ตอนที่ 711 เฒ่าร้ายกาจเคียงคู่ตุ๊กตาน้อย

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

“บรรพชนน้อย หากว่าได้ยินแล้ว ช่วยตอบสักคำได้หรือไม่?” เสียงที่ดังออกมาจากยันต์สื่อสาร เป็นเสียงของบุรุษที่กำลังร้อนใจ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันกลับไม่สนใจสักนิด มุ่งมั่นกับการแทะขาหมูต่อไป 

 

 

หลังจากที่จีเฉวียนทนฟังเสียงนั้นดังอยู่หลายต่อหลายรอบ ในที่สุดอีกฝ่ายก็ได้ยินเสียงตอบกลับไป 

 

 

“ว่ามา” จีเฉวียนหยิบยันต์สื่อสารออกมาจากถุงเฉียนคุนของตู๋กูซิงหลัน เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา 

 

 

พอได้ยินเสียงของเขา อีกฝ่ายก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ พักใหญ่ค่อยได้สติขึ้นมา 

 

 

“เจ้า ….เจ้าเป็นผู้ใดกัน?” 

 

 

“ว่าที่สามีของซิงซิง” จีเฉวียนเอ่ยอย่างผ่าเผยออกไปประโยคหนึ่ง ฐานะที่แสนสำคัญเช่นนี้ทำให้เขาภาคภูมิใจไม่น้อย แม้แต่หางเสียงก็ยัง เน้นหนักขึ้นมา 

 

 

แค่ประโยคเดียว อีกฝ่ายถึงกับนิ่งอึ้งไปจริงๆแล้ว 

 

 

ฝั่งที่ส่งเสียง มิได้มีแต่เพียงฉู่เจียงที่มีสีหน้าตกตะลึง ยมราชทั้งหกต่างก็มีเครื่องหมายคำถามเกิดขึ้นในสมองอย่างพร้อมเพรียง 

 

 

ว่า ว่าที่สามีอะไร? ศิษย์ของหมิงอ๋อง จะแต่งงาน? 

 

 

ฉู่เจียงอ้าปากค้าง อ้ำอึ้งอยู่เนิ่นนานก็ยังพูดอะไรไม่ออก 

 

 

ช่วงที่ผ่านมานี้ เขาพยายามติดต่อกับตู๋กูซิงหลันอยู่หลายต่อหลายรอบ แต่ก็ไม่ได้รับการติดต่อกลับ สิ้นเปลืองยันต์สื่อสารไปถึงสามใบ ทำเอาปวดใจราวกับเลือดจะหยด 

 

 

เดิมทียังกังวลว่านางจะเกิดเรื่องใหญ่อันใดหรือไม่ นี่กลับกลายเป็นว่ากำลังรีบร้อนจัดงานแต่งงาน? 

 

 

บุรุษผู้นั้น คือใคร? 

 

 

ฉู่เจียงคิดไม่ออกจริงๆว่า คนที่มีสายตาสูงส่งเช่นตู๋กูซิงหลัน นางยังจะไปต้องตาบุรุษใดในโลกหล้านี้ได้อีก? 

 

 

ฉู่เจียงกำลังจะถามกลับไป ก็ได้ยินจีเฉวียนเอ่ยออกมาก่อนว่า 

 

 

“ดินแดนโบราณ แคว้นต้าโจว เมืองหลวงหวงตู แต่งงานวันที่แปด รีบเดินทางมา” 

 

 

ฉู่เจียง “? ? ?” 

 

 

น้ำเสียงของอีกฝ่ายนั้น วางตัวสูงส่งอย่างแท้จริง ชวนให้ผู้คนหงุดหงิดขึ้นมา 

 

 

เพียงแต่ว่าน้ำเสียงนั่น ฟังดูแล้วเหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่น่าคุ้นเคย 

 

 

แต่ยมราชทั้งหกที่อยู่ข้างกายเขาพากันระเบิดโทสะหมดแล้ว ต่างก็ร่ำร้องออกมาว่า “ไอ้เด็กเหม็นนั่นมันมาจากที่ไหน ถึงได้บังอาจขนาดนี้? พวกข้าใช่ผู้ที่เจ้าสามารถเรียกไปดื่มกินได้หรือ?” 

 

 

“ใช่แล้ว! ฟังดูก็รู้ว่าเป็นพวกไม่เคยได้เห็นโลกกว้าง หากได้รู้ว่าพวกข้าคือผู้ใด ยังไม่ทำให้เจ้าต้องตกใจตายหรอกรึ!” 

 

 

เหล่ายมราชต่างก็ระเบิดโทสะออกมา แต่ไหนแต่ไรล้วนมีแต่ผู้คนเคารพนบนอบต่อพวกเขา ไหนเลยจะเคยต้องมาทนรับฟังน้ำเสียงที่หยิ่งผยองเช่นนี้ แล้วนี่จะให้ทนได้อย่างไร 

 

 

อีกด้านหนึ่งที่เป็นปลายทางของยันต์สื่อสาร ตู๋กูซิงหลันถือขาหมูที่แทะไปกว่าครึ่งเอาไว้ มองดูจีเฉวียนด้วยความสงสัย 

 

 

จีเฉวียนยังคงทำสีหน้าดุจแผ่นน้ำแข็ง ไร้อารมณ์อยู่เช่นนั้น  

 

 

พักหนึ่ง เขาค่อยเอ่ยออกไปอย่างเรียบๆว่า “เราคือหมิงอ๋อง” 

 

 

ทันทีที่พูดออกไป จากเสียงเอะอะโวยวายในยันต์ส่งสัญญาณก็พลันเงียบกริบเป็นป่าช้า 

 

 

จากนั้นพักใหญ่ ก็ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างขบขันและครื้นเครงออกมา 

 

 

หลุนจ่วนอ๋องยังตะโกนกลับมาว่า “หมิงอ๋อง? หากว่าเจ้าเด็กน้อยนี่คือหมิงอ๋อง เช่นนั้นข้าก็ต้องเป็นจักรพรรดิสวรรค์แล้วสิ!” 

 

 

พวกเขาต่างก็เป็นลูกน้องของหมิงอ๋อง รู้จักหมิงอ๋องอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนที่สุด…. ตามที่ฉู่เจียงได้เล่ามา หมิงอ๋องถูกเจ้านกยักษ์ใช้กรงเล็บทะลวงหัวใจ ตายไปแล้ว 

 

 

ตอนนี้พวกเขาถูกตู๋กูซิงหลันเรียกตัวกลับมา เพื่อช่วยกันฟื้นฟูเผ่าหมิง ตระเตรียมจะเข่นฆ่าขึ้นไปบนแดนสวรรค์ เพื่อแก้แค้นให้กับหมิงอ๋อง 

 

 

จีเฉวียนมองดูยันต์ส่งสัญญาณที่อยู่ในมือ ได้ยินเสียงเสียงดูถูกอย่างไร้น้ำใจที่ดังออกมาจากยันต์ส่งสัญญาณ ก็เอ่ยคาถาในภาษาของเผ่าหมิง (ภูติ) ออกไปคำหนึ่ง 

 

 

“ ตึง! ตึง! ตึง!” 

 

 

ทันทีที่เอ่ยคาถาออกไป ขาของเหล่ายมราชที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งก็ต้องสั่นสะท้าน แต่ละคนถึงกับยืนไม่อยู่ ล้มลงไปกองกับพื้น 

 

 

สำหรับโลกของเผ่าภูติแล้ว หมิงอ๋องคือผู้สูงส่งอย่างที่สุด บางครั้งเพียงแค่คำพูดเพียงคำเดียวของหมิงอ๋อง ต่อให้อยู่ห่างไปไกลนับพันนับหมื่นลี้ พวกเขาก็ยังถูกควบคุมอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ 

 

 

ตอนนี้ แค่เพียงคำๆเดียวของจีเฉวียน ก็ถึงกับทำให้พวกยมราชทั้งหมดต้องศิโรราบแล้ว 

 

 

ห่างไกลออกไปถึงพันลี้ พวกเขาคุกเข่าอยู่บนพื้น แต่ละคนหัวใจเต้นโครมคราม 

 

 

ขณะเดียวกันก็เอียงหน้าไปจ้องมองฉู่เจียงอย่างเอาเป็นเอาตาย แววตาเหล่านั้นมีแต่คำถาม 

 

 

ฉู่เจียงเองก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งอยู่บนพื้น ด้วยสีหน้าที่เหมือนถูกใส่ความ เขาโกหกที่ไหนกัน ก็ตู๋กูซิงหลันบอกว่า หมิงอ๋องสิ้นแล้ว 

 

 

ใครมันจะไปรู้ว่า เสียงที่มาจากยันต์สื่อสารจะเป็นของหมิงอ๋อง! 

 

 

“ฝ่าบาท เป็นพระองค์จริงๆด้วย….” หลุนจ่วนอ๋องยมราชที่ปากร้ายที่สุดอย่างเมื่อครู่ ตอนนี้ได้แต่ปวดศีรษะจนเจ็บร้าว 

 

 

เขาช่างหาเรื่องฆ่าตัวตายแท้ๆ ทั้งที่ฝ่าบาทแสดงพระองค์เองออกมา กลับยังกล้าไปทำผิดลบหลู่พระองค์อย่างร้ายแรง? 

 

 

ยมราชองค์อื่นๆต่างก็พากันโอดครวญขึ้นมา 

 

 

“ฝ่าบาท พวกกระหม่อมช่างบังอาจนัก กลับกล้าหัวเราะเยาพระองค์ พวกกระหม่อมสมควรตาย!” 

 

 

ฉู่เจียง “…….” 

 

 

ผ่านไปอีกพักใหญ่ ต้นเสียงของยันต์สื่อสาร ค่อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมาว่า “รีบมา ข้าไม่ได้เจอหน้าพวกเจ้านานแล้ว คิดถึงมากอยู่เหมือนกัน” 

 

 

ประโยคนั้น แทบจะทำให้เหล่ายมราชวิญญาณแตกกระเจิง 

 

 

ผู้ที่ถูกหมิงอ๋องทรงคิดถึง จะเป็นเรื่องดีไปได้อย่างไร? 

 

 

พวกเขาอยากจะร้องไห้เหลือเกินแต่กลับได้ยินเสียงจีเฉวียนเอ่ยเย็นคำหนึ่งว่า “ว่าที่ภรรยาของเรา ชอบสิ่งของที่ส่องประกายระยิบระยับ มีคุณค่า มางานแต่ง ก็อย่าได้มามือเปล่า” 

 

 

เหล่ายมราชทั้งหลาย “! ! !” 

 

 

ว่าแล้วจู่ๆ ยันต์สื่อสารในมือของฉู่เจียงก็ส่งเสียงดังพรึบขึ้นมา มันเผาตนเองจนเป็นขี้เถ้าและสลายไปจนหมด 

 

 

ดูท่าจีเฉวียนคงไม่อยากจะพูดคุยอะไรกับพวกเขาอีกแล้ว  

 

 

เหล่ายมราชต่างก็มองหน้ากันและกัน ใจก็คิดไปว่าสมควรขุดเอากรุสมบัติที่ซ่อนเอาไว้ในบ้านออกมามอบเป็นของขวัญให้พระชายาของหมิงอ๋องดีหรือไม่ 

 

 

ไม่ใช่สิ…ทำไมฝ่าบาทถึงได้ทรงอภิเษกกับลูกศิษย์ของตนเอง? 

 

 

แม่นางน้อยตู๋กูซิงหลันผู้นั้น อายุยังไม่ทันถึงยี่สิบเลยด้วยซ้ำกระมั้ง ส่วนหมิงอ๋อง พระองค์อยู่มานานจนไม่มีใครรู้ว่านานเท่าไหร่แล้ว….. 

 

 

นี่มันคงไม่ใช่วัวแก่กินหญ้าอ่อนแล้ว 

 

 

นี่มันสมควรต้องเรียกว่าเฒ่าชราเคียงคู่กับตุ๊กตาน้อยต่างหากมั้ง? 

 

 

คิดถึงตอนที่ภพหมิงยังมิได้ล่มสลาย ตอนนั้นหมิงอ๋องทรงใส่พระทัยแต่เรื่องของราชกิจ ทรงคร่ำเคร่งทำแต่งานโดยมิสนใจสิ่งอื่นสิ่งใดทั้งสิ้น มิว่าจะเป็นสตรีงดงาม หรือบุรุษเลอโฉม ก็ไม่สนใจทั้งนั้น 

 

 

คิดไม่ถึงว่า ต้นไม้โบราณต้นนี้ก็จะมีวันที่ผลิดอกกับเขาด้วย แถมยังหมายปองลูกศิษย์ของตนเองเอาไว้ 

 

 

เกิดมาก็พึ่งจะเคยได้เห็น! 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองดูยันต์สื่อสารที่กลายเป็นเศษขี้เถ้าในมือของจีเฉวียน ก็รู้สึกว่าเสียงที่ส่งออกมาเมื่อครู่นั่นฟังดูคุ้นๆหูอยู่บ้าง 

 

 

แต่นางไม่สนใจจะไต่ถาม บนโต๊ะยังมีแพะย่างทั้งตัวที่ยังมิได้แตะต้อง นางคิดจะเอาไปให้หยวนเมิ่ง 

 

 

เพราะตั้งแต่หลังมื้ออาหารในครอบครัววันนั้น นางก็พาหยวนเมิ่งกลับมาในวัง ให้นางพำนักอยู่ในตำหนักฉางซินกง 

 

 

เกรงว่าแม้แต่หยวนเมิ่งเองก็คงจะคิดไม่ถึงว่า สักวันหนึ่งจะต้องกลับมาอยู่ที่นี่อีก 

 

 

ยามดึกอากาศหนาวเย็น คืนนี้ไม่มีทั้งแสงจันทร์และแสงดาวจึงมืดมิดเป็นพิเศษ 

 

 

ต้นซิ่ง (แอปปริคอต) ที่ปากประตูตำหนักเติบโตงดงาม ตอนนี้ยังออกดอกแล้วด้วย ช่อดอกสีขาวแน่นขนัด น่าชมยิ่งนัก 

 

 

หยวนเมิ่งนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ถือสุราเอาไว้ในมือไหหนึ่ง ในสมองก็คิดย้อนกลับไปถึงภาพที่ตู๋กูจุนปฏิเสธนางตอนอยู่ในมื้ออาหารภายในครอบครัววันนั้น 

 

 

แม้จะไม่อยากคิดถึงเขาแล้ว แต่ว่าหัวใจก็ทำไม่ได้ 

 

 

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวด ภาพความทรงจำแต่ละเล็กแต่ละน้อยยามที่ได้อยู่ร่วมกับเขา ยิ่งย้อนกลับมาปรากฏในสมอง 

 

 

นางดื่มลงไปอีกอึกหนึ่ง หัวใจก็ยิ่งเจ็บปวดกว่าเดิม 

 

 

หัวใจของนางบีบรัด จดเลือดลมพลิกกลับขึ้นมา นางไม่ทันกลั้นเอาไว้ ก็กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง พ่นลงบนต้นซิงที่กำลังผลิดอก 

 

 

เลือดสดๆไหลลงไปบนพื้นดิน ซึมเข้าสู่ราก ต้นซิงดูดซับเลือดเข้าไปจนดอกไม้ทั้งหมดกลายเป็นสีแดงในชั่วเวลาเพียงครู่เดียว 

 

 

………………