ด่านที่สองก็ยังคงเป็นผู้เฒ่า ทว่าเป็นบุรุษ
หลังจากทุกคนหารือกันได้ก็ตัดสินใจให้เยี่ยโยวเหยาจัดการด่านที่จะถึงนี้
ผ่านไปไม่นานนัก เยี่ยโยวเหยาก็เอาชนะผู้เฒ่าได้ และผู้เฒ่าก็สลายหายไปเหมือนด่านแรก
ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด ตอนที่ผู้เฒ่าสลายไป ซูจิ่นซีถึงได้กุมหน้าอกแล้วทรุดลงกับพื้นทันที
เยี่ยโยวเหยารีบก้าวไปข้างหน้าและพยุงซูจิ่นซีเอาไว้
“จิ่นซี เจ้าเป็นอันใดหรือ? ”
“พระชายาโยวอ๋อง… ”
“แม่นางพิษน้อย… ”
ใบหน้าของอู๋จุนและตงหลิงหวงดูเป็นกังวล
บนหน้าผากของซูจิ่นซีเต็มใบด้วยเม็ดเหงื่อเย็นเฉียบ หลังผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยๆ ดีขึ้น “เยี่ยโยวเหยา ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อครู่ตอนที่ท่านสังหารผู้เฒ่า หัวใจของข้าพลันเจ็บปวดขึ้นมา”
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? ” อู๋จุนแสดงสีหน้าสงสัย “เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ชั่วร้ายจริงๆ แม่นางพิษน้อย เจ้าคิดดูดีๆ ว่าเจ้ากับเจดีย์แห่งนี้มีความเกี่ยวข้องอันใดกันหรือไม่? ”
“ข้าไม่รู้” ซูจิ่นซีส่ายศีรษะ “เป็นเพียงความรู้สึกคุ้นเคยที่อธิบายไม่ได้ ทว่าบอกไม่ถูกว่าคุ้นเคยอย่างไร? ”
“ไม่ต้องพูดแล้ว” เยี่ยโยวเหยาพูด “ข้าจะถ่ายโอนพลังภายในให้เจ้าก่อน”
ซูจิ่นซีไม่ได้พูดอันใดอีก พวกเขาทั้งสองนั่งขัดสมาธิ เยี่ยโยวเหยาผนึกลมปราณในร่างกายแล้วค่อยๆ ควบแน่นพลังลมปราณกลางฝ่ามือเพื่อถ่ายโอนใส่กลางแผ่นหลังของซูจิ่นซี
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ สีหน้าของซูจิ่นซีก็ดูดีขึ้นไม่น้อย เยี่ยโยวเหยาถอนฝ่ามือกลับ หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเห็นซูจิ่นซีเกือบจะฟื้นตัวดี ทุกคนจึงไปต่อด่านที่สาม
เดินขึ้นตามบันไดไปก็จะเป็นด่านที่สาม
ทว่าเมื่อพวกเขามาถึงชั้นสาม ทุกคนก็รู้สึกได้ว่ามีม่านพลังกั้นอยู่ตรงหน้า อีกทั้งฉากตรงหน้าก็เปลี่ยนไปทันที หมอกลอยขมุกขมัว มองเห็นสิ่งที่อยู่ไกลออกไปได้ไม่ชัดนัก และดูเหมือนจะมีหินขรุขระแปลกๆ และป่าละเมาะอยู่ใกล้ๆ ทว่าระหว่างหินประหลาดกับป่าไม้มีหมอกหนาทึบ ทุกอย่างเลือนรางไปหมด
“ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ด่านที่สามของเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์เทียนเม้ยหลิงหลง” ทันใดนั้นก็มีเสียงใสไพเราะราวกับสายน้ำดังขึ้นจากที่ไกลๆ
ทุกคนมองไปยังทิศทางของเสียง พบว่าเป็นสตรีในชุดสีม่วงค่อยๆ เดินออกมาจากส่วนลึกของหมอกที่เลือนราง
“เลิกพูดจาเหลวไหล ด่านนี้จะผ่านไปได้อย่างไร? ต่อสู้หรือใช้พลังจิตวิญญาณในการต่อสู้? เล่นลิ้นให้มันน้อยๆ หน่อย” อู๋จุนกล่าว
เซียนฉยงเซียวไม่ได้โกรธและพูดอย่างใจเย็นว่า “คิดจะผ่านด่านนี้ จำเป็นต้องเข้าร่วมทุกคน ทว่ามีเพียงสองคนเท่านั้นที่เป็นกุญแจสำคัญทำลายด่าน”
“มีเพียงสองคนที่เป็นกุญแจสำคัญทำลายด่านนี้ หมายความว่าอย่างไร? สองคนไหน? ท่านบอกมาตรงๆ ก็จบแล้วไม่ใช่หรือ? ยังต้องให้พวกเราทุกคนเข้าร่วมอีก เสียเวลาอ้อมค้อมเช่นนี้เพื่ออันใด? ” อู๋จุนกล่าว “ข้าดูแล้ว ด่านนี้ให้ข้ากับเยี่ยโยวเหยาลุยจึงจะเหมาะสมที่สุด มิสู้พวกเรามาเริ่มกันเถิด! ”
เซียนฉยงเซียวส่ายศีรษะ “หากทุกคนไม่เข้าร่วม แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ใดคือกุญแจสำคัญในการทำลายด่าน? หากด่านที่สามของเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์เทียนเม้ยหลิงหลงเปิดลง ทว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทำลายด่านไม่ได้เข้าร่วม เช่นนั้นพวกท่านทุกคนจะตายในด่านนี้กันหมด และไม่สามารถออกไปได้อีกตลอดกาล”
“บัดซบ อันตรายถึงเพียงนี้เชียว? ” อู๋จุนสบถอย่างรุนแรง
“ด่านนี้ทดสอบอย่างไร? ” ซูจิ่นซีถาม
“เมื่อด่านที่สามเปิด พวกเจ้าจะได้รู้” เซียนฉยงเซียวกล่าว
“ทุกคนจำเป็นต้องเข้าร่วมหรือ? ” ซูจิ่นซีถามเพื่อยืนยันอีกครั้ง
“ใช่ โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตทั้งหมด รวมถึงสัตว์เทพสองตัวและสัตว์ดุร้ายหนึ่งตัวที่พวกเจ้าพามาด้วย”
ซูจิ่นซีเข้าใจชัดเจน นางจึงเรียกสัตว์เทพกิเลนออกมาจากอาคมกำไลปี่อั้น
ตงหลิงหวงก็นำซูอวี้ หลานเยวี่ยหลี ถังเสวี่ย นักพรตจื่ออิน และเสือดำออกมาจากแหวนเก้ามังกรเช่นกัน
นักพรตจื่ออินและเสือดำถูกมัดด้วยเชือกเทวะอยู่ตลอด แม้จะถูกปล่อยออกมา พวกเขาก็ไม่สามารถสร้างเรื่องอันใดได้อีก
เมื่อเซียนฉยงเซียวยืนยันแล้วว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดอยู่ในสนาม นางจึงค่อยๆ ยื่นมือซ้ายออกมา พลังสีม่วงควบแน่นอยู่ในฝ่ามือ เมื่อพลังสีม่วงควบแน่นรวมกันเป็นขนาดเท่าชามก็เปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้ม นางผลักพลังใส่ซูจิ่นซีและคนอื่นๆ ทันที
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีและคนอื่นๆ ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ จากนั้นภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันและทุกคนก็หมดสติไป
พลบค่ำ แสงจันทร์เบาบาง หมอกตรงหน้าหนาทึบ ดูเหมือนว่าจะอยู่ในป่าแห่งหนึ่งนอกแคว้นจงหนิง
“คุณหนู เร็วเข้า รีบวิ่ง! ” หลานเยวี่ยหลีถูกสาวใช้ข้างกาย เซี่ยตง คว้าตัววิ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลัง
ทว่าพวกนางวิ่งอยู่หนึ่งชั่วยาม เรี่ยวแรงทั้งร่างเกือบจะหมดอยู่แล้ว “ข้า… ข้าวิ่งไม่ไหวแล้ว เซี่ยตง ข้า… ข้าวิ่งไม่ไหวแล้วจริงๆ ”
“คุณหนู ข้าแบกท่านเอง! ” เซี่ยตงรีบแบกหลานเยวี่ยหลีขึ้นหลังแล้ววิ่งต่อ
“แบบนี้จะไปได้อย่างไร? เจ้า… เจ้ากับข้าสองคนต่างก็วิ่งไม่ไหวแล้ว ไม่ต้องสนข้า รีบวิ่งไปเถิด! รีบกลับไปหากำลังเสริมมาช่วยข้า! ”
ถึงเวลานี้จะไปหากำลังเสริมจากที่ใด?
คุณชายใหญ่หลานจิงฉู่แทบต้องการให้คุณหนูตายไป แม่ทัพใหญ่ไม่อยู่ที่เมืองหลวง พระชายาโยวอ๋อง โยวอ๋อง และคนอื่นๆ ก็ไม่อยู่ ตอนนี้จะยังมีผู้ใดสามารถจัดการอนุซุนและซูเซียนฮุ่ยได้อีก?
เซี่ยตงคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะขอความช่วยเหลือจากผู้ใดได้อีกบ้าง
กล่าวกันว่าสวรรค์มีทางออกให้เสมอ ทว่าหากสวรรค์ไม่มีทางออกให้จริงๆ ท่านคงไม่มีโอกาสรอดชีวิต
“เซี่ยตง ระวัง! ” เสียงเตือนจากหลานเยวี่ยหลีดังมาจากเหนือศีรษะ
เซี่ยตงรีบหยุดฝีเท้าทันที นางมองไปที่หน้าผาหมื่นจั้งที่อยู่ตรงหน้า แสงในดวงตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสิ้นหวัง
เกลียวเมฆพลุ่งพล่านกว้างใหญ่จนมองไม่เห็นก้นผา เมื่อครู่นางไม่ระวังจนเตะหินก้อนหนึ่งร่วงลงไปที่หน้าผา ไม่ได้ยินกระทั่งเสียงกระทบพื้นของมัน หากคนตกลงไปคงแหลกเป็นผุยผง แม้กระทั่งเศษกระดูกก็หาไม่พบเป็นแน่
ควรทำอย่างไรดี?
ทำอย่างไรดี?
นางเป็นสาวใช้ ตายไปไม่เสียดาย ทว่าคุณหนู…
คุณหนูสถานะสูงส่ง ยังมีเรื่องอีกมากมายต้องทำ จะตายที่นี่กับนางได้อย่างไร?
ไม่!
นางปล่อยให้คุณหนูตายไม่ได้!
เซี่ยตงแบกหลานเยวี่ยหลีอยู่บนหลัง นางคิดพลางหันหลังกลับทันที อนุซุนและซูเซียนฮุ่ยไล่ตามมาทันแล้ว
“วิ่งสิ! นางเด็กแสบ พวกเจ้ายังวิ่งได้ไม่ใช่หรือ? ดูว่าพวกเจ้าจะวิ่งไปถึงที่ใด! ” อนุซุนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาน่ากลัวราวกับภูตผี
เซี่ยตงมองซูเซียนฮุ่ย ดวงตาพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
เป็นนาง เป็นนางที่ฆ่าชิวเยวี่ย ลูกพี่ลูกน้องผู้แสนดีของตน นางสาบานว่าชีวิตนี้ ขอเพียงตนเองยังมีชีวิตอยู่ นางจะต้องฆ่าศัตรูล้างแค้นให้ชิวเยวี่ยอย่างแน่นอน
กลับไม่คิดว่า เมื่อซูเซียนฮุ่ยเห็นแสงสีแดงเลือดในดวงตาของเซี่ยตง นางกลับถือกระบี่เดินมาหาพวกนาง
“นางตัวแสบ เจ้าอยากฆ่าข้ามากใช่หรือไม่? บังเอิญยิ่งนัก ข้าก็อยากฆ่าพวกเจ้าเช่นกัน! ”
“คุณหนูซู ในอดีตข้ากับท่านไม่มีความแค้นต่อกัน ท่าน… เหตุใดท่านถึงได้ไล่สังหารข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า? ”
“ไม่ได้เป็นศัตรูคู่แค้น? ” ซูเซียนฮุ่ยยิ้มเยาะทันที “เจ้ายังกล้าพูดว่าไม่ได้เป็นศัตรูคู่แค้น? สองปีก่อนในการแข่งขันชิงตำแหน่งผู้นำหอโอสถเย่าอันของสกุลซู หากเจ้าไม่แส่หาเรื่อง ซูจวิ้น น้องชายของข้าคงไม่แพ้ซูอวี้เป็นแน่ หากเขาไม่แพ้ มารดาของข้าก็คงไม่ต้องไปตามหาบิดาของข้าในคุกเพื่อแผ่นป้ายคำสั่งประจำตระกูล ทั้งคู่คงไม่ตายอย่างน่าอนาถในภายหลัง ยังมีขาทั้งสอง… ขาข้า… ” ซูเซียนฮุ่ยก้มศีรษะมองขาตนเอง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
บิดามารดาและน้องชายล้วนตายอย่างน่าสังเวชภายในวันเดียว ส่วนนางถูกรัชทายาททอดทิ้ง ซ้ำยังถูกทุบตีจนขาทั้งสองข้าง… หากไม่ได้พบกับอนุซุนที่รักษาให้จนหายดี นางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะมีชีวิตรอดไปจนถึงเมื่อไร
เรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา ซูเซียนฮุ่ยไม่กล้านึกถึง เพียงนึกภาพที่ยากจะลืมเลือนเหล่านั้น นางก็รู้สึกราวกับปีศาจ ราวกับมดแมลงและงูพิษในคืนมืดมิดกำลังเรียกร้องจะเอาชีวิตของนาง ทำให้นางอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก