ตอนที่ 922 ข้อมูลของฮวาฟางเฟย

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

หอผู้อาวุโสมักมอบหมายภารกิจให้กับศิษย์ของนิกายอยู่เสมอซึ่งรางวัลจากภารกิจทั่วไปจะได้รับจากผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ในขณะที่รางวัลสำหรับภารกิจพิเศษจะได้รับจากฮวาเฉินโดยตรง

เดิมทีรางวัลสำหรับภารกิจพิเศษนี้จะต้องได้รับจากผู้อาวุโสใหญ่ ทว่าหลังจากทั้งสองฝั่งมีเรื่องบาดหมางกันมานานหลายปี ฝั่งขวาก็กุมอำนาจเหนือกว่าเล็กน้อยและสุดท้ายผู้อาวุโสรองก็ได้ฉกชิงสิทธิ์ในการมอบรางวัลนั้นไป

ในเวลานี้ ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยเรียกฮวาเฉินผู้ซึ่งกำลังจะเดินจากไปและกล่าวขึ้นอย่างชัดเจน นี่ก็ส่งผลให้สีหน้าของคนจากฝั่งขวาที่หลงเหลืออยู่กลายเป็นบิดเบี้ยวอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม ด้วยคำสั่งอย่างเข้มงวดจากฮวาฟางเฟย พวกนางจึงไม่กล้าหาเรื่องกวนใจฉินอวี้โม่ในตอนนี้

“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา นำป้ายหยกของพวกเจ้าออกมาสิ”

ฮวาเฉินปั้นหน้ายิ้มและเอ่ยบอกให้ผู้เข้าร่วมภารกิจทุกคนหยิบป้ายหยกประจำตัวออกมา

ฉินอวี้โม่และเหล่าสหายก็หยิบป้ายหยกของตนออกมาอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเฉียนจ้วงและเถียนเล่ยแสดงถึงความสุขอย่างยิ่ง หนึ่งพันแต้มที่จะได้รับนี้เพียงพอที่พวกเขาจะแลกเปลี่ยนสมบัติดี ๆ ได้หลายชิ้น

เหมียวเจินเจินและจางซือถงเองก็มีความสุขมากเช่นกัน ในหอสมบัติของนิกายหมื่นบุปผามีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกนางต้องการ

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและอวิ๋นซื่อเทียนล้วนมีสีหน้าที่เรียบเฉย แม้หนึ่งพ้นแต้มจะถือว่ามากพอสมควร มันก็มิใช่จำนวนที่ยากเกินกว่าที่พวกนางจะสะสมได้ด้วยตัวเอง

ยิ่งไปกว่านั้น ในหอสมบัติของนิกายหมื่นบุปผาก็ไม่ได้มีสมบัติที่พวกนางสนใจมากนักและพวกมันล้วนมีมูลค่าที่ด้อยกว่าสมบัติที่พวกนางเก็บเกี่ยวมาจากดินแดนต้องห้ามเสียอีก

“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่กล่าวขอบคุณฮวาเฉินก่อนกล่าวต่อ “ข้าเกือบลืมไป ขอบคุณผู้อาวุโสทุกท่านที่ให้โอกาสข้าจนทำภารกิจในดินแดนต้องห้ามได้สำเร็จ ในช่วงเวลาที่อยู่ในดินแดนต้องห้าม ข้าก็ได้สมบัติดี ๆ มามากทีเดียว หากไม่มีผู้อาวุโสฝั่งขวาทั้งสอง ข้าก็คงเข้าไปที่นั่นได้ไม่ง่ายนัก”

วาจาของฉินอวี้โม่ทำให้ผู้อาวุโสฝั่งขวาแทบกระอักเลือดออกมา

อย่างไรก็ตาม พวกนางควบคุมอารมณ์ไว้และแสดงสีหน้าโล่งใจก่อนกล่าว “อวี้โม่สุภาพเกินไปแล้ว นี่ก็ถือว่าเป็นหน้าที่ของพวกเรา”

หลังจากกล่าวจบ นางก็หันหลังและเดินจากไปอย่างรวดเร็วด้วยกังวลว่าหากยังอยู่ที่นี่ต่อไป พวกนางจะอดทนอดกลั้นไว้ไม่ได้และลงมือทำร้ายฉินอวี้โม่เสีย

“อวี้โม่เอ๋ย…”

ฮวาเยว่ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา นางทราบดีว่าฉินอวี้โม่เป็นคนที่ชัดเจนในการแสดงความรักและความเกลียดชังของตนเอง อย่างไรก็ตาม สตรีผู้นี้ก็มีไพ่ตายสำหรับเอาตัวรอดมากมายและนางไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งใด

“เอาล่ะ แยกย้ายกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ พรุ่งนี้พวกเจ้ามาหาข้าด้วยล่ะ ข้ามีบางสิ่งอยากจะพูดคุยกับพวกเจ้า”

หลังจากกล่าวกับฉินอวี้โม่และทุกคน ฮวาเยว่และผู้อาวุโสทั้งสอง รวมถึงศิษย์ฝั่งซ้ายก็แยกย้ายกันกลับไปยังที่พักของตน

“ฮ่า ๆ ๆ ข้ายังไม่เหน็ดเหนื่อยเท่าใดนัก ไหน ๆ ตอนนี้เราก็อยู่ที่หอชั้นในแล้ว ข้าอยากจะเข้าไปที่หอสมบัติและแลกเปลี่ยนขวานเล่มใหญ่ที่ข้าสนใจมานาน”

เฉียนจ้วงเงยหน้ามองฟ้าเบื้องบนและพบว่ายังเป็นช่วงเที่ยงวันซึ่งมีเวลาเหลืออีกมากนัก ในเมื่อการกลับไปยังหอชั้นนอกในตอนนี้ก็ไม่มีสิ่งใดที่ต้องทำ เขาจึงตัดสินใจไปที่หอสมบัติของนิกาย

“นั่นเป็นความคิดที่ดี ถ้าเช่นนั้นเราไปด้วยกันเถอะเจ้าค่ะ”

หลังจากเผชิญกับอันตรายในดินแดนต้องห้ามมาด้วยกัน ความสัมพันธ์ของคนเหล่านี้จึงสนิทสนมกันมากขึ้น เหมียวเจินเจินก็กล่าวออกมาด้วยท่าทางตื่นเต้นและต้องการเข้าไปที่หอสมบัติเช่นกัน

ฉินอวี้โม่ก็เพียงพยักศีรษะโดยที่ไม่ขัดข้องแต่อย่างใด จากนั้นทุกคนก็มุ่งหน้าไปยังหอสมบัติด้วยกัน…

อีกฟากหนึ่งของนิกาย ฮวาหรงกลับไปยังเรือนที่พักของฮวาฟางเฟย

“ฮวาหรง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าทำอะไรลงไป ?!”

ฮวาฟางเฟยกล่าวอย่างฉุนเฉียวทันทีที่ฮวาหรงเดินเข้ามา

การที่สมบัติล้ำค่าของนิกายหมื่นบุปผาตกไปอยู่ในมือของฉินอวี้โม่โดยที่นางไม่มีทางครอบครองมาได้เลย นี่ก็เป็นความรู้สึกนี้ที่ทำให้นางไม่สบอารมณ์อย่างที่สุด

ในฐานะจ้าวนิกายของนิกายหมื่นบุปผา ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้ใดกล้าขัดคำสั่งหรือปฏิเสธความต้องการของนางมาก่อน แม้เมื่อครู่นี้ดูเหมือนว่าฉินอวี้โม่จะไม่ตั้งใจ ทว่านางก็ยังรู้สึกโกรธเกรี้ยวอย่างมิอาจควบคุม

“ท่านจ้าวนิกาย ข้ายอมรับความผิดทุกอย่างเจ้าค่ะ”

ฮวาหรงคุกเข่าลงและยอมรับความผิดของตนเองทันที

หากทราบมาก่อนว่าสมบัติที่หายสาบสูญของนิกายหมื่นบุปผาคือไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ นางไม่มีทางมอบหมายภารกิจดังกล่าวให้กับฉินอวี้โม่อย่างแน่นอน

“ช่างมันเถอะ เจ้าเองก็คงจะไม่คิดมาก่อนว่าพวกนางจะทำภารกิจได้สำเร็จจริง ๆ”

เมื่อเห็นสีหน้าแววตาที่จริงใจของฮวาหรงและท่าทางที่เคารพนอบน้อม ความฉุนเฉียวของฮวาฟางเฟยก็เบาบางลง นางผายมือให้ฮวาหรงลุกขึ้นก่อนนางนั่งลงและกล่าว “ช่วงนี้อย่าก่อเรื่องสร้างปัญหาให้ฉินอวี้โม่ก่อนล่ะ นางมีไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่กับตัวซึ่งอาจช่วยเราได้ในอนาคต หลังจากนี้จงหาทางผูกมิตรกับนางและทำให้นางวางใจ แม้จะเป็นเพียงแค่การแสดงก็ตาม…”

นางออกคำสั่งโดยตรงและไม่ต้องการให้คนของฝั่งขวาทำลายแผนการที่นางเตรียมไว้

“เจ้าค่ะ ท่านจ้าวนิกาย”

แม้ไม่เต็มใจนัก ฮวาหรงก็พยักศีรษะและรับคำสั่งแต่โดยดี

“ท่านจ้าวนิกาย ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั่นเป็นสมบัติล้ำค่าในตำนาน และในเมื่อมันเป็นสมบัติของนิกายหมื่นบุปผา เหตุใดมันจึงหายสาบสูญไปตั้งแต่แรก ? หากมีไข่มุกวิเศษนั้นอยู่ ท่านจ้าวนิกายก็ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนทุ่มเทให้เหน็ดเหนื่อยมิใช่รึ ?”

ฮวาหรงอดเอ่ยถามด้วยความฉงนสงสัยไม่ได้

หากฮวาฟางเฟยมีไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่ในการครอบครอง หลายสิ่งหลายอย่างก็จะราบรื่นยิ่งกว่านี้และคงไม่จำเป็นต้องพยายามฝึกวิชาให้มากนัก

นางไม่ทราบเลยว่าเหตุใดสมบัติของนิกายหมื่นบุปผาจึงหายสาบสูญไป ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ มันจะหายไปง่าย ๆ ได้อย่างไร ?

“เหอะ ข้าทราบเพียงว่าจ้าวนิกายรุ่นแรกของนิกายหมื่นบุปผาจงใจนำมันไปซ่อนไว้ในดินแดนต้องห้าม เดิมทีข้าก็คิดว่ามันคงจะเป็นสมบัติอื่น ๆ ที่ไม่ทรงพลังนัก ไม่เช่นนั้น ยายเฒ่านั่นคงไม่โยนมันทิ้งไว้ในดินแดนต้องห้ามเช่นนั้น ถ้าหากทราบว่ามันเป็นไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็คงจะพยายามตามหาด้วยตัวเองแล้ว”

ฮวาฟางเฟยแค่นเสียงอย่างเย็นชาและความไม่พอใจปรากฏในแววตา

หากทราบมาก่อนว่าสมบัติที่ว่านั้นคือไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ นางคงไม่มีทางอยู่เฉยตลอดหลายปีที่ผ่านมาและต้องเข้าไปตามหามันด้วยตัวเอง เพราะถึงอย่างไรนางก็ทราบดีว่าไข่มุกวิเศษเช่นนั้นจะช่วยตนได้มากเพียงใด

“ไปสืบมาว่าฉินอวี้โม่และสหายพบไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั่นได้อย่างไร ?”

ฮวาฟางเฟยครุ่นคิดบางอย่างและกล่าวออกไป

ก่อนหน้านี้ ฮวาหรงและคนอื่น ๆ ก็เคยเข้าไปตามหาสมบัติที่สูญหายในดินแดนต้องห้ามแล้ว ทว่าไม่พบเบาะแสใด ๆ ในเมื่อฉินอวี้โม่และสหายอ่อนแอกว่าพวกนางมากนัก แล้วคนเหล่านั้นตามหาไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จนพบได้อย่างไรกัน ?

ฮวาหรงพยักศีรษะก่อนมุ่งหน้าออกจากเรือนของฮวาฟางเฟย

และเมื่อฮวาหรงจากไป ฮวาฟางเฟยก็เปิดประตูห้องลับอีกครั้งและก้าวเข้าไป

“นายหญิง ข้าไปสืบข้อมูลมาด้วยตนเองแล้ว แม้ไม่ทราบว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวนี้ออกไป ทว่าก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ทราบถึงข่าวนี้จริง ๆ”

หงส์ฟ้ากลับมาจากเมืองเทียนยงแล้วและได้สืบข่าวที่ฮวาเยว่สั่งการไว้ก่อนหน้านี้

“ดูเหมือนว่าฮวาเยว่จะไม่ได้พยายามหยั่งเชิงข้า”

ฮวาฟางเฟยถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในเมื่อฮวาเยว่ไม่ได้ตั้งใจหยั่งเชิงนาง นั่นก็หมายความว่ามีคนสงสัยใน ‘เรื่องนั้น’ เพียงไม่มากนักและนางไม่จำเป็นต้องกังวลมากจนเกินไป

“คงจะเป็นเช่นนั้น ฮวาเยว่อาจมาสอบถามนายหญิงเพียงเพราะบังเอิญได้ยินข่าวลือมา”

หงส์ฟ้าพยักหน้าและกล่าวต่อ “ส่วนฉินอวี้โม่ ข้าก็สืบเรื่องพวกนางมาแล้วเช่นกัน พวกนางมาจากตระกูลธรรมดา ๆ ในเมืองเทียนหยวนและไม่มีความเกี่ยวข้องกับขุมกำลังที่เป็นปฏิปักษ์กับเราหรือดินแดนระดับต่ำ นายหญิงวางใจได้เลย”

หลังจากออกไปสืบข่าวในครานี้ มันก็พยายามสืบเรื่องราวเกี่ยวกับภูมิหลังพื้นเพของฉินอวี้โม่และได้ทราบผลลัพธ์เหล่านี้กลับมา

พวกนางเป็นเพียงจอมยุทธ์ธรรมดา ๆ จากอำเภอซ่างหยวนที่ไต่เต้าตนเองมาเรื่อย ๆ จนเข้าสู่เมืองใหญ่ได้ ทว่าสิ่งเหล่านี้ก็เกิดจากพรสวรรค์ที่โดดเด่นของพวกนางเท่านั้นซึ่งไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด

“นั่นเป็นเรื่องที่ดี !”

ฮวาฟางเฟยถอนหายใจอย่างโล่งอกอีกครั้ง มีเพียงการได้รับรู้เช่นนี้เท่านั้นที่นางจะใช้ประโยชน์จากฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ได้อย่างเต็มที่ หากมีไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่ แผนการของนางก็จะดำเนินไปได้อย่างราบรื่นขึ้น…

สิ่งที่ทั้งสองคาดไม่ถึงก็คือฉินอวี้โม่เตรียมการเรื่องนี้ไว้ก่อนเดินทางมาที่นิกายหมื่นบุปผาแล้ว ไม่ว่าหงส์ฟ้าจะเฉลียวฉลาดเพียงใด มันก็ไม่มีทางสืบหาข่าวที่เป็นประโยชน์ได้