์สิทธิ์ไว้ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องดูดซับพวกมัน
ขณะที่ซูเฉินท่องบทสวด ค่ำคืนก็ได้ผ่านไปอย่างช้า ๆ ในที่สุด พลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในร่างกายของซูเฉินก็ถูกเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์
จากนั้นเขาก็ใช้บัลลังก์หินมาสร้างเป็นกล่องขึ้น โดยที่ฝากล่องด้านบนเป็นหินส่วนที่ถูกสลักภาพดวงจันทร์เอาไว้
ครั้งหนึ่งบัลลังก์หินนี้เคยถูกใช้ในการสังเวย เพื่อแปลงและดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นมันจึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้เก็บพลังศักดิ์สิทธิ์ และเมื่อซูเฉินอยู่ใกล้ ๆ มัน เทพจันทราก็คงทำได้เพียงเลิกหวังที่จะเชื่อมต่อกับพลังนั้นอีกครั้งไป
อักขระศักดิ์สิทธิ์ที่ซูเฉินสร้างขึ้นได้บรรจุเอาไว้ภายในกล่องหินหนักนี้
มีอักขระรวมทั้งหมดอยู่ 102 ตัวด้วยกัน แต่ละตัวล้วนมีพลังศักดิ์สิทธิ์ควบแน่นอยู่จำนวนมหาศาล
แต่เนื่องจากความหนาแน่นของพลัง มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใส่กล่องใบนี้ลงไปในแหวนต้นกำเนิดของเขา
หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว ซูเฉินก็กลับลงมาจากภูเขา เมื่อลงมาถึงด้านล่างเขาก็พบว่าหลี่ฉงซานกับคนอื่น ๆ กำลังรอเขาอยู่
“ท่านเจ้านิกาย เกิดอะไรขึ้นบนภูเขาลูกนั้นกัน?” หลี่ฉงซานถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
ซูเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว “อย่าถามถึงเลยจะดีกว่า”
ขณะที่พูด เขาก็หันกลับและตั้งใจจะกลับไปที่วัง
“เจ้านิกายซู ขอให้ชายชราดูกล่องในมือท่านหน่อยจะได้หรือไม่?” จู่ ๆ กู่ฮุยหมิงก็กล่าวขัดขึ้นมา
ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่กล่องนั้น ราวกับว่าเขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
แม้แต่ซูเฉินยังต้องแสดงความเคารพต่อบรรพชนผู้นี้อยู่บ้าง
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยื่นมันให้อีกฝ่าย
กู่ฮุยหมิงไม่ได้รับมันขึ้นมา ทั้งหมดที่เขาทำคือเข้าไปเพื่อดูใกล้ ๆ เท่านั้น
ใบหน้าของเขาขยับเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ จนแทบจะแนบติดกับฝากล่องแล้ว ในขณะที่เขาพูดพึมพำ “ข้าแค่ต้องการมอง ไม่จับ… ไม่แตะ…”
ขณะที่เขาพูด ฝากล่องก็อ้าออกขึ้น
ทันใดนั้นแสงสีทองพุ่งออกมาจากกล่อง และซึมเข้าไปในดวงตาของกู่ฮุยหมิง
“อ๊าก!” กู่ฮุ่ยหมิงส่งเสียงร้องออกมาและผงะถอยหลังไป
“ท่านบรรพชน!” ทุกคนตะโกนขึ้นพร้อมกันขณะที่พวกเขารีบวิ่งเข้ามา
แต่ก่อนที่พวกเขาจะทันได้เข้าไปใกล้ จู่ ๆ กู่ฮุ่ยหมิงก็แหงนหน้าขึ้น ขณะที่ดวงตาของเขาเกิดประกายแสงจ้าทอขึ้นราวกับเปลวไฟที่ลุกโชน
“เกลียด!!!”
กู่ฮุ่ยหมิงคำรามขึ้นด้วยความโกรธ เงามังกรยักษ์โผล่ขึ้นที่ด้านหลังของคนเป็นบรรพชนและคำรามอย่างคั่งแค้นขึ้นไปยังท้องฟ้าเบื้องบน