ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 10 ห้ามพูด

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 10 ห้ามพูด

หากมีพลัง เขาก็จะนำมาใช้

ซูเฉินสร้างหุ่นเชิดยักษ์อีก 45 ตัวขึ้นมาอย่างไม่มีลังเล นอกจากที่มีอยู่เดิม 5 ตัวแล้ว รวมกันได้เป็น 50 ตัวพอดี อักขระที่เหลือเขาจะนำไปวิจัย

หุ่นเชิดยักษ์ 50 ตัวเหล่านี้กลายเป็นไพ่ลับของซูเฉินไปแล้ว

แต่นอกจากคนที่เข้าร่วมประชุมวันนั้นแล้วก็ไม่มีใครรู้ถึงเรื่องนี้อีก

ซูเฉินค่อย ๆ เผยความลับ สั่งไว้เด็ดขาดว่าหากใครกล้าแพร่งพรายออกไปเขาจะสังหารทิ้งเสีย

นับเป็นครั้งแรกที่เขาขู่จะสังหารคนที่แกร่งถึงขั้นนำอาณาจักรได้

ในวันนั้น กองทัพยังเดินหน้าต่อ รุดหน้าเข้าไปยังแดนสัตว์อสูร

ที่แห่งนี้เป็นสถานที่รกร้างป่าเถื่อน มีภูเขาสูง มีต้นไม้ใหญ่ และยังมีสถานที่อันตรายตามธรรมชาติกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด มีทรัพยากรล้ำค่าเติบโตอยู่อย่างล้นหลาม ไม่ว่าเดินทางไปที่ใดก็พบเจอ

ดังนั้นหลายคนจึงแนะนำว่าให้แยกกลุ่มกันเพื่อเก็บเกี่ยวทรัพยากรได้ดียิ่งขึ้น

ทว่าซูเฉินปัดคำแนะนำนั้นตกไปทันที

ศึกที่ทุ่งหญ้าฟ้าคลั่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ใครไปถึงก่อนย่อมได้เปรียบ

ซูเฉินไม่อยากเดินทางล่าช้าเพื่อเก็บเกี่ยวผลกำไรเพียงเล็กน้อย ดังนั้นจึงยืนกรานจะเดินหน้าต่อไม่หยุดยั้ง แต่ก็ยังรู้ว่าทุกคนต้องกินต้องใช้ จึงส่งกลุ่มคนหนึ่งพันคนออกลาดตระเวน เก็บเกี่ยวทรัพยากรที่พบเจอระหว่างทาง

“หานเฟิง! หานเฟิง! ได้ยินหรือไม่? ท่านเจ้านิกายจะจัดกลุ่มหนึ่งพันคนออกลาดตระเวนหาทรัพยากร ตอนนี้กำลังหาอาสาสมัครอยู่!”

ฉางเหอเบียดคนเดินไปหาเยี่ยเฟิงหาน ตะโกนเสียงตื่นเต้น “เราน่าจะไปนะ สถานที่รกร้างเช่นนี้ต้องมีทรัพยากรอยู่ไม่น้อยแน่!”

เยี่ยเฟิงหานกำลังฝึกวิชาดาบ ดาบของเขาแกว่งและสั่นเล็กน้อย แต่ดูเหมือนไร้ความเปลี่ยนแปลง

ฉางเหอเดินเข้าไปคว้าตัวอีกฝ่าย “นี่ พูดอะไรหน่อยสิ”

มือเขาจับลงที่ไหล่เยี่ยเฟิงหานแท้ ๆ แต่กลับวืดจับได้แต่อากาศ

ฉางเหอไม่ประหลาดใจ หมุนตัวเอื้อมมือจับด้านหลัง แต่ก็ยังไม่ถูกคน

“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะจับโดนตัวเจ้าไม่ได้ เอานี่ไปกินเสีย! นี่ด้วย! นี่ด้วย และนี่ นี่!” ฉางเหอตะโกนลั่นกระโดดไปทั่ว เยี่ยเฟิงหานเพียงแค่ตวัดดาบไปมาอย่างสงบ ทว่าฉางเหอกลับไม่สามารถถูกตัวอีกฝ่ายได้ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร

หลังจากพยายามอยู่ครู่หนึ่ง ฉางเหอจึงเอ่ยเสียงหอบ “ก็ได้ ๆ ความเชี่ยวชาญของเจ้าต่อวิชาไร้ตัวตนนี้น่าประทับใจไม่ใช่น้อย ข้าแตะไม่โดนตัวเจ้าเลย นี่ เจ้าจะไปหรือไม่ไป? โอกาสหายากเชียวนะ!”

เยี่ยเฟิงหานลดดาบลง “มันไม่ใช่วิชาไร้ตัวตน แต่เป็นวิชาดาบมายาที่ถอดออกมาจากลักษณ์นิมิตลาวัณย์ เพิ่งฝึกถึงการสำเร็จขั้นสูงเท่านั้น ดังนั้นข้าจึงยังไม่อยากไป”

“ไอ้หยา แล้วเมื่อไหร่มันจะสำเร็จ? ไม่เห็นจำเป็นต้องรีบ ควรไปเก็บทรัพยากรก่อนเป็นอันดับแรก เจ้าไม่อยากทะลวงสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินหรือ? มีทรัพยากรเหล่านี้ก็นำไปกลั่นยาและทะลวงด่านได้เร็วขึ้น ข้าว่าแบบนั้นฟังดูดีเชียวนะ”

เยี่ยเฟิงหานยังคงใบหน้าสงบนิ่ง “การใช้ยาเพื่อทะลวงด่านให้สูงขึ้นทำให้ไร้การกลั่นเกลา พื้นฐานข้าย่อมไม่แน่นหนา ไม่คุ้มหรอก”

“สวรรค์!” ฉางเหอโกรธเกรี้ยวนัก “ถึงเจ้าไม่รีบไปด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน แต่ข้าอยากไปด่านผลาญจิตวิญญาณแล้ว! ฐานพลังด่านสู่พิสดารข้าไม่แน่นพอหรือ? ไม่ใช่ว่าไม่มั่นคงกระมัง?”

เยี่ยเฟิงหานตอบ “ที่ไม่มั่นคงคือความตั้งใจของเจ้า”

ฉางเหอกลอกตาไม่พอใจ

เยี่ยเฟิงหานพูดต่อ “แต่เจ้าก็เป็นเช่นนี้มาตลอด ถึงจะบำเพ็ญไปอีกพันปีก็คงไม่ต่าง”

“เจ้า…” ฉางเหอชี้นิ้วใส่อีกฝ่าย เตรียมจะสั่งสอนบทเรียนให้สักยก

เยี่ยเฟิงหานกลับพูดขัดขึ้น “ข้าจะไปด้วยข้อแม้หนึ่ง”

“ว่ามาเลย” ฉางเหอเอ่ย กระโดดขึ้นลงด้วยความตื่นเต้น

“จากนี้ต่อไป ห้ามเจ้าพูดเป็นเวลา 3 วัน หากเจ้าแพ้ต้องเป็นคนเอาโถของเสียของข้าไปเททิ้ง 1 ปีเต็ม”

“เท่านั้นเองหรือ? ได้เลย ไม่มีปัญหา!” ฉางเหอตอบโดยไม่ลังเล

เยี่ยเฟิงหานว่า “เริ่มตอนนี้เลย”

ฉางเหอหุบปากฉับ

เยี่ยเฟิงหานเห็นฉางเหอหุบปากไปก็รู้สึกขำ คิดว่าได้ความสงบมาสักหลายวันคงจะดี จากนั้นจึงหัวเราะ “จริง ๆ แล้วถึงเจ้าไม่ตกลงข้าก็ไปกับเจ้าอยู่ดี”

“อึ่ก!” ฉางเหอเบิกตากว้าง แต่ยังหุบปากไว้ได้

เยี่ยเฟิงหานเห็นแล้วจึงหัวเราะ “ไม่เลวเลย ฝืนตนเองได้เช่นนี้น่าประทับใจยิ่งนัก ไป เราไปลงชื่อกัน”

เห็นเยี่ยเฟิงหานเดินจากไป ฉางเหอจึงสงสัยว่าเยี่ยเฟิงหานคงตัดสินใจไว้อยู่แล้ว ไม่พูด 3 วันคงเป็นเรื่องยากพอสมควร ก็ได้ คอยดูเถอะเยี่ยเฟิงหาน! ถึงเวลาเมื่อไหร่จะพูดให้น้ำลายหมดปากไปเลย

เยี่ยเฟิงหานรับภารกิจจากซูเฉินอย่างรวดเร็วแล้วเข้าร่วมชุดลาดตระเวนอย่างเป็นทางการ

หลายคนที่อาสาต่างเป็นสหายเก่าจากเมื่อครั้งที่ราบเส้นทางวงแหวน ดังนั้นจึงรู้จักกันดี ได้ยินว่าเยี่ยเฟิงหานจะมาด้วยก็ตื่นเต้น เวลาผ่านไปครึ่งวันจึงหาคนได้ครบ หลายคนได้กลับมาเจอกันอีกครั้งก็รู้สึกยินดี

มีเพียงฉางเหอที่เงียบเชียบไม่พูดไม่จา

หลายคนค่อนข้างแปลกใจที่เห็นฉางเหอช่างจ้อกลับเงียบขนาดนี้ได้

หน่วยอาสาที่อายุน้อยหน่อยชื่อติงต่ง หรือรู้จักกันในนามเจ้าบื้อน้อยถามขึ้นเสียงสงสัย “พี่รองฉาง ทำไมถึงไม่พูดอะไรบ้างเลย?”

เยี่ยเฟิงหานเป็นศิษย์พี่ใหญ่ ส่วนฉางเหอเป็นศิษย์พี่รอง

ฉางเหอหันมามองแล้วกลอกตา

เยี่ยเฟิงหานเอ่ย “เขาโกรธข้าอยู่ เขาไม่อยากมาแต่ข้าลากเขามาด้วย เดี๋ยวก็หายโกรธแล้ว”

ฉางเหอได้ยินคำโกหกสุดขั้วเช่นนั้นก็ไม่พอใจ

แม้จะพูดไม่ได้ แต่ก็ยังทำท่าได้

สุดท้ายทุกคนจึงเข้าใจว่าไม่ใช่ว่าไม่อยากพูด แต่เป็นเพราะพูดไม่ได้

เจ้าบื้อน้อยมองฉางเหอด้วยความพิศวง “พี่รองฉาง ทำไมถึงเป็นใบ้ไป?”

ฉางเหอกระโดดขึ้น ๆ ลง ๆ มือไม้ชี้ไปทั่ว

เฮ่อหานพอจะเข้าใจเรื่องแล้ว “ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่รองเป็นใบ้หรอก แต่ศิษย์พี่คงไม่ให้พูดมากกว่า”

ฉางเหอพยักหน้ารัว ๆ

สุดท้ายทุกคนจึงเข้าใจสถานการณ์ เหลือบสายตามองเยี่ยเฟิงหานที่คำรามในลำคอ “พูดไม่ได้แต่ก็ยังกระโดดโลดเต้นไปมาได้เช่นนี้หรือ? จะทนได้สักเท่าไหร่เชียว”

ว่าแล้วก็หันหลังเดินจากไป ฉางเหออยากตะโกนบอกว่าทนได้นานถึง 3 วันจริง ๆ แต่เยี่ยเฟิงหานเดินไปแล้ว เขาจึงได้แต่ชู 3 นิ้วประท้วง

ทำให้คนที่เหลือคาดเดาไปเรื่อย

“3 ชั่วยาม?”

“นั่นก็น้อยไป”

“3 ปี?”

“เจ้าจะฆ่าศิษย์พี่หรือ?”

“3 วัน?”

ฉางเหอพยักหน้ารัว ๆ

ทุกคนระเบิดเสียงหัวเราะลั่น

ไม่พูดนาน 3 วัน? ช่างเป็นการทรมานอันแสนสาหัสสำหรับฉางเหอเหลือเกิน

ทั้งหมดยังคงพูดคุยกันสนุกสนานแล้วติดตามเยี่ยเฟิงหานที่เดินนำไป มีเพียงฉางเหอที่พูดไม่ได้ ทำให้เขาขุ่นใจจนกระทั่งไม่ฟังไม่สนใจคนอื่น

พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไป 2 วันแล้ว

2 วันมานี้ฉางเหอลำบากเลือดตาแทบกระเด็น แต่ก็ยังสามารถอดกลั้นไว้ได้

เมื่อไหร่ที่ฉางเหอคิดว่าตกค่ำก็ชนะแล้ว ในใจก็รื่นเริงยิ่งนัก ใบหน้าออกอาการจนหมดสิ้น

ศิษย์คนอื่นพากันมาแสดงความยินดีกับเจ้าตัว

ยิ่งทำให้เขามึนงงมากกว่าเดิม ได้แต่เสียใจว่าไม่สามารถตอบขอบคุณกลับได้

ถึงตอนนี้กลุ่มเดินทางก็เดินหน้ามาถึงป่าแห่งหนึ่งที่มีใบไม้สีแดงจัดแล้ว ต้นไม้ปกคลุมทั่วทั้งภูเขาไปด้วย ‘เปลวเพลิง’ ปรากฏเป็นภาพงดงามเบื้องล่าง

ศิษย์ที่ถือกระจกหยกใบหนึ่งกล่าวขึ้น “ด้านล่างมีการตอบสนองของพลังชัดเจนมาก หมายความว่าต้องมีสมบัติล้ำค่าอยู่แน่”

กระจกใบนี้เป็นสมบัติที่เยี่ยเฟิงหานใช้คะแนนแลกมาจากนิกาย มันสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนพลังที่อยู่ใกล้เคียงได้ ทั้งยังจับพลังของสมุนไพรบางตัวได้ เดิมทีแล้วมันเป็นของเผ่าวิญญาณ แต่ตอนนี้ทั้งเผ่าถูกกวาดล้างไปแล้ว สมบัติทั้งหลายจึงตกเป็นของนิกาย

“เราไปดูเถอะ” เยี่ยเฟิงหานเอ่ย

เมื่อเข้าพื้นที่ป่าสีแดงมา ก็พบกับลำธารสายเล็กไหลผ่านป่า หน่ออ่อนของพันธุ์พืชหนึ่งเติบโตข้างลำธาร ความเขียวขจีและความดูมีพลังของมันบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ใช่พืชธรรมดา

“ฉางเหอ เจ้าไปเก็บเจ้านั่น ระวังด้วย” เยี่ยเฟิงหานสั่ง

ฉางเหอยิ้มเยาะใส่เยี่ยเฟิงหานเรากลับจะบอกว่าไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว

เยี่ยเฟิงหานรู้ความคิดอีกฝ่ายจึงพูดขึ้น “อย่ามั่นใจเกินไป อสูรกายที่วิ่งหนีไปเป็นพวกที่หลงฝูง ไม่ค่อยมีอสูรกายที่ไม่ได้อยู่ใต้อาณัติของจ่าฝูงหรอก”

ฉางเหอกลับดูไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด เขาชี้ไม้ชี้มือแรง ๆ บอกได้ว่า 2 วันที่ผ่านมาไม่ได้เจออสูรกายที่หลบอยู่เลย

ความสามารถในการใช้มือสื่อสารของเขาเพิ่มสูงขึ้นแล้ว

เยี่ยเฟิงหานชินแล้ว เห็นดังนั้นจึงเอ่ย “แล้วแต่ อยากทำอะไรก็ทำ แต่ข้าเตือนแล้วนะ”

ฉางเหอจึงหมุนตัวเดินเข้าไปอย่างภาคภูมิ

ฉางเหอข้ามธารไปไม่ยาก เอื้อมมือไปหาหน่ออ่อนโดยง่าย จากนั้นก็หันมาส่งสายตาเยาะเย้ยใส่เยี่ยเฟิงหาน ราวกับจะบอกว่าเห็นหรือไม่? ไม่เห็นมีอะไรต้องห่วง

แต่เยี่ยเฟิงหานกลับยังถือดาบตั้งท่ารอ

เห็นแล้วฉางเหอจึงไม่สนใจทำหน้าทะเล้นอีกแล้วเอื้อมมือไปดึงหน่อออกมา

แต่หน่อกลับไม่ขยับ

ฉางเหอชะงักไป ลองดูอีกครั้ง ครั้งนี้ดึงแรงกว่าเดิม แต่มันก็ยังไม่ขยับ ราวกับว่ารากหยั่งลึกลงไปลึกแล้วเสียอย่างนั้น

ฉางเหอกัดฟันไม่ยอมแพ้ คราวนี้ใช้วิชาจนสุด

นับว่ามีกำลังมากพอจะดึงหน่อออกมาจากพื้นพอดี

ทันทีที่ถอนมันขึ้นมาได้ หัวขนาดใหญ่ก็โผล่ออกมาจากใต้หน่อนั้น

มันใหญ่ดั่งศิลายักษ์ มีตาเพียงดวงเดียว จับจ้องฉางเหอตาไม่กะพริบ เหมือนจะถามว่าดึงมันขึ้นมาทำไม

หน่ออ่อนนี่เติบโตขึ้นอยู่บนหัวอสูรกายนี่เอง

ตอนนี้มันถูกถอนขึ้นมาแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องให้ฉางเหอช่วยอีก เจ้าอสูรกายเริ่มลุกขึ้นยืน ร่างกายขยายใหญ่โตไม่หยุด สุดท้ายก็เผยให้เห็นเป็นร่างงูขนาดใหญ่

ดูจากกลิ่นอายแล้วน่าจะเป็นราชันอสูรกาย

ฉางเหอเห็นแล้วก็ตกตะลึง เป็นเยี่ยเฟิงหานที่โพล่งขึ้น “วิ่ง!”

ฉางเหอหลุดออกจากภวังค์ หันหลังวิ่งหนีทันที

งูยักษ์อ้าปากกว้าง พ่นพิษเข้าใส่ฉางเหอ

“แม่จ๋า!” ฉางเหอร้องจ๊าก สับขาวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ในขณะเดียวกันคนอื่น ๆ ก็เริ่มลงมือ

ริ้วดาบมากมายสะบัดใส่ร่างงูยักษ์ มันส่งเสียงขู่และบิดร่างไปมาไม่หยุด กระนั้นก็ไม่สามารถหลบการโจมตีหนักหน่วงได้

โดยเฉพาะเยี่ยเฟิงหานที่ปล่อยท่าดาบเยือกแข็ง ผสานดาบไอยะเยือกกับวิชาดาบมายาที่ได้มาจากลักษณ์นิมิตลาวัณย์ กระทั่งราชันอสูรกายงูยังไม่อาจหลบท่าดาบนี้ได้

ฉางเหอเห็นแล้วก็เข้าใจกระจ่าง

ใช่แล้ว ถึงจะเป็นราชันอสูรกาย แต่เราก็ไม่ใช่ว่าอ่อนแอนี่นา!

ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตเก่งกาจขึ้นทว่าไม่มีใครมองออก กระทั่งหน่วยลาดตระเวนขนาดเล็กยังสามารถปะทะกับราชันอสูรกายได้!

แต่เดี๋ยวก่อน!

ฉางเหอพลันเปลี่ยนสีหน้า

“เวรแล้ว! เพิ่งพูดไปนี่หว่า”

ทนมาได้ตั้ง 2 วันเต็ม แต่อสูรกายกลับทำลายความตั้งใจเขาลงแล้ว

เมื่อฉางเหอคิดว่าตนเองต้องเอากระโถนของเสียของเยี่ยเฟิงหานไปทิ้งตั้งปีหนึ่ง เขาก็ตะโกนขึ้นมาเสียงโกรธ “ข้าจะไม่ทนแล้ว ไอ้อสูรเวรนี่!”

เขาเงื้อดาบขึ้นแล้วพุ่งเข้าไปอย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัว