ก้าวสู่กระบวนแปรจุติขั้นปลาย ก็หมายความว่าห่างจากมกุฎราชันเพียงก้าวเดียว!

มุ่งหน้าต่อก็กระโดดพ้นระดับปราณห้าขั้นใหญ่ มรรคาเข้าสู่ระดับใหม่ทั้งหมด… ราชันระดับสังสารวัฏ!

ระดับนี้จะทะลวงผ่านความเร้นลับแห่งการเกิดดับ ก้าวสู่มรรคาแห่งอมตะ

ปัจจุบันสงครามมหายุคจวนมาเยือน กล่าวได้ว่าแค่หลินสวินเคี่ยวกรำปราณอีกขั้น ทำให้มรรควิถีแห่งตนบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์ ก็สามารถไปช่วงชิงระดับมกุฎราชันที่เกือบจะเป็นตำนานได้ก่อนที่มหายุคจะมาเยือน

สำหรับราชันกึ่งระดับ…

บัดนี้หลินสวินเข้าใจชัดเจนแล้วว่า ที่เรียกว่า ‘ราชันกึ่งระดับ’ ก็คือผู้แข็งแกร่งที่ยามทะลวงด่านเร้นเกิดดับ เท้าข้างหนึ่งก้าวเข้าธรณีประตูไปแล้ว แต่สุดท้ายกลับไม่อาจหลอมมรรคกลายเป็นราชันที่แท้จริง

สรุปโดยง่ายคือ นี่ก็แค่ผู้แข็งแกร่งซึ่งทะลวงระดับราชันล้มเหลวส่วนหนึ่ง!

ศักยภาพของผู้แข็งแกร่งระดับนี้อาจทรงพลัง ทะลวงพ้นพันธนาการแห่งปราณห้าระดับใหญ่ แต่กลับค้างอยู่หน้าประตูทางเข้าระดับราชัน เดินหน้ายากถอยก็ลำบาก สถานการณ์บนมหามรรคซับซ้อนนัก

ในดินแดนรกร้างโบราณ จำนวนของราชันกึ่งระดับมีเยอะมาก แต่เมื่อนึกถึงว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งซึ่งล้มเหลวยามทะลวงระดับราชัน ก็เพียงพอพิสูจน์ว่าการกลายเป็นราชันต้องไม่ใช่เรื่องง่ายดายเช่นนั้นแน่!

ผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุตินับหมื่นพัน ก็ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถก่อเกิดเป็นราชัน

การกลายเป็นราชันจำต้องทะลวงด่านเร้นเกิดดับ ต้องหลอมรากฐานแห่งมหามรรค… นอกจากเงื่อนไขด้านรากฐานและศักยภาพแห่งตนที่ละเอียดลออยิ่งแล้ว สิ่งสำคัญยังอยู่ที่โชควาสนา!

ไร้โชควาสนา ไม่อาจกลายเป็นราชัน!

นี่คือสิ่งที่รับรู้ร่วมกันซึ่งไม่อาจหักล้างมาแต่โบราณ

แต่มรรคามกุฎราชันซึ่งบุคคลขอบเขตมกุฎรุ่นเยาว์อย่างพวกหลินสวินแสวงหา กลับเลือนรางและล้ำลึกยิ่งกว่า

ถึงอย่างไรสมัยบรรพกาล มกุฎราชันล้วนเป็นเรื่องดั่งตำนาน

มองดูจากอดีตจวบจนปัจจุบัน มีบุคคลแห่งยุคซึ่งฝีมือเลิศล้ำอัศจรรย์ไม่รู้เท่าไหร่ ปีศาจผู้กล้าที่ชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้าเองก็นับไม่ถ้วน

แต่ที่สามารถก้าวสู่ระดับมกุฎราชันกลับมีบางตาไม่กี่คน!

กระทั่งล้วนไม่อาจยกตัวอย่างบุคคลผู้สามารถพิสูจน์มรรคานี้!

เหตุผลนั้นง่ายมาก หากปรารถนาก้าวสู่มกุฎราชันต้องมีมหาศุภโชค มหาวาสนา

หากคลาดเคลื่อนผิดจังหวะ แม้มีรากฐานและพรสวรรค์ชวนตะลึงพลิกฟ้าก็คงไร้วาสนาก้าวสู่ระดับนี้

แต่ปัจจุบันกลับต่างออกไป

มหายุคที่ไม่เคยมีมาก่อนจวนมาเยือน แต่ละสำนักโบราณต่างคาดเดาวิเคราะห์ออกมา ว่าในมหายุคนี้ต้องปรากฏมกุฎราชันที่แท้จริง!

ฟุ่บ!

เงาร่างเงินยวงร่วงหนึ่งทะยานมา แรกเริ่มราวว่างเปล่า แต่ภายหลังควบรวมเป็น ‘คนตัวเล็ก’ สูงเพียงฝ่ามือคนหนึ่ง

เจ้าตัวเล็กคิ้วกระบี่เนตรดารา ร่างตรงดิ่งดั่งหอกทวน สวมชุดเงินดุจจำแลงจากแสงดาว พลิ้วคลื่นพลังจิตวิญญาณอัศจรรย์หลากสาย

เครื่องหน้าทั้งห้าของเขาดั่งผลงานชิ้นเอกแห่งสรวงสวรรค์ เผยความสง่างามและสมบูรณ์แบบถึงขีดสุด คิ้วกระบี่ดั่งหมึกเขียน นัยน์ตาดุจดวงดาว จมูกโด่งเป็นสัน ปากบางโค้งเฉียบคมดุจศาสตรา

เส้นผมดำขลับทั้งศีรษะมัดไว้หลวมๆ อยู่เบื้องหลัง พลิ้วตามลมรัตติกาลที่พัดผ่าน มีกลิ่นอายพ้นโลกีย์ สันโดษอิสระ

ดูเหมือนคนตัวเล็กจ้อย แต่งดงามกว่ายอดพธูที่โลกกล่าวขาน ต่อให้เป็นหญิงงามแห่งยุคเกรงว่าล้วนไม่อาจครอบครองเครื่องหน้าซึ่งประณีตเช่นนี้

ทว่าเขามิได้ดูบอบบาง รูปร่างสูงโปร่งดั่งหอกทวน นัยน์ตาเยียบเย็นแน่วแน่ รวมถึงด้านหลังพาดกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง ให้ความรู้สึกหยิ่งผยองเย็นชาอย่างหนึ่ง

“นายท่าน ภารกิจลุล่วง!” คนตัวเล็กเอ่ยเสียงใส ราบเรียบ เจือความตรงไปตรงมา

น่าอัศจรรย์!

แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นเสี่ยวอิ๋น แต่หลินสวินยังถูกรูปร่างหลัง ‘แปลงร่าง’ ของเจ้านี่ทำเอาตะลึง

กระทั่งเขายังอิจฉาอยู่บ้าง อดไม่ได้ที่จะกล่าว “เสี่ยวอิ๋น ข้าถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าเป็นเพศผู้หรือเพศเมียกันแน่”

คิ้วกระบี่ของเสี่ยวอิ๋นมุ่นขมวด กล่าวเย็นชา “นายท่าน ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้! หรือท่านยังคิดดูหมิ่นศักดิ์ศรีข้า”

ครั้งก่อนที่ส่วนลึกก้นทะเลสาบหาดดาราขจร เสี่ยวอิ๋นกลืนกิน ‘แกนดารา’ ที่แฝงพลังจิตวิญญาณบริสุทธิ์ก้อนหนึ่ง ทำให้เกิดการแปรสภาพอย่างราบรื่น ก้าวสู่การวิวัฒน์ขั้นที่สาม

ไม่เพียงปลุกพรสวรรค์สายเลือดของเผ่าหนอนกินเทพ ยังกลายร่างเป็นคนได้ ไม่ถูกจำกัดอยู่ในร่างเดิมที่เป็นแมลงอีก

ตามคำอธิบายของเสี่ยวอิ๋น หลังกลายร่างเป็นคนจึงถือเป็น ‘หนอนกินเทพ’ อย่างแท้จริง มีมรรควิถีและพลังของตนเอง

“ข้าแค่รู้สึกว่า… รูปร่างเจ้างามเกินไป เจ้า… เป็นเด็กผู้ชายจริงหรือ” หลินสวินพินิจพิเคราะห์เสี่ยวอิ๋นอย่างสงสัยใคร่รู้

“นายท่าน ดวงตาท่านมองไปไหน” เสี่ยวอิ๋นสีหน้าทะมึน เดือดดาลหาใดเปรียบ เพราะเขาสังเกตเห็นว่าสายตาหลินสวินกำลังประเมินส่วนสงวนของเขา คล้ายต้องการยืนยันบางอย่าง…

“อ้อ ไม่มีอะไร กระบี่นี้ของเจ้าไม่เลวทีเดียว” หลินสวินรีบถอนสายตากลับ หัวเราะแก้เก้อ เขาดูออกว่าเจ้าหนูนี่จวนจะระเบิดแล้ว

มุมปากเสี่ยวอิ๋นเผยรัศมีหยิ่งทะนงวูบหนึ่งกล่าวว่า “กระบี่นี้วิวัฒน์จากร่างเดิมของข้า ประทับแกนพลังเผ่าข้านามกินเทพ!”

“ข้าขอดูหน่อยได้หรือไม่” หลินสวินได้ยินดังนั้นก็เก็บอาการหยอกล้อ สังเกตได้อย่างฉับไวว่ากลิ่นอายกระบี่ที่เสี่ยวอิ๋นพาดหลังนั่นไม่ธรรมดายิ่ง

“ไม่ได้ขอรับ” เสี่ยวอิ๋นปฏิเสธหนักแน่น “กระบี่ใช้ฆ่าคนหาใช่ของเล่น นายท่าน หลักการนี้หรือท่านไม่เข้าใจ”

หลินสวินพลันรู้สึกเสียหน้านัก แต่ก็รู้ว่าเสี่ยวอิ๋นอุปนิสัยเช่นนี้ รักศักดิ์ศรียิ่งชีพ ไม่อาจสบประมาท

เขาเอ่ยถาม “เช่นนั้นเจ้าฝึกวิถีกระบี่อะไร”

“ปลิดชีพ” ริมฝีปากเสี่ยวอิ๋นขยับกล่าวสองคำแผ่วเบา เมื่อจับคู่กับใบหน้าเล็กงามสง่าหาใครเทียมนั่น ท่าทางจึงหยิ่งทะนงหาใดเปรียบ

‘เดี๋ยวนี้ชักอวดเบ่งเสียจริง’ หลินสวินพึมพำกับตัวเอง

“นายท่าน ข้าต้องไปฝึกแล้ว”

เสี่ยวอิ๋นพูดพลางทะลวงเข้าห้วงนิมิตของหลินสวินเอง “จริงสิ ต่อไปอย่าเรียกใช้ข้าด้วยเรื่องสัพเพเหระ คนพวกนี้ไม่คู่ควรดับชีพใต้กระบี่ข้า”

“…” หลินสวินมุมปากกระตุกเล็กน้อย คนอื่นล้วนบอกว่าเขาเทพมารหลินจองหอง แต่เห็นชัดว่าเสี่ยวอิ๋นเหิมเกริมเสียยิ่งกว่าเขา!

แต่จะว่าไปหลังเสี่ยวอิ๋นเลื่อนขั้น ด้วยพลังต่อสู้ของเจ้าตัว การสังหารผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติชั้นยอดก็เป็นเรื่องง่ายดาย

ซ้ำรูปแบบการต่อสู้ของเขายังเป็นเอกลักษณ์ยิ่ง เงียบเชียบไร้สุ้มเสียง เพ่งเล็งจิตวิญญาณโดยเฉพาะ ภายใต้การจู่โจมกะทันหันสามารถปลิดชีพราชันกึ่งระดับโดยสมบูรณ์!

นี่ก็คือความน่ากลัวของเผ่าหนอนกินเทพ

แน่นอนว่าหากเจอศัตรูที่ฝึกวิชาลับจิตวิญญาณ หรือครองสมบัติลับจิตวิญญาณก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เพียงแต่อัตราการเกิดสถานการณ์เช่นนี้ช่างน้อยนัก

อย่างน้อยหลินสวินก็รู้ชัดว่าสมบัติลับจิตวิญญาณหาใช่สมบัติธรรมดา ยากพบเห็นและหายากเหลือประมาณ พวกที่สามารถครองสมบัติลับจิตวิญญาณ อย่างน้อยก็ต้องเป็นบุคคลแห่งยุคอย่างอวี่หลิงคง ซุ่นไป๋เสวียน จี้ซิงเหยาทั้งสิ้น

รัตติกาลดุจหมึกเขียน

หลิงหงจินตื่นจากการหมดสติ สิ่งแรกที่เห็นคือหลินสวินซึ่งอยู่ตรงข้ามนาง

ทันใดนั้นร่างอรชรเพรียวยาวพลันแข็งทื่อ ใบหน้างามพลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือดหาใดเปรียบ

ในสายตานาง หลินสวินประหนึ่งกลายเป็นพิบัติใหญ่หลวงทีเดียว

ทว่านอกจากหวาดกลัว นางกลับอดสงสัยไม่ได้ว่าตนยังมีชีวิตอยู่หรือ

แต่ไม่ช้านางก็เข้าใจเหตุผล

“ในเมื่อเป็นการตามล่าก็ต้องมีคนดูแลภารกิจนี้ สาเหตุที่ข้าไม่สังหารเจ้าก็แค่อยากรู้ข่าวบางอย่างเท่านั้น หากเจ้าให้ความร่วมมือ บางทีข้าอาจละเว้นชีวิตเจ้าสักครั้ง” หลินสวินเอ่ยปาก สายตาเยียบเย็น

แม้หน้าตาหลิงหงจินงดงามยิ่ง แต่ยังไม่อาจทำให้เขาใจอ่อนและหักห้ามใจไม่อยู่

ในสายตาเขาศัตรูก็คือศัตรู ไม่แบ่งแยกชายหญิง

“ที่แท้เจ้าก็หวังสิ่งเหล่านี้” หลิงหงจินในใจพลันกระจ่าง อดกล่าวเย็นชาไม่ได้ “แต่คิดหรือว่าข้าจะบอกเจ้า”

“มีปณิธาณนับว่าน่าชื่นชม เพียงแต่จิตวิญญาณเจ้าถูกข้าวางผนึกต้องห้ามแล้ว แม้คิดฆ่าตัวตายก็ล้วนเป็นไปไม่ได้”

วาจาหลินสวินราบเรียบ

“ตายไม่ได้ก็ใช่ว่าข้าจะยอมจำนน” หลิงหงจินนิ่งสงบนัก นัยน์ตางามเจือความเด็ดเดี่ยว

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่าหาว่าข้าใช้ทัณฑ์บังคับ” หลินสวินกล่าว

“น่าขัน” หลิงหงจินปรามาส “เจ้าลองดูก็ได้ว่าข้าจะยอมจำนนหรือไม่”

“ทัณฑ์ทรมานทั่วไปอาจทำอะไรเจ้าไม่ได้ แต่หากข้าจับเจ้าแก้ผ้า นำร่างเปลือยเปล่าเจ้าแขวนไว้หน้าประตูเมืองสักแห่ง เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร” หลินสวินยิ้มกล่าว วาจาสบายอารมณ์ยิ่ง

แต่กลับทำหลิงหงจินสั่นไปทั้งตัว ดวงหน้างามพลันเปลี่ยนแปร “เจ้ากล้า!”

ถึงแม้เตรียมใจตายนานแล้ว แต่เมื่อนึกว่าตนต้องนุ่งลมห่มฟ้าถูกแขวนให้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนกวาดมองเรือนร่างโดยไม่หวั่นเกรง นางก็รู้สึกอับอายและหวาดกลัวเหลือจะเอ่ย

“ข้าพูดจริงทำจริงเสมอ” หลินสวินกล่าวเฉยชา “ถ้าไม่เชื่อ ตอนนี้ก็ลองดูได้”

“ต่ำช้า! คิดไม่ถึงว่าเจ้าเทพมารหลินจะเป็นพวกไร้ยางอายต่ำช้าเช่นนี้!” นัยน์ตางามของหลิงหงจินดุจเปลวเพลิงร้อนระอุ ขบฟันแทบแหลก

“ข้าต่ำช้าหรือ”

นัยน์ตาดำของหลินสวินวาบแววยะเยือก “พวกเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ล่าสังหารข้าคนเดียวดั่งวิญญาณตามติดไม่เรียกต่ำช้า? ช่างน่าขันเสียจริง หรือมีเพียงพวกเจ้าสังหารข้าได้ แต่ไม่ยินยอมให้ข้าโต้กลับ”

หลิงหงจินกล่าวเดือดดาล “ในเมื่อเป็นการโต้กลับก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีสบประมาทเช่นนี้ ถ้ากล้าเจ้าก็สังหารข้าเสียเถอะ!”

หลินสวินคร้านจะพูดมากความ เริ่มลงมือ

พรึ่บ!

อาภรณ์ช่วงไหล่หลิงหลงจินถูกฉีกกระชาก เผยหัวไหล่ละมุนยิ่งกว่าหิมะและผิวเนินอกเนียนขาวผ่องแถบหนึ่ง ดูแวววาวราวหยกมันแพะภายใต้แสงรัตติกาล

“หลินสวิน เจ้ามันต่ำช้าไร้ยางอาย ไพร่สถุลยิ่งนัก!” หลิงหงจินกรีดร้อง นางคิดไม่ถึงสักนิดว่าหลินสวินจะกล้าทำเช่นนี้จริง ที่สำคัญที่สุดคือทั่วร่างนางไร้เรี่ยวแรง อย่าว่าแต่ดิ้นรน แม้แต่นิ้วมือยังไม่อาจขยับ

ฟุ่บ!

อาภรณ์อีกแถบถูกฉีกขาด เผยผิวต้นขาเกลี้ยงเกลาขาวกระจ่างช่วงหนึ่ง

หลิงหงจินตกประหม่าอย่างสิ้นเชิง ใบหน้างามโกรธจนคล้ำเขียว ดวงตาปูดโปนแทบถลน “หลินสวิน เจ้าก็นับเป็นบุคคลที่ก้าวสู่มกุฎผู้หนึ่ง แม้ความละอายสักนิดก็ไม่มีแล้วหรือ เจ้าไม่กลัวถูกแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ของข้าล้างแค้นรึ ไม่กลัวถูกผู้ฝึกปราณทั้งใต้หล้าดูถูกหรืออย่างไร”

ฟึ่บ!

หลินสวินไม่สะทกสะท้าน การเคลื่อนไหวไม่ช้าไม่เร็ว อาภรณ์บนตัวหลิงหงจินไม่ช้าก็ถูกฉีกทึ้งสิ้น ร่างสูงเพรียวอ่อนช้อยนั่นเปลือยเปล่าทีละน้อย…

นี่คือภาพซึ่งสามารถทำให้ชายทั่วไปคนใดกระอักโลหิต หลิงหงจินเป็นถึงหนึ่งในสี่ยอดผู้กล้าหญิงแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์นับไม่ถ้วนใฝ่ฝันและชื่นชม แน่นอนว่าเป็นยอดสาวงามซึ่งไม่อาจโต้เถียงคนหนึ่ง

ใบหน้านางพริ้งเพรา ผิวพรรณยิ่งกว่าหิมะ เอวบางร่างน้อย สูงโปร่งอรชรประหนึ่งหญิงสูงศักดิ์ ท่าทางสง่างามโดดเด่น

เปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณอื่น อย่าว่าแต่เปลื้องอาภรณ์นาง เกรงว่าต่างไม่กล้ามีจิตลบหลู่อันใด

แต่เห็นชัดว่าทุกอย่างนี้ไม่มีผลต่อหลินสวินสิ้นเชิง

………………….