คิ้วหลิงหงจินดุจจันทร์เสี้ยว เครื่องหน้าทั้งห้างามประณีต ผมดำขลับทั้งศีรษะยุ่งเหยิงแผ่สยาย นัยน์ตาเจือความโกรธแค้นเหลือคณนา ฟันกระจ่างขบจนเกิดเสียงกรอด
ไม่จำเป็นต้องสงสัย หลิงหงจินคือหญิงงามที่ยากพบเห็น แม้ยามเดือดดาลหาใดเปรียบก็สร้างความเสียหายแก่ความงามของนางไม่ได้ ไม่ว่าใครต่างไม่อาจปฏิเสธจุดนี้
เพียงแต่นางในตอนนี้ไม่เหมือนผู้กล้าหญิงแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่สูงส่งอีก กลับประหนึ่งลูกแกะรอความตายตัวหนึ่ง
“เจ้าต้องถูกพันมีดหมื่นแล่แน่! แน่นอน!” ดวงหน้าพริ้งเพราของนางโกรธจนคล้ำเขียวหาใดเปรียบ ในดวงตาเปี่ยมความแค้นเข้ากระดูก
“หากมีวันนั้นจริง เจ้าเองคงอับอายต่อหน้าผู้คนไม่เหลือก่อน” สุดท้ายหลินสวินยังไม่ได้ลงมือต่อ
เขาลุกขึ้นจับร่างอีกฝ่ายพาดบ่า
เมื่อสัมผัสได้ว่าผิวชุ่มชื้นของอีกฝ่ายพลันแข็งเกร็ง หลินสวินจึงรับรู้ได้ทันใดว่า ในใจหญิงผู้นี้ไม่พังทลายสิ้น ยังกำลังดิ้นรนรุนแรง
“ข้าว่าเจ้าอย่าดิ้นรนดีกว่า ดิ้นรนไปก็เปล่าประโยชน์ หากถูกคนอื่นเห็นเจ้าสภาพนี้เชื่อว่ารสชาตินั้นคงเหลือทน” หลินสวินยิ้มพลางโฉบไปที่ห่างไกล
“เจ้ามันสมควรตาย!” หลิงหงจินคับแค้นอับอายแทบวายชีวา แค้นจนกัดไหล่หลินสวิน
แต่ต่อมานางก็ต้องร้องโอดโอย หัวไหล่หลินสวินมีปราณป้องกัน เกือบทำฟันขาวดุจหิมะเรียงเป็นระเบียบของนางแตก
เพียะ!
หลินสวินเงื้อมือฟาดก้นอีกฝ่ายกล่าว “เชื่อฟังหน่อย!”
สัมผัสถึงความเจ็บปวดร้อนผ่าวบนร่าง หลิงหงจินแทบเป็นบ้า ทั้งอดสูทั้งเดือดดาล หากเป็นไปได้นางแทบอยากกลืนหลินสวินกินทั้งเป็น
น่าชังเกินไปแล้ว!
นาง ศิษย์แกนหลักแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ผู้งามสง่าเจิดจรัสหาใดเปรียบ รูปโฉมโดดเด่นดุจจันทร์กระจ่างบนฟากฟ้า ที่ผ่านมาล้วนถูกห้อมล้อมและชื่นชมมาตลอด ไหนเลยจะเคยพบเจอการโจมตีและหยามหน้าเช่นนี้
“เจ้าคนระยำ ภายหน้าต้องไม่ตายดี!”
หลินสวินทำหูทวนลม สีหน้าไม่สะทกสะท้าน ได้ยินดังนั้นจึงกล่าวราบเรียบ “ตะโกนด่าก็เปลี่ยนสถานการณ์เจ้าไม่ได้ ทางที่ดีเจ้าน่ะร่วมมือกันหน่อย หากทำข้าโมโหผลที่ตามมาคงร้ายแรงยิ่งกว่า”
“…” หลิงหงจินเบิกตากว้าง ในใจราวม้าหมื่นตัวควบทะยานตะบึงผ่าน เจ้านี่ไม่เพียงไร้ยางอาย ยังเป็นอันธพาลชั่วช้าคนหนึ่ง! สมควรถูกเฉือนพันมีดหมื่นแล่!
“คู่หมั้นของข้าคือฉู่เป่ยไห่ หากเขารู้เรื่องนี้เจ้าก็รอถูกฆ่าเถอะ!” นางส่งเสียงขู่ ถูกบีบจวนตัวเข้าจริงๆ แล้ว
“อ้อ”
“อาจารย์ของข้าคือราชันของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่ก้าวสู่อมตะหกเคราะห์ผู้หนึ่ง!”
“อ้อ”
“ข้า…”
“อ้อ”
ไม่ว่าหลิงหงจินจะพูดอะไร หลินสวินก็ทำท่าเฉยเมยตลอด คล้ายไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย นี่ทำให้หลิงหงจินจะพังทลายเข้าจริงๆ แล้ว
“อันที่จริงหากเจ้าเชื่อมั่นในแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ของพวกเจ้านัก บอกข้อมูลข้าหน่อยจะเป็นไร ว่ากันตามจริงเจ้าก็แค่กลัว” หลินสวินกล่าวราบเรียบ
“ความตายข้าล้วนไม่กลัว นับประสาอะไรกับเจ้า” น้ำเสียงหลิงหงจินราวลอดจากไรฟัน
นางถูกหลินสวินแบกขึ้นบ่ามาตลอด ไม่อาจขยับเขยื้อน เสมือนเหยื่อที่ไม่ว่าอย่างไรก็ถูกเชือด
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ยังทำให้นางแข็งทื่อไปทั้งตัว คับแค้นอับอายถึงขีดสุด กระทั่งกังวลว่าหากระหว่างทางพบคนสัญจรบางส่วนเข้าจะทำอย่างไร
“ด้านหน้าประมาณหลายร้อยลี้มีเมืองแห่งหนึ่ง ตอนนี้เหลือเวลาสองชั่วยามก่อนฟ้าสาง ข้าให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าก็คิดให้ถี่ถ้วนเสียเถอะ”
หลินสวินกล่าวทิ้งท้ายประโยคนี้ก็ไม่พูดอีกสักคำ
แต่ท่าทีนิ่งสงบของเขากลับทำให้หลิงหงจินรับรู้ว่า เจ้าหมอนี่จริงจัง ต้องพูดจริงทำจริงแน่!
ชั่วขณะนั้นในใจนางโกลาหลไม่หยุด ดิ้นรนขัดแย้งถึงขีดสุด สัมผัสถึงความระทมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
รสชาติความอัปยศอับอายเช่นนี้เป็นสิ่งที่นางไม่เคยเจอนับตั้งแต่ฝึกปราณมา นางคิดปาดคอตัวเองตายยังไม่ได้ เลือกได้เพียงหนทางเดียว!
…
ใกล้ช่วงฟ้าสางขึ้นเรื่อยๆ ภูเขาสูงและผืนป่าที่ห่างไกลก็ทยอยบางตา
แม้แต่ตัวหลิงหงจินก็มองออกว่า ใช้เวลาไม่นานบนเส้นขอบฟ้าห่างไกลนั่นต้องปรากฏเมืองแห่งหนึ่งแน่
พอนึกถึงว่าตนมีโอกาสสูงที่จะถูกแขวนร่างเปลือยเปล่าบนประตูเมืองให้คนเรือนหมื่นเชยชม ความแน่วแน่เส้นสุดท้ายในใจหลิงหงจินก็พังทลายอย่างสิ้นเชิง
“พวกเขาอยู่เมืองกาฬพฤกษ์ ผู้ดูแลภารกิจครั้งนี้คือ…”
ในเสียงว่างเปล่าไร้ความรู้สึก สุดท้ายหลิงหงจินก็ยอมจำนน บอกข่าวส่วนหนึ่งที่ตนรู้ออกมา
กล่าวถึงตอนท้ายทั้งตัวนางราวสูญสิ้นจิตวิญญาณ ดวงตาไร้แวว สีหน้ามืดมน
หลินสวินหยิบอาภรณ์ตัวเองชุดหนึ่งคลุมร่างหลิงหงจิน เห็นท่าทางเช่นนี้ของอีกฝ่ายเขาอดถอนใจไม่ได้ “ถ้ารู้แบบนี้ทำไมต้องทำเช่นนั้นแต่แรก”
หลิงหงจินเงียบงัน
“วางใจเถอะ เรื่องในวันนี้มีเพียงเจ้ากับข้าที่รู้ ในเมื่อข้ารับปากจะปล่อยเจ้า แน่นอนว่าต้องพูดจริงทำจริง”
หลินสวินกล่าวประโยคนี้ไว้ ก่อนที่เงาร่างจะวาบไหว หายไปท่ามกลางรัตติกาลเวิ้งว้างห่างไกล ทิ้งหลิงหงจินไว้ที่เดิมเพียงคนเดียว
ลมราตรีพัดแผ่ว หลิงหงจินซึ่งหยุดยืนที่เดิมครู่ใหญ่คล้ายฟื้นคืนสติส่วนหนึ่ง แววตาซึ่งเดิมหม่นมัวไร้แววคืนสู่ความกระจ่างใหม่อีกครั้ง
นางสัมผัสได้ว่าพลังของตนกำลังฟื้นคืนทีละน้อย
“สักวันหนึ่งข้าจะฆ่ามารร้ายอย่างเจ้าด้วยมือตัวเอง!”
นางกัดฟันกรอด จากนั้นจึงกระชากชุดที่คลุมกายลงราวกับรังเกียจ แล้วเหยียบย่ำผลาญเผาอย่างรุนแรง
เพลิงศักดิ์สิทธิ์หลากสายห้อมล้อมทั่วกายนาง กลายเป็นอาภรณ์ชั้นหนึ่งบดบังร่างเปลือยเปล่า ขณะนี้นางคืนสู่ท่วงท่าหยิ่งทะนงมาดมั่นดังเก่าก่อนอีกครั้ง
‘น่าเสียดาย ต่อให้เจ้าสับปลับดั่งภูตผีก็คิดไม่ถึง ว่าข้อมูลที่ข้าบอกเจ้าล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น!’ นางยิ้มเยาะในใจ เปี่ยมความสะใจราวได้แก้แค้น
จากนั้นนางไม่รีรอ มุ่งทะยานไปที่ห่างไกล
ฟุ่บ!
หลิงหงจินจากไปไม่นาน เงาร่างหลินสวินก็ปรากฏตรงตำแหน่งที่นางเคยอยู่กะทันหัน
‘ฟื้นคืนมาดเร็วเช่นนี้ เห็นชัดว่าเมื่อครู่ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้สิ้นหวังจริง ดูจากจุดนี้สีหน้าท่าทางที่แปรเปลี่ยนของนางเมื่อครู่ เกรงว่าต่อให้ไม่ได้เสแสร้ง ก็ต้องมีส่วนหนึ่งที่เสแสร้งแกล้งทำออกมา…’
หลินสวินใคร่ครวญ จากนั้นเงาร่างพลันวูบไหวตามไปอย่างเงียบเชียบ
คนผู้หนึ่งหลังประสบการโจมตีจวนสิ้นลม สิ่งแรกที่ต้องทำคืออะไร
ขอความช่วยเหลือ?
แก้แค้น?
บางทีอาจทำสองอย่างพร้อมกัน
จากมุมมองหลินสวิน หลิงหงจินคงแค้นตนเข้ากระดูก ต้องคิดแก้แค้นตนทันทีจนทนไม่ไหวแน่
และหากอยากแก้แค้นก็ต้องขอความช่วยเหลือ
หลินสวินอยากดูนักว่าหลิงหงจินจะทำอย่างไรกันแน่
สำหรับข้อมูลส่วนนั้นที่นางบอกก่อนหน้า บางทีอาจเป็นจริงหรือเป็นเท็จ แต่ล้วนไม่สำคัญทั้งสิ้น
เพราะตั้งแต่ต้นจนจบ หลินสวินก็ไม่ได้คิดเค้นข้อมูลจากปากอีกฝ่ายแต่แรก!
…
หลิงหงจินรอบคอบและระวังนัก เปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้าตลอดเวลา กระทั่งบางครั้งยังอ้อมวนสองสามรอบค่อยมุ่งหน้าต่อ
นี่ทำให้หลินสวินที่ตามประชิดข้างหลังนางแน่ใจยิ่งกว่าเดิม ว่าเจตนาของผู้หญิงคนนี้น่าสงสัย!
จวบจนฟ้าสาง รัตติกาลลาลับ เค้าโครงเมืองใหญ่แห่งหนึ่งก็ปรากฏบนเส้นขอบฟ้า
หลังหลิงหงจินมาถึงที่แห่งนี้ก็ราวเป่าปากโล่งอก จากนั้นจึงหันศีรษะมองหนทางที่จากมา บนหน้างามพริ้งเพรานั่นเผยความแค้นเข้ากระดูก
“เจ้ารอก่อนเถอะ!” นางกำหมัดขาวดุจหิมะแน่นอย่างเงียบๆ จากนั้นจึงหันกลับทะยานเข้าเมืองใหญ่เก่าแก่นั่น
ตอนแรกหลินสวินที่ตามประกบตกใจสะดุ้งโหยง นึกว่าตนถูกอีกฝ่ายค้นพบแล้ว
แต่เห็นชัดว่าเขาคิดมากไปเอง การกระทำของหลิงหงจินเมื่อครู่เจือความรู้สึกระบายอารมณ์ชัดเจน
‘เมืองแสงอุดร… หรือเหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่ตามล่าข้าในครั้งนี้ล้วนส่งมาจากที่นี่’
หลินสวินใคร่ครวญพลางเข้าไปในเมือง
…
ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองแสงอุดร ในสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่โอ่อ่าหาใดเปรียบแห่งหนึ่ง ขณะนี้ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ซึ่งสวมชุดนักพรตน้ำค้างดารากำลังชุมนุมกัน
หนานกงหั่วและกู้อวิ๋นถิงเองก็อยู่ในนั้นด้วย
ในโถงผู้คนมากมาย แต่กลับมีสามคนที่เห็นได้ว่าถูกจับตามองที่สุด ข้างกายแต่ละคนต่างห้อมล้อมด้วยกลุ่มชายหญิง ประหนึ่งหมู่ดาวล้อมจันทรา
นี่คือชายสองหญิงหนึ่ง ชุดนักพรตน้ำค้างดาราที่สวมใส่ประทับสัญลักษณ์ดาวสีทอง มีเพียงศิษย์แกนหลักของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เท่านั้นจึงจะครอบครองได้
ไม่จำเป็นต้องสงสัย พวกเขาคือขอบเขตมกุฎที่มาจับตายหลินสวินครั้งนี้เหมือนลี่จั้นหนานและหลิงหงจิน!
“นี่มันเรื่องอะไรกัน เป้าหมายกำลังเข้ามาใกล้พวกเรา! หรือพวกลี่จั้นหนานกับหลิงหงจินไปช้าก้าวหนึ่ง ถูกเป้าหมายชิงหนีเสียก่อน”
ทันใดนั้นหนึ่งในศิษย์แกนหลักมุ่นคิ้วกล่าว
นี่คือชายผมยาวสีทองทั้งศีรษะ ร่างผึ่งผายกำยำ นามว่าเสวี่ยเชียนเหิน ในเมื่อจัดอยู่ในศิษย์แกนหลักก็ย่อมเป็นยอดบุคคลชั้นแนวหน้า
ในมือเขากำลังถือ ‘คันฉ่องกักวิญญาณสองลักษณ์’ ซึ่งเดิมหนานกงหั่วครอบครอง
“อะไรนะ” คนอื่นต่างตะลึงงัน ทยอยเหลือบมองมา
“น่าสนุก เจ้าลี่จั้นหนานยังพลาดท่า ช่างทำให้ข้าผิดคาดจริงๆ” ชายหนุ่มชุดเทาคนหนึ่งเอ่ยปากหัวเราะ
เขาผมยาวกระเซิง แต่งกายไม่เรียบร้อย เห็นชัดว่าเกียจคร้านและทำตามอารมณ์นัก เขามีนามว่าจางเจิง เป็นศิษย์แกนหลักผู้หนึ่งเช่นกัน
“น่าจะไม่ถึงขั้นพลาดท่า ลี่จั้นหนานและหลิงหงจินออกปฏิบัติการพร้อมกัน รับมือขอบเขตมกุฎคนหนึ่งก็เพียงพอเหลือเฟือ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้คงเหมือนที่ศิษย์พี่เสวี่ยเชียนเหินกล่าว เป้าหมายสังเกตเห็นว่าไม่เข้าทีจึงชิงหนีก่อนก้าวหนึ่ง”
เด็กสาวสวมชุดฉูดฉาด ใบหน้าประณีตอ่อนหวานเอ่ยปาก นางร่างเล็กอรชร ทั่วร่างแผ่ความอ่อนช้อยน่าอัศจรรย์ ทุกการเคลื่อนไหวล้วนเจือกลิ่นอายเย้ายวนตรึงใจคนตามธรรมชาติ
นางมีนามว่าอวี้เป๋าเป่า
“เหอะๆ ถูกเป้าหมายชิงหนีก็นับว่าพลาด เปลี่ยนเป็นข้าออกเคลื่อนไหว เทพมารหลินนี่คงถูกสังหารนานแล้ว!” จางเจิงกล่าวอย่างเกียจคร้าน วาจาสบายอารมณ์ แต่มีความยโสไม่อาจอำพราง
“เจ้าคุยโวกระมัง” อวี้เป๋าเป่ากล่าวพลางหัวเราะคิกคัก
ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คนอื่นต่างเงียบงัน
เพราะนี่คือการสนทนาของศิษย์แกนหลักสามคน พวกเขาไม่มีสิทธิ์สอดปากแต่แรก
“ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ ที่ข้าไม่เข้าใจคือทำไมเป้าหมายถึงเข้ามาใกล้พวกเรา ไม่ตั้งใจหรือมีเจตนากันแน่” เสวี่ยเชียนเหินมุ่นคิ้ว
“ง่ายมาก ต้องเป็นเขาโชคไม่ดีรีบหนีไม่ดูทาง หากเขารู้ว่าพวกเราอยู่ที่นี่ ให้เขากล้าอีกร้อยเท่าก็ไม่บังอาจวิ่งเข้าหาความตาย” จางเจิงกล่าวเยาะหยัน
คนไม่น้อยต่างอดยิ้มไม่ได้ ในความรู้สึกของพวกเขาต่างก็คิดว่าคำพูดของจางเจิงไม่ผิด
ขอแค่สมองไม่เลอะเลือน เหยื่อที่ไหนจะโง่วิ่งมาถิ่นนักล่า นี่ไม่รนหาที่ตายหรือ
“นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตา สมน้ำหน้าที่เด็กนี่มันซวย!”
จางเจิงยืดเหยียดกล้ามเนื้อ สีหน้าที่เดิมเกียจคร้านเต็มประดาพลันแผ่อานุภาพดุดันชวนประหวั่น “ครั้งก่อนถูกลี่จั้นหนานและหลิงหงจินชิงตัดหน้า แต่ความเป็นจริงพิสูจน์แล้วว่าพวกเขาโชคไม่ดีนัก ถูกเป้าหมายหนีรอดไปได้ คราวนี้ในเมื่อเป้าหมายเข้ามาในแหเอง พวกเจ้าใครก็อย่าแย่งข้า ถึงตาข้าออกโรงแล้ว!”
วาจาก้องกังวานสะท้านปฐพี ไอสังหารชวนตะลึงแผ่ขยายทั่วโถง ทำให้คนไม่น้อยสั่นไปทั้งตัว
………………….