ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 9 ติดตาม

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 9 ติดตาม

มังกรสุริยะปลดปล่อยกลิ่นอายทรงพลังพลางคำรามดุดัน ขดตัวม้วนอยู่บนอากาศ

พร้อมกันนั้นกล่องของซูเฉินก็ตอบรับด้วยการเปล่งแสงสว่างออกมาแต่คล้ายจะต้านกลิ่นอายมังกรสุริยะ

เป็นภาพที่ทำให้หลี่ฉงซานและคนอื่นตกตะลึงมาก แต่สายตาซูเฉินกลับเปล่งประกายด้วยความมุ่งหวัง

เขาพลันเก็บมันลงไป แสงทั้งหมดหายไปในคราวเดียว มังกรสุริยะที่จู่ ๆ ศัตรูหายไปจึงคำราม บินวนรอบฟ้าคราหนึ่งแล้วจากไป

“ฮ้า!”

ผลจากการกระทำกะทันหันส่งผลให้กลิ่นอายบรรพชนตระกูลกู่ลดลงมาก

แม้เขาจะอยู่มานาน แต่จิตวิญญาณมิเคยเสื่อมถอย ทว่าตอนนี้เพียงไม่กี่ชั่วอึดใจกลับรู้สึกคล้ายชราลงหลายร้อยปี กลายสภาพเป็นชายชราผู้หนึ่ง

กู่ฮุยหมิงถอนหายใจยาว “ไม่คิดเลยว่า วิชาจิตสงบที่รักษามาชั่วชีวิตจะถูกทำลายเช่นนี้”

“บรรพชน!” กู่ซินหรงและคนตระกูลกู่คนอื่น ๆ รีบเข้ามาประคองกู่ฮุยหมิง

มีแต่พวกเขาที่รู้ว่าอายุขัยยืนยาวของกู่ฮุยหมิงไม่เพียงเพราะมีสายเลือดมังกรสุริยะ แต่เป็นเพราะบำเพ็ญวิชาจิตสงบด้วย

ไม่มีใครรู้ว่าจู่ ๆ มันจะพังทลายลงเช่นนั้น อายุขัยหลี่กู่ฮุยหมิงลดลงมากทีเดียว

เมื่อคนตระกูลกู่รู้ดังนี้ ทั้งหมดก็ตวัดสายตามองซูเฉินโดยไม่สนว่าเขาเป็นเจ้านิกายอีก

ทว่ากู่ฮุยหมิงกลับโบกมือไม่ใส่ใจ “ช่างเถอะ คงเป็นชะตากระมัง ใช้ชีวิตมานานก็น่าเบื่ออยู่แล้ว อย่างน้อยตอนนี้เวลาที่เหลืออยู่ก็ใช้ชีวิตอย่างสบายใจได้แล้ว”

ว่าแล้วก็ยืนขึ้นอีกครั้งหนึ่ง จิตวิญญาณพุ่งทะยาน ร่างกายกลับคืนสู่ความเยาว์วัย

แต่ทุกคนรู้ว่าครั้งนี้เป็นเพียงภาพลวงเท่านั้น

ซูเฉินโพล่งถาม “บรรพชน ท่านยังรั้งอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่?”

กู่ฮุยหมิงหัวเราะแหย “ตอบยาก คงได้อีกสามถึงห้าเดือนเป็นอย่างต่ำนั่นล่ะ สัญญาว่าหากยังไม่ได้เห็นเจ้าสู้กับหยงเยี่ยหลิวกวงข้าจะยังไม่ยอมตาย ข้ายังอยากเห็นเจ้ากวาดล้างพวกปักษาอยู่”

ซูเฉินพยักหน้า

“อย่าพูดเรื่องนั้นกันตอนนี้เลยเถอะ เจ้ารู้ไหมว่ามันคืออะไร?” คนบรรพชนที่วิชาจิตสงบถูกทำลายไปแล้วพูดเยอะขึ้น กลิ่นอายเริ่มเพิ่มสูงขึ้นชัดเจน

“อักขระเทพที่สร้างขึ้นจากพลังศักดิ์สิทธิ์” ซูเฉินตอบ

“อืม” กู่ฮุยหมิงดูไม่แปลกใจกับคำซูเฉิน “เจ้าไปได้มาจากไหน?”

ซูเฉินจึงอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น และเล่าถึงความตั้งใจของจักรพรรดิเฟยเยว่

“จะบอกว่าจักรพรรดิเฟยเยว่ได้พลังมาจากเทพจันทรางั้นหรือ? แล้วลูกน้องสองแสนแท้จริงแล้วเป็นเครื่องสังเวยแก่เทพจันทรา? อักขระเทพที่เจ้ามีก็มาจากเครื่องสังเวยเหล่านั้นหรือ?” ได้ยินคำอธิบายแล้วทุกคนก็พากันอึ้งไป

ไม่มีใครคาดคิดว่ายังมีพลังอื่นนอกเหนือจากพลังต้นกำเนิดอยู่อีก

“แล้วพลังศักดิ์สิทธิ์กับพลังต้นกำเนิดต่างกันอย่างไรเล่า?” กู่ชิงลั่วถามคำถามที่ทุกคนสงสัย “มันแกร่งกว่าหรือว่า…”

ซูเฉินส่ายหน้า “หากแค่เรื่องพลังเหนือกว่าหรือแกร่งกว่าก็ไม่สำคัญหรอก เพราะความแกร่งใช้จำนวนเข้าเสริมได้ เทพอสูรบรรพกาลและอสูรร้ายต่างใช้พลังต้นกำเนิด แต่ความต่างพลังมิอาจประมาณได้ พลังศักดิ์สิทธิ์นั้นแตกต่างเพราะมันเกี่ยวข้องกับกฎแห่งพลัง”

ซูเฉินเพิ่งสัมผัสพลังศักดิ์สิทธิ์ได้หลังจากทำความเข้าใจกฎแห่งพลังชีวิต ชัดเจนว่าพลังศักดิ์สิทธิ์นี่คงเกี่ยวข้องกับแก่นชีวิตด้วยเป็นแน่

แต่เรื่องนี้ซูเฉินเพิ่งมารู้ทีหลัง

และจะพิสูจน์อย่างไรนั้นง่ายดายมาก

ซูเฉินหันไปมองรอบกาย เลือกหินมาก้อนหนึ่ง จากนั้นก็แกะสลักมันกลายเป็นรูปปั้นอย่างรวดเร็ว เขาวางมือลงเหนือรูปปั้นและใช้กฎแห่งพลังผนึกเซียน

รูปปั้นส่งเสียงเปรี๊ยะก่อนจะมีชีวิตขึ้นมา

กฎแห่งพลังสามารถมอบจิตให้กับของไร้ชีพได้ ทุกคนรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว

ทว่าจากนั้นซูเฉินก็เปิดกล่องในมือ ดึงอักขระตัวหนึ่งออกมาอย่างช่ำชองแล้วตบมันลงบนรูปปั้น จากนั้นปิดกล่องลง ทั้งหมดเกิดขึ้นในพริบตา รูปปั้นเริ่มสั่นเทิ้มก่อนจะแหงนหน้าเปล่งเสียงคำรามลั่น กลิ่นอายพุ่งทะยานขึ้นรวดเร็ว

แต่ซูเฉินยังลงมือไม่เสร็จ

ต่อมาซูเฉินทำมือสะบั้นอากาศ เปิดรอยแยกพลังสูญ เอื้อมมือเข้าไปอย่างไร้กลัว ทุกคนเห็นแล้วตะลึงงัน ซูเฉินเชี่ยวชาญกฎแห่งพลังสูญถึงขั้นที่สามารถเปิดรอยแยกได้ตามใจแล้ว หมายความว่าเขาไม่จำเป็นต้องใช้แหวนเก็บสิ่งของอีก

ซูเฉินเก็บมือกลับมาพร้อมกับบางอย่าง

โลหะกลั่นเทพดารา!

โลหะสุดล้ำค่าบนทวีป! น่าเสียดายที่มันทรงพลังมากจนไม่มีใครหาทางนำมันมาใช้ให้เหมาะได้

ทว่าวันนี้ซูเฉินเผยให้เห็นแล้วว่าเขารู้วิธีใช้มันแล้ว

ซูเฉินใช้อักขระพลังศักดิ์สิทธิ์อีกตัวหนึ่ง ผนึกมันลงบนก้อนโลหะกลั่นเทพดาราขั้นกว่า เกิดเป็นแสงเรืองส่องออกมาจาง ๆ จากนั้นก็ลูบมือผ่านโลหะก้อนนั้น ผงสีทองพลันปลิวว่อน ราวกับเขาได้ปัดฝุ่นขนาดจิ๋วออกมาจากก้อนแร่ก็มิปาน

ผงทองโปรยลงบนรูปปั้น ประหลาดนักที่กลับทำให้กลิ่นอายของมันอ่อนลง ไม่นานรูปปั้นก็กลับไปนิ่งสงบ ความต่างมีเพียงมันดูตัวใหญ่และหนักขึ้นเท่านั้น

หลี่หวู่อี้ตาเป็นประกาย

สายเลือดนิมิตลาวัณย์ทำให้สายตาเขาเฉียบคมขึ้น จึงกล้าพูดว่า “หุ่นนี่เหมือนจะเป็นหุ่นเชิดยักษ์”

หุ่นเชิดยักษ์?

ทุกคนชะงักไป

เผ่ามนุษย์ครองหุ่นเชิดยักษ์ทั้งหมด 4 ตัว สร้างขึ้นจากของหายากทั้งสิ้น ต้องใช้แกนพลังงานแห่งซาร์คที่เผ่าอาคาร์น่าทิ้งไว้ในการให้พลังงาน ซึ่งเป็นกลไกสลับซับซ้อน ดังนั้นซูเฉินจึงสร้างขึ้นมาเพียง 4 ตัว

แต่ตอนนี้เขากลับสามารถสร้างหุ่นเชิดยักษ์ขึ้นมาในชั่วพริบตาได้เสียเฉย ๆ นี่มันเรื่องน่าขันอะไรกัน?

“ทดสอบสักหน่อยก็รู้แล้ว!” ฉู่หยวนว่าแล้วก็สะบัดท่าดัชนีชี้ใส่รูปปั้น

รูปปั้นไม่คิดหลบ เพียงแต่ทนรับท่าดัชนีไว้แล้วปล่อยหมัดโต้กลับมา

ฉู่หยวนสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลจากหมัดธรรมดาหมัดนี้ เขากัดฟันกระแทกหมัดกลับไป

แรงปะทะเข้าประสาน ส่งคลื่นพลังมหาศาลตีออกรอบทิศ

ตูม!!!

พายุพลังรุนแรงปะทุขึ้นทุกหนทุกแห่ง

จุดที่พลังปะทะกันยังเกิดหลุมลึกอีกด้วย

เคราะห์ดีที่ทุกคนอยู่ด่านมหาราชันกระทั่งชิงลั่วก็ด้วย จึงทำให้สามารถทานทนพลังโดยไม่เป็นอะไรได้

รูปปั้นหยุดนิ่งอีกครั้ง ทว่าฉู่หยวนหายไปแล้ว

อึดใจต่อมา ฉู่หยวนก็กลับมา หน้าแดงดูเล็กน้อย ไม่ว่าเขาจะรวดเร็วอย่างไรก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าถูกหุ่นเชิดซัดกระเด็นไปเมื่อครู่

“มันน่าจะแกร่งพอตัว แต่กลับหัวทื่อไปสักหน่อย หากข้าประมือกับมันตรง ๆ ต้องชนะแน่” ฉู่หยวนว่าพลางพยายามรักษาหน้าตน

ซูเฉินหัวเราะแล้วส่งสายตามอง “ก็เพราะว่ามันเพิ่งเกิด ยังไม่ทันได้เรียนรู้เลย”

“เรียนรู้หรือ? มันเรียนรู้ได้ด้วย?” ทุกคนตกตะลึง

“ย่อมได้” ซูเฉินตอบ “ข้ามอบจิตให้มัน พลังศักดิ์สิทธิ์มอบพลังแกร่งเหนือชั้นให้มัน และโลหะกลั่นเทพดาราขั้นกว่าก็มอบร่างกายแสนแกร่งให้มัน มีสามอย่างนี้จึงสร้างหุ่นเชิดขึ้นมาได้ มันเรียนวิชาต่อสู้และวิชาต้นกำเนิดได้ ตอนนี้มันก็เหมือนกับมหาราชันน้อย ต้องได้รับการชี้แนะสักหน่อยจึงจะเติบโตเต็มที่”

ซูเฉินเหลือบมองรูปปั้นที่คุกเข่าอยู่ข้างกาย

เห็นได้ชัดว่าเมื่อมอบจิตให้ ซูเฉินก็กลายเป็นเจ้านายหนึ่งเดียวของมันไปแล้ว

“พลังศักดิ์สิทธิ์… คือพลังศักดิ์สิทธิ์เองหรือนี่!” กู่ฮุยหมิงพึมพำตกตะลึง “เป็นพลังที่น่าเหลือเชื่อพอกับกฎแห่งพลังเชียว”

“เช่นนั้นแล้ว มันคงเคยเป็นเทพที่แท้จริงที่เคยอยู่บนทวีปต้นกำเนิดกระมัง” หลี่ฉงซานเอ่ย

หากพลังศักดิ์สิทธิ์ควบคุมกฎแห่งพลัง ย่อมมีความสัมพันธ์โยงกันแน่ หรือก็คือเทพที่ถูกเนรเทศเหล่านี้ไม่ใช่คนนอก แต่กำเนิดขึ้นที่นี่ ทว่าถูกบังคับให้ต้องจากไปด้วยสาเหตุที่ยังไม่อาจล่วงรู้

พลังเบาบางลง เทพเจ้าลาจาก เทพอสูรบรรพกาลจมลงสู่ห้วงหลับใหล พลังศักดิ์สิทธิ์เริ่มจางหาย

ต้องมีบางอย่างเชื่อมเหตุเหล่านี้เข้าด้วยกันแน่

ความคาดเดาความเป็นไปได้ทั้งหลายประเดประดังเข้ามา หากจะมีการต่อสู้เหนือจินตนาการเคยเกิดขึ้นและได้ทำลายผนึกโบราณลงไปอย่างไม่ได้ตั้งใจก็คงไม่แปลก

กระนั้นก็ยังมีปริศนาของเทพที่ยังไม่ได้รับคำตอบ

พวกเทพทำอะไรอยู่เบื้องหลังกันแน่ แล้วสนธิสัญญานิรันดร์กาลคืออะไรกัน?

คำตอบอาจเดาได้ แต่หากไม่เดินจนสุดทางก็คงไม่พบคำตอบที่แท้จริง

คนอื่น ๆ ดูสนใจอยากได้ประโยชน์จากการค้นพบใหม่ของซูเฉินมากกว่า

“วิธีนี้สร้างหุ่นเชิดยักษ์ได้เท่าไหร่?” กู่ซินหรงถาม

ซูเฉินตอบ “หุ่นเชิดตัวนี้สร้างขึ้นจากหลากวิธี มีทั้งพลังศักดิ์สิทธิ์ กฎแห่งพลัง และโลหะกลั่นเทพดาราขั้นกว่า การใช้กฎแห่งพลังไม่เป็นปัญหากับข้า โลหะกลั่นเทพดาราขั้นกว่าก็ไม่มีอะไร ปัญหาหลักคือพลังศักดิ์สิทธิ์ จำนวนอักขระเทพที่ข้ามีอยู่ทั้งหมดมีจำกัด หุ่นเชิดยักษ์ทุกตัวจะใช้ 2 อักขระ ข้าเหลืออยู่จำนวน 102 ตัว สร้างหุ่นเชิดยักษ์ได้มากสุด 51 ตัว ถ้าหากใช้วิจัยด้วยก็คงไม่พอสร้าง 50 ตัวด้วยซ้ำ”

เมื่อได้ยินว่าซูเฉินสามรถสร้างหุ่นเชิดยักษ์เกือบ 50 ตัวได้ง่ายดายเช่นนั้น ทุกคนก็อดส่งเสียงเหลือเชื่อขึ้นไม่ได้

หุ่นเชิดเหล่านี้เป็นหุ่นเชิดยักษ์นะ! แต่ละตัวแกร่งเทียบเท่ากับด่านมหาราชันทีเดียว

แล้วหุ่นเชิดยักษ์ 50 ตัวจะเป็นอย่างไร?

บ้างถึงกับคิดว่า เจ้าก็เก่งขนาดนี้แล้ว จะต้องเก่งไปถึงไหนกันอีก?

แต่คนอื่น ๆ ไม่พอใจกับการตัดสินใจนี้

กู่ซินหรงเอ่ยเสียงไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “เจ้าจะใช้วิจัยหรือ? เสียเปล่านัก”

เห็นชัดว่านางคิดว่าสมควรนำมันไปใช้สร้างหุ่นเชิดยักษ์มากกว่า

ซูเฉินยิ้มบาง “ท่านไม่เข้าใจความงดงามของงานวิจัยบ้างเลย”

กู่ซินหรงตวัดสายตามอง กำลังจะระเบิดแรงโกรธ แต่ก็จำได้ว่าเขาเหนือกว่านางแล้ว สามารถสร้างหุ่นเชิด 50 ตัวที่แกร่งเทียบนางขึ้นได้อย่างง่ายดาย คิดแล้วความโกรธจึงจางลง

กู่ชิงลั่วถาม “เช่นนั้นเจ้าสร้างอักขระศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ขึ้นเองหรือ? ต่อไปก็จะสร้างขึ้นได้อีกใช่หรือไม่?”

เป็นคำตามที่แตะปมปัญหาทีเดียว

ซูเฉินคิดครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้าน้อย ๆ

เมื่อเห็นดังนั้น ทุกคนจึงตื่นเต้นนัก มีแต่จักรพรรดิหลายทวีปเท่านั้นที่ความสิ้นหวังกัดกลืนจิต เพราะความหวังที่เป็นดั่งด้ายเส้นสุดท้ายได้สะบั้นไปแล้ว

นิกายไร้ขอบเขตน่ากลัวมากอยู่แล้ว แต่ซูเฉินยิ่งพัฒนาความน่ากลัวได้เพิ่มขึ้นจนน่าตกใจยิ่งกว่า พละกำลังของชายหนุ่มในตอนนี้เหนือกว่าใครในใต้หล้าไปแล้ว

ทว่าซูเฉินยังเอ่ยต่อ “แต่การจะสร้างอักขระเทพขึ้นต้องใช้สิ่งมีชีวิตสังเวยให้เท่าเทียมกัน ตัวอักษรราวร้อยตัวนี้ใช้เครื่องสังเวยเป็นลูกน้องสองแสนของจักรพรรดิเฟยเยว่”

กู่ชิงลั่วหัวเราะ “เราก็จะสังหารอสูรกายพวกนี้อยู่แล้วนี่?”

“ถูกต้อง” ซูเฉินตอบ

เจียงจูเซิงทนไม่ไหวอีกต่อไป “นิกายไร้ขอบเขตคิดจะสร้างหุ่นเชิดยักษ์ขึ้นอีกกี่ตัวกันแน่? ที่มีอยู่ตอนนี้ยังไม่พออีกหรือ?”

“พอหรือ? มันจะพอได้อย่างไร?” ซูเฉินตอบเสียงสงบ “ประมือกับพวกเจ้าอาจพอ แต่จะปะทะกับเทพอสูร เทพอสูรบรรพกาล หรือกับพวกเทพยังนับว่ายังน้อยเกินไป”

ทุกคนตะลึงในความทะเยอทะยานของเขา

พวกเขาไม่รู้ว่าซูเฉินเปลี่ยนจุดหมายเมื่อไหร่ แต่ตอนนี้ชายหนุ่มไม่คิดครอบครองทั่วทั้งทวีปอีกต่อไป

ตอนนี้เขาบรรลุขั้นสูงกว่าแล้ว จึงไม่แปลกที่จุดมุ่งหมายจะต้องขยับสูงขึ้นด้วย