“อย่าเสียเวลาเลย ประตูบานนั้นเปิดไม่ออก” ซูจิ่นซีกล่าว “เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีหกชั้น แต่ละชั้นมีหนึ่งด่าน ทั้งหมดมีหกด่าน หากผ่านหกด่าน พวกเราก็จะออกจากที่นี่ได้”
“แม่นางพิษน้อย เจ้ารู้ได้อย่างไร? ” อู๋จุนประหลาดใจมาก
“อย่าเสียเวลาพูดจาเหลวไหล รีบฝ่าด่านให้ได้เถิด! ”
ไม่รู้ว่าด้านนอกเป็นอย่างไรบ้าง อวิ๋นจิ่นกับเป่ยถังฉินเกอยังอยู่ด้านนอก ทั้งยังมีนักพรตอวี้หยางอีก แม้เยี่ยโยวเหยาจะไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ ทว่าในใจของเขาก็ยังเป็นห่วงนักพรตอวี้หยางกระมัง?
หลังจากสิ้นเสียงของซูจิ่นซี ไม่นานก็มีเสียงดัง ‘ตึง… ตึง… ตึง…’ ดังมาจากส่วนลึกของเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ ราวกับเป็นเสียงเครื่องโลหะกระทบกับแผ่นศิลา
จากนั้น หญิงชราเส้นผมขาวหิมะนางหนึ่งก็โผล่ออกมาจากด้านใน
แม้หญิงชราจะดูมีอายุพอสมควร ทว่ารูปลักษณ์ยังคงความงดงาม ใบหน้าไม่เหี่ยวย่นแม้แต่น้อย นอกจากนั้น ดวงตาของนางยังมีจิตวิญญาณสดใสและแข็งแรงเป็นอย่างมาก
นางเหลือบมองทุกคนและพูดว่า “รอมานานหลายปีแล้ว ในที่สุดก็มีคนผ่านมาและเปิดเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์เทียนเม้ยหลิงหลงแห่งนี้”
“ท่านคือเทพอารักษ์ผู้ปกป้องเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ชั้นแรกนี้หรือ? ” ซูจิ่นซีเอ่ยถาม
“ไม่ถือว่าเป็นเทพอารักษ์ ทว่าข้าเป็นผู้ดูแลด่านแรกนี้ หากท่านต้องการผ่านด่านแรกต้องเอาชนะข้าให้ได้เสียก่อน”
ขณะที่พูด แววตาของหญิงชราหยุดอยู่บนร่างของซูจิ่นซี แววตาที่มืดมนอยู่เสมอพลันสว่างไสวขึ้นมา นางมองอยู่ครู่หนึ่งและดูเหมือนจะตื่นเต้นเล็กน้อย ทั้งมุมปากยังสั่นเทาไม่หยุด แววตาเปล่งประกาย
“เทพ… เทพธิดา… ท่าน… ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว? ”
“หยุดพูดจาเหลวไหล เข้ามา! ” ซูจิ่นซีกล่าว “พวกเรามีเวลาไม่มาก จะสู้ตัวต่อตัวหรือสู้เป็นกลุ่ม? ”
หญิงชรารีบเก็บอารมณ์ตื่นเต้นแล้วเอ่ยว่า “ได้ ได้! ได้ทั้งนั้น เพียงแค่สู้ชนะข้าก็พอ”
“ตกลง เช่นนั้นข้าฝ่าด่านนี้เอง! ”
เยี่ยโยวเหยาที่อยู่ด้านหลังคว้าแขนของซูจิ่นซีไว้
อู๋จุนรีบเอ่ยว่า “มีข้ากับเยี่ยโยวเหยาอยู่ จะปล่อยให้สตรีตั้งครรภ์เช่นเจ้าต่อสู้ได้อย่างไร? ”
“ไม่เป็นอันใด” ซูจิ่นซีพูดพลางหันศีรษะกลับมามองเยี่ยโยวเหยาด้วยท่าทางผ่อนคลาย จากนั้นจึงดึงมือของตนเองออกมาจากมือของเยี่ยโยวเหยา
หญิงชราถาม “ท่าน… ตั้งครรภ์หรือ? ”
ซูจิ่นซีกล่าวว่า “เป็นความจริงที่ข้าตั้งครรภ์ ทว่าท่านไม่ต้องออมมือเพราะเมตตา ใช้ความสามารถที่แท้จริงของท่านได้เลย”
“แน่นอนอยู่แล้ว” หญิงชรากล่าว “ในเมื่อข้ารับบัญชาให้ปกป้องเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์เทียนเม้ยหลิงหลงก็ต้องภักดีชั่วชีวิต อย่าว่าแต่เทพธิดาเช่นเจ้าเลย แม้ผู้สร้างเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้กลับมาก็ไม่อาจออมมือได้”
“เช่นนั้นก็ดี! ”
ซูจิ่นซีพูดพลางชักกระบี่วิเศษของตนออกมาต่อสู้กับหญิงชรา ทันใดนั้น ภายในเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ก็เกิดลมกระโชกแรง เสียงลมพัดหวีดหวิว กระแสลมพัดแรงจนเยี่ยโยวเหยาและคนอื่นๆ ลืมตาไม่ขึ้น ทำได้เพียงใช้มือป้องดวงตาทั้งสองข้างไว้
จนกระทั่งลมพายุสงบลงเล็กน้อย ในตอนที่มองเห็นอีกครั้ง ซูจิ่นซีและหญิงชราก็ต่อสู้กันไปสิบกว่ากระบวนท่าแล้ว
“บัดซบ เยี่ยโยวเหยา แม่นางพิษน้อยโดนรังแก เจ้าจะดูอยู่เฉยๆ เช่นนี้หรือ? ”
เยี่ยโยวเหยาไม่แม้แต่จะชายตามองอู๋จุน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตอบคำถามของอู๋จุน
“ไม่ได้ เจ้าทนได้ ทว่าข้าทนไม่ได้ ข้าจะไปช่วยแม่นางพิษน้อย” เขาพูดพลางกระโดดไปข้างหน้าเพื่อช่วยซูจิ่นซี
ตงหลิงหวงรีบห้ามอู๋จุนไว้
“เจ้าหุบเขาอู๋ ท่านลืมแล้วหรือว่า เมื่อครู่หญิงชราผู้นั้นเรียกพระชายาโยวอ๋องว่าอันใด? ”
อู๋จุนค่อนข้างใจร้อน “เรียกว่าอันใด? ข้าได้ยินไม่ชัด”
ตงหลิงหวงไม่รีบร้อนและกล่าวย้ำอีกครั้งว่า “นางเรียกพระชายาโยวอ๋องว่าเทพธิดา ท่านลองครุ่นคิดอย่างละเอียดดูเถิด บนโลกนี้มีผู้ที่รู้สถานะของพระชายาโยวอ๋องสักกี่คน? ”
คงจะนับได้เลยทีเดียว
อู๋จุนไตร่ตรองเล็กน้อย ตงหลิงหวงจึงพูดอีกว่า “ในเมื่อพระชายาโยวอ๋องตัดสินใจลงมือเอง แสดงว่านางพิจารณาแล้ว นางรักเด็กในครรภ์ยิ่งกว่าผู้ใด ย่อมไม่มีทางปล่อยให้ตนเองบาดเจ็บแน่นอน ท่านวางใจเถิด! ”
ดูเหมือนว่า… ฟังตงหลิงหวงวิเคราะห์เช่นนี้พอมีเหตุผลอยู่บ้าง
ทว่า… อู๋จุนยังไม่วางใจอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน ซูจิ่นซีก็เป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด นางตวัดกระบี่ในมือที่มีพลังเย็นยะเยือกออกไป หญิงชราตกใจกับพลังกระบี่จึงถอยหลังอย่างต่อเนื่อง กระบองเหล็กในมือขูดกับพื้นดัง ‘แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง… ’ จนเกิดประกายไฟ
ตอนที่กำลังจะชนเข้ากับกำแพงด้านหลัง จู่ๆ กระบองเหล็กในมือของหญิงชราก็เปลี่ยนทิศทางไปข้างหลังแล้วหยุดลง
ใบหน้าของนางดูพึงพอใจ “ที่แท้วรยุทธ์ของเทพธิดาก็เก่งกาจสมชื่อ ช่างน่ายินดียิ่งนัก! ”
“ขอบใจมาก ท่านก็ไม่เลวเช่นกัน” ซูจิ่นซีพูดพร้อมกระชับกระบี่ในมือ และโจมตีหญิงชราต่อ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ทั้งสองต่อสู้กันไปอีกสิบกว่ากระบวนท่า ลมรุนแรงรอบด้านพัดอ่อนลง
‘ชริ้ง’ กระบี่ในมือของซูจิ่นซีชนเข้ากับกระบองเหล็กของหญิงชราจึงเกิดประกายไฟ
‘ตึ่ง’ อาวุธในมือของทั้งสองกระแทกกันอีกครั้ง
‘ชริ้ง’ ซูจิ่นซีอาศัยช่องว่างตวัดกระบี่ฟันช่วงท้องของหญิงชรา หญิงชราก้มศีรษะลง มองเลือดสีแดงสดที่ค่อยๆ ไหลออกจากท้องตนเองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
‘ชริ้ง’ แสงกระบี่ส่องประกาย ซูจิ่นซีไม่ออมมือแม้แต่น้อย นางตวัดกระบี่ไปที่คอของหญิงชรา
หญิงชราค่อยๆ เงยศีรษะมองซูจิ่นซี พลางยกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มของนางเคลื่อนไปบนร่างของเยี่ยโยวเหยาที่อยู่ด้านหลังซูจิ่นซี
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดัง ‘ตุบ’ นางล้มลงกับพื้นและกลายเป็นเถ้าธุลี ร่างสลายไปกับตา
“แม่นางพิษน้อย เจ้าเก่งกาจเสียจริง” อู๋จุนรีบกระโดดไปอยู่ด้านข้างซูจิ่นซีแล้วเอ่ยขึ้น
“ยินดีกับพระชายาโยวอ๋อง” ตงหลิงหวงเดินไปหาซูจิ่นซีเช่นกัน
มีเพียงเยี่ยโยวเหยาผู้เดียวที่ยืนนิ่งไม่ขยับ
อู๋จุนเอ่ยด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “เอ๊ะ แม่นางพิษน้อย เหตุใดถึงร้องไห้? ”
“มีที่ใดกัน? เจ้าก็ชอบเล่นมุกตลก” ซูจิ่นซีเหยียดแขนออกมาเช็ดบนใบหน้าของตน ทว่ากลับเช็ดโดนของเหลวจนมือเปียก นางมองอย่างตกตะลึง
“แม่นางพิษน้อย เป็นอันใดไปหรือ? เจ้ารู้จักนางหรือ? ”
“…”
“แม่นางพิษน้อย? ”
“…”
“อย่าเสียใจไปเลย คนตายไม่อาจฟื้นคืน”
“…”
“ปัดโธ่ เจ้าตอบพี่จุนหน่อยได้หรือไม่ เจ้าเป็นเช่นนี้ พี่จุนมองแล้วทุกข์ใจอย่างมาก”
ซูจิ่นซีไม่ได้พูดอันใด นางหันศีรษะมองไปทางเยี่ยโยวเหยาที่อยู่ด้านหลัง
เยี่ยโยวเหยาเดินมาหาซูจิ่นซีทีละก้าว ก่อนจะจับมือของนางไว้ และรวบนางเข้าสู่อ้อมแขน
“อย่ากลัว ข้าอยู่ข้างหลังเจ้าเสมอ”
“ข้าไม่กลัว เพียงแค่… เยี่ยโยวเหยา ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อครู่ที่นางตาย ดูเหมือนข้าจะเป็นทุกข์อย่างมาก”
“อืม ข้ารู้! ”
“บัดซบ! ” อู๋จุนกระโดดหลบไปด้านข้างสองก้าวด้วยใบหน้าไม่พอใจ “พลอดรักออกสื่ออีกแล้ว เห็นใจคนโสดหน่อยได้หรือไม่? ”
“ต่อให้ไม่เห็นแก่คนโสดก็เห็นแก่คนอื่นที่มุงดูอยู่บ้าง ข้ากับรัชทายาทตงเฉินยังยืนอยู่ที่นี่! ”
ในที่สุด ซูจิ่นซีก็ผลักเยี่ยโยวเหยาออก พลางเช็ดใบหน้าและแย้มยิ้ม “ไม่เคยลงมือกับคนชรามาก่อน ใจจึงสั่นเล็กน้อย น่าขันแล้ว”
“ฮ่า ฮ่า พี่จุนเข้าใจ”
“พวกเราไปด่านต่อไปกันเถิด! ”
“ตกลง! ” จากนั้น ทุกคนจึงเดินขึ้นไปตามบันไดที่อยู่ด้านข้างเพื่อไปยังด่านที่สองของเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์เทียนเม้ยหลิงหลง