ตอนที่ 2348 เงาสีเลือดกับสายฟ้าสีชาด

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

ตอนที่อักษรสีเงินจางหายไป พื้นที่รอบๆ ที่เคยเต็มไปด้วยหุ่นเชิดก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

จากนั้นเมื่อความพร่าเลือนหายไป ก็มีตำหนักปรากฏขึ้นด้านหน้า

“พังแล้ว ยอดเยี่ยมมาก พี่เซียวนี่ฝีมือดีจริงๆ” เมื่อฮูหยินวั่นฮวาได้เห็นดังนั้นก็รู้สึกดีใจอย่างมาก

“เขตอาคมต้องห้ามของที่นี่ค่อนข้างลึกลับ อาจจะไม่มีใครเคยมาที่นี่มาก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเราต้องรีบไป ข้าว่าจะศึกษามันสักหน่อย” เซียวหมิงพูดออกมาพร้อมถอนหายใจ

“หึๆ พี่เซียวไม่จำเป็นต้องเสียดายขนาดนั้น ที่นี่พระราชวังส่วนนอก แม้ว่าของวิเศษบางชิ้นจะไม่มีความจำเป็นต่อข้า หากเรารีบเข้าไปที่ส่วนกลางของพระราชวัง ก็ยังไม่ใช่เรื่องที่เราจะเรียกร้องขอเอาได้เช่นกัน” สหายชิงผิงกล่าวขึ้นมาอย่างยิ้มแย้ม

“ข้าเข้าใจเหตุผลเรื่องนี้ แต่ของวิเศษที่อยู่ใกล้ก็ไม่สามารถเอาไปได้ ในใจยังรู้สึกว่าเสียดายอยู่นิดหน่อย” เซียวหมิงยิ้มน้อยๆ แล้วตอบ

จากนั้นทั้งสามคนก็เดินไปตามทางเล็กๆ นี้ เขากลายร่างเป็นแสงและพุ่งตรงเข้าไปในเขตพระราชวัง

…ภายในเขตอาคมต้องห้ามของพระราชวังส่วนนอก ชายฉกรรจ์สวมชุดแพรยืนจ้องลิงยักษ์ขนาดสูงกว่าร้อยจั้งอย่างเย็นชา ลูกศิษย์นับร้อยได้รวมตัวกันอยู่ในค่ายกลอย่างลึกลับ เพื่อล้อมและดักจับอสูรตัวนั้น

ศิษย์เหล่านั้นก็ได้กระตุ้นอาวุธในมืออย่างรวดเร็ว พลังของเขตอาคมก็ถูกกระตุ้นจนถึงเขตสูงสุด ยิ่งอัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ พลังค่ายกลที่มองไม่เห็นโจมตีเข้าที่วานรสองหัวอย่างรุนแรง หลังจากนั้นไม่นานสัตว์ตัวนั้นก็ล้มลงไปด้วยเสียงดังกึกก้อง

ตอนนั้นเองลิงยักษ์แข็งค้างไป ในที่สุดเขาไม่สามารถทนต่อแรงโจมตีรอบด้านได้ ชายสวมชุดแพรสะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้ง จากนั้นรุ้งสีเงินก็ปรากฏขึ้นมา หลังจากที่มันบินวนรอบลิงยักษ์แล้ว มันก็ฟันเข้าที่ตรงกลางของวานรสองหัวนั้นทันที

แรงกดดันสีเทาๆ ที่อยู่รอบด้านก็ค่อยๆ แตกสลาย และพังลงมาในที่สุด

…พื้นที่ที่มีลักษณะเหมือนหนองบึงแห่งหนึ่งที่อยูในพระราชวังส่วนนอก มีตะขาบยักษ์ตัวหนึ่ง รอบกายของมันเปล่งแสงสายฟ้าสีน้ำเงินออกมา แมงปอยักษ์อีกตัวที่เต็มไปด้วยไอมารสีดำ และงูหลามยักษ์อีกตัวก็กำลังอาละวาดอย่างดุร้าย

บนหัวของสัตว์แต่ละตัวมีชายชราร่างผอมนั่งไขว่ห้างอยู่ด้านบน

ด้านในนั้นไม่ได้มีเพียงเสือโคร่ง เสือดาว หมาป่า หมาจิ้งจอกเท่านั้น ยังมีสัตว์รูปร่างแปลกๆ อีกมากมาย พวกมันมีระดับไม่ต่ำกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับกลาง มันล้อมรอบสัตว์ยักษ์ตัวนั้นแล้วกัดกินอย่างมูมมาม

แต่ชายชรากลับนั่งอยู่บนสัตว์ทั้งสามอย่างนิ่งเฉย พวกเขาไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลย

ด้านนอกของผนึกห้าสี มีชายหนุ่มห้าคนแต่งตัวแตกต่างกัน นั่งสมาธิอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ราวกับรออะไรสักอย่างอย่างใจจดใจจ่อ

ทันใดนั้นบนท้องฟ้าก็ระลอกคลื่นรุนแรง หลุมดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น

เสียงระเบิดดังสนั่น กลุ่มแสงสีเลือดก็กระจายออกไป หลังจากที่มันหมุนเป็นวงกลมแล้ว มันก็รวมตัวและกลายเป็นเงาร่างสีเลือดจางๆ ของคนคนหนึ่ง แววตาส่องแสงเหมือนหยกเขียว ใบหน้าเลือนราง และยังมีปราณมารชนิดหนึ่งที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้

เมื่อเห็นดังนั้นชายหนุ่มคนที่ห้าที่นั่งอยู่ก็ลุกขึ้นยืนทันที มีลำแสงกลุ่มหนึ่งลอยออกมาจากตัวของเขา ตรงหน้าของเขาปรากฏมีดบินกระดูกขาวสิบสองเล่ม ภายนอกเคลือบด้วยเปลวเพลิงสีเขียว

“เบญจโลหิต นี่พวกเจ้าต้องการสู้กับข้าหรือ?” เมื่อร่างเงาจางๆ สีเลือดเห็นดังนั้น จึงถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ

“พวกเรามาอย่างรีบร้อน จึงไม่มีกุญแจที่จะทำลายเขตอาคม ดังนั้นจึงต้องขอกุญแจที่อยู่บนตัวของสหายแล้วล่ะ ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร ก็ส่งกุญแจออกมาซะ แล้วพวกเราจะปล่อยพวกท่านไป” ชายหนุ่มที่อยู่ตรงกลางเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“ฮ่าๆ ทำเป็นยิ่งใหญ่เหลือเกิน ก็ดี เงาสีเลือดของข้าต้องการแก่นเลือดมาหล่อเลี้ยงพอดี เช่นนั้นเจ้าเสียสละเลือดเนื้อของเจ้ามาสิ” เมื่อร่างเงาได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ร่างที่เลือนรางนั้น ก็กลายร่างเป็นลำแสงสีเลือดยาวๆ ห้าสาย พุ่งเข้าโจมตีที่เบญจโลหิต

“แม้ว่าวิชาเงาสีเลือดจะมีความรุนแรงมาก แต่ใช่ว่าจะไม่มีทางจัดการ” ชายหนุ่มคนหนึ่งหัวเราะเสียงเย็น ร่างทั้งร่างของเขาส่องแสงสีขาวจางๆ ของวิเศษชิ้นนี้ปรากฏขึ้นและกลายร่างเป็นม่านแสง

ชายหนุ่มอีกสี่คนเลือนรางและค่อยๆ หายไปท่ามกลางความว่างเปล่า

วินาทีต่อมา กลางอากาศก็มีการปะทะของลำแสงสีเลือดจนทำให้เกิดเสียงดังขึ้น

…นอกจากประตูยักษ์บานนั้นทำให้คนมีผู้มีฝีมือมากกว่าพันคนมารวมตัวกัน ส่วนใหญ่จะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ และมีมากกว่าสามสิบคนที่นำของวิเศษออกมา ด้วยพลังสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังโจมตีไปที่ประตูยักษ์อย่างบ้าคลั่ง

แต่อักษรรูนสีเงินสีทองบนบานประตูส่องแสงเล็กน้อย แต่บานประตูกลับไม่ขยับเลย

คนอื่นๆ ยืนมองอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเย็นชา แทบจะไม่มีการรบกวนการกระทำของพวกเขาเลย

“แค่ขยะกลุ่มหนึ่ง มีความสามารถเท่านี้ยังคิดว่าจะเข้าไปในพระราชวังเทียนติ่งอีกหรือ ไสหัวไปให้หมด!”

ตอนนั้นเองที่กลางอากาศก็มีเสียงโครมครามราวกับฟ้าผ่า เสียงเหล่านั้นกระแทกในใบหู บางคนที่มีการฝึกฝนระดับต่ำ เข่าแทบอ่อน จึงร่วงลงไปที่พื้น

“ตู้ม”

สายฟ้าสีชาดกลุ่มหนึ่งมีขนาดเท่ากับหนึ่งหมู่ปรากฏขึ้นมาจากที่สูง และพุ่งเข้าโจมตีที่ประตูยักษ์บานนั้นอย่างจัง

ทันใดนั้นเองสายฟ้าสีชาดเส้นหนึ่งก็หมุนวนอยู่รอบๆ อยู่ที่หน้าประตู คลื่นความร้อนพัดกระจายไปทั่วทุกทิศทุกทางจนทำให้คนตกใจอย่างมาก

ผู้บำเพ็ญเพียรหลายสิบคนที่อยู่บริเวณใกล้เคียง สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก และค่อยๆ หนีออกมา

มีไม่กี่คนที่หนีไม่ทัน หลังจากที่โดนคลื่นความร้อนเหล่านั้นแล้วก็กรีดร้องออกมาอย่างโหยหวน เมื่อเสียงร้องหยุดไปและตรงลงไปตรงนั้น

ภายใต้การโจมตี ประตูยักษ์บานนั้นก็ค่อยๆ เปิดออกอย่างช้าๆ

ประจุสายฟ้าสีชาดพวกนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว ส่วนคนนั้นก็เปลี่ยนร่างตนเองเป็นลูกบอล พร้อมพุ่งเข้าไปในประตูบานนั้นอย่างไร้ร่องรอย

หลังจากเสียงโครมครามของประตูบานยักษ์ จากนั้นมันก็ค่อยๆ กลับมาสู่สภาพเดิม

“บรรพชนสายฟ้าสีชาด คนเมื่อครู่คือบรรพชนสายฟ้าสีชาด”

ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตะโกนขึ้นมา

แต่ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่บริเวณนั้นได้ยินเช่นนั้น จึงอดมองหน้ากันด้วยความแปลกใจไม่ได้

เมื่อเทียบกับการเปิดของพระราชวังเทียนติ่งในครั้งที่แล้ว คนที่เข้าไปส่วนใหญ่เป็นระดับผสานอินทรีย์ แต่ในปีนี้มีมหาเมธีเข้ามากกว่าเดิมมาก

ดูเหมือนว่ากุญแจของพระราชวังเทียนติ่งจะกระจายออกไปเยอะมาก ในที่สุดก็ดึงดูดพวกผู้อาวุโสเหล่านี้มาได้

…สามวันต่อมา ภายในพระราชวังเทียนติ่ง หานลี่กำลังเดินอยู่ที่โถงทางเดินยาว แต่จู่ๆ ด้านหน้าของเขาก็มีหุ่นเชิดสีทองและสีเงินขวางทางเขาอยู่

หุ่นเชิดทั้งสองตัวนี้มีความยาวขนาดเจ็ดถึงแปดจั้ง แต่ละตัวถือค้อนที่มีสีเดียวกับตัว แต่บนร่างกายของเขานั้นมีรอยแผลเป็นมากมาย ราวกับว่าเมื่อหลายปีก่อน มีการต่อสู้ที่ดุเดือดเกิดขึ้น

หานลี่กวาดสายตามองหุ่นเชิดสองตัวนั้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาหันไปเห็นประตูไม้สีแดงซีดที่อยู่ด้านหลังของหุ่นเชิดทั้งสองตัวนี้ จากนั้นเขาก็ก้าวขึ้นไปด้านหน้าอย่างช้าๆ

“ตู้มๆ” เสียงระเบิดเกิดขึ้นสองครั้งพร้อมกัน เมื่อหานลี่เดินเข้าใกล้หุ่นเชิดทั้งสอง ค้อนทั้งสี่อันในมือของพวกเขาเหล่านั้นก็ทุบลงมาที่ตัวของหานลี่อย่างแรง

แสงสีเขียวสว่างวาบ เส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากร่างกายของหานลี่ โจมตีหุ่นเชิดทั้งสองจนมันแหลกสลายไปในทันที

หลังจากที่หานลี่เดินผ่านไป เขาก็สะบัดมือไปที่ประตูสีแดงซีดเบาๆ ทันใดนั้นก็มีพลังที่ไร้รูปร่างพุ่งออกมา และผลักประตูเข้าไป

ภายในห้องโถงห้องใหญ่ห้องนี้มีแท่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเรียงแถวกันอยู่ ด้านบนมีศาสตรายุทธ์หลากหลายชนิด มีบางชิ้นที่ส่องแสงแสบตา บางชิ้นดูมืดมัว แต่รวมๆ กันแล้วมีหลายพันชิ้นเลยทีเดียว

หานลี่ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็สาวเท้าใหญ่ๆ เข้าไป

…ในเดียวกันนั้นเอง ด้านบนของผืนทะเลไกลสุดลูกหูลูกตา ฮูหยินวั่นฮวาและสหายชิงผิงมีสีหน้าน่าเกลียดอย่างมาก เพราะเขาถูกแขวนเอาไว้กลางอากาศ

ไม่ห่างจากสหายทั้งสองมากนัก เซียวหมิงนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ มือข้างหนึ่งก็ถือจานแปดเหลี่ยมเอาไว้ นิ้วทั้งสิบของเขานับไปเรื่อยๆ ราวกับกำลังคำนวณอะไรบางอย่างอยู่

“คิดไม่ถึงว่านี่จะเป็นสถานที่ที่สอง นี่เป็นภาพมายาที่แข็งแกร่งมาก พวกเขาถูกขังไว้ที่นี่สองวันแล้ว” จู่ๆ ฮูหยินวั่นฮวาก็พูดกับสหายชิงผิง

“ความจริงแล้ว ข้าน้อยเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าภาพมายาของที่นี่จะแข็งแกร่งขนาดนี้ ขนาดพี่เซียวยังไม่สามารถทำลายมันได้ด้วยระยะเวลาสั้นๆ เลย แต่ว่ามันก็ไม่น่าแปลกใจ แม้ว่าที่นี่จะเป็นเพียงตำหนักด้านนอก แต่เพราะว่าเส้นทางที่เราเลือก สถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นส่วนลึกที่สุดของพระราชวังเทียนติ่งแล้ว ขอเพียงแค่ทำลายสถานที่แห่งนี้สำเร็จ เราน่าจะอยู่ห่างจากศูนย์กลางของพระราชวังไม่ไกลแล้ว” สหายชิงผิงขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นนะ” สีหน้าของฮูหยินวั่นฮวายังคงมืดครึ้มเหมือนเดิม

ในตอนนี้พี่เซียวก็ยังทำสมาธิโดยไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนเลย ราวกับว่าเขาไม่ได้รับรู้เกี่ยวกับโลกภายนอกเลย

เจ็ดวันต่อมา หน้าประตูใหญ่ด้านนอกของห้องโถงในพระราชวังเทียนติ่งแห่งหนึ่ง เซวี่ยพั่วกำลังเดินออกมาจากห้องโถงนั้นช้าๆ สีหน้าเต็มไปด้วยการครุ่นคิด ราวกับว่าภายในห้องโถงที่นางเดินออกมา มีอะไรบางสิ่งที่กระทบจิตใจ

แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ มีแสงสายฟ้าสีแดงพุ่งเข้ามาหา เมื่อแสงสว่างวาบ ทำให้เห็นชายชราผู้หนึ่งสวมชุดคลุมสีแดงชาด ใบหน้าของชายชราคนนั้นมีรอยอักษรอัสนีอยู่ด้วย

เซวี่ยพั่วชะงักไปทันที นางสะบัดแขนเสื้อออกมาโดยแทบไม่ต้องคิด แสงสีเขียวสองกลุ่มก็พุ่งออกมา หลังจากที่มันวนรอบๆ จากนั้นก็กลายเป็นหุ่นเชิดสองตัวยืนอยู่ด้านหน้าของนาง

หุ่นเชิดตัวหนึ่งสวมชุดเกราะสีเขียว ในมือของเขาถือคันธนูคันใหญ่เอาไว้ ส่วนอีกตัวสวมชุดเกราะสีดำ สองมือถือหอกสีฟ้าอ่อนด้ามหนึ่งเอาไว้

“เอ๋ หุ่นเชิดระดับผสานอินทรีย์ หายากมากทีเดียว แม่นางน้อยบอกชื่อเจ้ามาสิ เจ้ามาที่นี่กับใครกัน” หลังจากที่ชายชราผู้นั้นกวาดสายตาสำรวจหุ่นเชิดสองตัวนั้นแล้ว ใบหน้าของเขาก็มีความตกใจอย่างมาก แต่ก็รีบถามขึ้นมาทันที

“ผู้น้อยมีนายว่าเซวี่ยพั่ว ข้าเข้ามากับท่านอาวุโสท่านหนึ่งจริง ท่านอาวุโสท่านนั้นคือ…” เซวี่ยพั่วมองออกในทันทีว่าคนผู้นี้คือคนระดับมหาเมธี ในใจเกิดความกระวนกระวายและลังเลเล็กน้อย

“แซ่หาน ข้าไม่เคยได้ยินมหาเมธีแซ่นี้มาก่อนเลย หรือว่าเป็นสหายที่เพิ่งเลื่อนขั้นมาได้ไม่นาน? ช่างเถอะ ไม่ว่าเจ้าจะมากับใครก็เหมือนกัน เจ้านำกุญแจและของมีค่าที่เอามาจากห้องโถงด้านในมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ อย่ามาหลอกลวงข้าด้วยคำโกหก ข้าใช้เคล็ดวิชาค้นวิญญาณก็รู้ได้ทันทีแล้ว” ใบหน้าของชายชราเพิ่มความดุร้ายขึ้นหลายส่วน และพูดกับเซวี่ยพั่วอย่างไม่เกรงใจ

“ผู้น้อยไม่เจออะไรที่นี่เลย ส่วนกุญแจที่ว่าก็อยู่กับตัวของท่านผู้อาวุโส แต่ที่ท่านทำเช่นนั้น จะเป็นการเสียมารยาทไปหรือไม่” เมื่อเซวี่ยพั่วได้ยินว่าเขาต้องการจะแย่งชิง นางก็รู้สึกโมโหขึ้น ใบหน้ามีแต่รอยยิ้มแข็งค้าง

“ไม่ให้หรือ เช่นนั้นข้าต้องชิงมาด้วยตนเอง” เมื่อชายชราได้ยินดังนั้นก็ยิ้มอย่างน่ากลัว แล้วเดินขึ้นมาด้านหน้า