เยี่ยโยวเหยาให้มังกรไฟไปหาทางออก
ทว่าเพราะเรื่องอวิ๋นเชวี่ยเมื่อหมื่นปีก่อน มันจึงถูกผนึกห้ามไม่ให้เข้าสถานที่เหมือนอย่างหุบเขาคุนหลุน จิตวิญญาณยังสู้สัตว์เทพกิเลนและจิ้งจอกเก้าสีที่ได้รับบาดเจ็บไม่ได้เลย ค้นหาอยู่ครู่หนึ่งก็ไร้ผล เห็นเพียงหิมะปกคลุมไกลสุดสายตา
ทุกคนจึงทำได้เพียงค้นหาทางออกด้วยตนเอง
ซูจิ่นซีจำได้ว่าก่อนหน้านี้ สัตว์เทพกิเลนเข้าไปในระบบถอนพิษจากอาคมกำไลปี่อั้น นางจึงพยายามเอาสัตว์เทพกิเลนเข้าไปในระบบถอนพิษโดยไม่คิดว่ามันจะสำเร็จ ทว่าตอนที่นางจะเอาจิ้งจอกเก้าสีเข้าไปด้วยกลับทำไม่ได้
ดังนั้นจึงทำได้เพียงมอบมันให้ตงหลิงหวงใส่เข้าไปในแหวนเก้ามังกร
ทุกคนเดินท่ามกลางหิมะที่ปกคลุมทั่วพื้นดินอยู่เป็นเวลานาน เพราะไม่สามารถดูเวลาได้ จึงไม่มีผู้ใดระบุได้อย่างแม่นยำว่าเดินอยู่นานเพียงใดแล้ว ทำได้เพียงคาดเดาเอาว่าเดินอยู่ราวสามวันสามคืนแล้ว
ในที่สุด อู๋จุนก็เหนื่อยจนทรุดนั่งลงบนพื้นหิมะ
“แม่นางพิษน้อย ไม่ไหวแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พี่จุนจะต้องเหนื่อยตายแน่นอน แทนที่จะเหนื่อยจนตาย พี่จุนขอเป็นบุรุษงามเงียบๆ ก่อนตายดีกว่า ข้าขอพักสักหน่อยเถิด! ”
“พรืด! ” ซูจิ่นซีหลุดขำ “คำพูดนี้เจ้าไปเรียนรู้มาจากที่ใด”
“พี่จุนสร้างมันขึ้นมาเอง! ”
ความสามารถในการสร้างสรรค์… เป็นอัจฉริยะอีกด้วย!
ซูจิ่นซีเดินไปอยู่ข้างอู๋จุน นางใช้ปลายเท้าเตะอู๋จุน “รีบลุกขึ้น แม้ไม่เหนื่อยตายอยู่ที่นี่ เจ้าก็ต้องอดตายอยู่ดี ได้ยินมาว่าคนที่อดตายน่าสังเวชเป็นอย่างยิ่ง! ”
“น่าสังเวชหรือ? ” อู๋จุนเงยศีรษะ ใบหน้าบิดเบี้ยว เห็นได้ชัดว่าจงใจพูด
ซูจิ่นซีเห็นด้วย “ผอมโซ หน้าเหลือง ปากเบี้ยว ตาเหล่ น่าเกลียดยิ่งนัก”
เมื่อสิ้นคำว่า ‘น่าเกลียด’ จากปากของซูจิ่นซี อู๋จุนก็ลุกขึ้นทันที “เช่นนั้นข้าเลือกเหนื่อยตายก็ได้! ”
ความจริงแล้ว อู๋จุนแค่หยอกเย้าทุกคน ซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยา และตงหลิงหวงต่างรู้ดี บนเส้นทางนี้เป็นตายอย่างไรไม่รู้ จิตใจของทุกคนเริ่มเคร่งเครียดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตงหลิงหวงกับเยี่ยโยวเหยาเป็นคนไม่ค่อยชอบพูดนัก จึงไม่สามารถเล่าเรื่องตลกให้ทุกคนสบายใจได้ มีเพียงอู๋จุนเท่านั้น ซูจิ่นซีรู้ทันความคิดของอู๋จุนเป็นอย่างดี จึงมักจะเข้าร่วมกับอู๋จุนเสมอ ดังนั้นมันจึงกลายเป็นความสนุกสนานเพียงอย่างเดียวบนเส้นทางที่ปกคลุมไปด้วยความเป็นความตายนี้
ทุกคนเดินอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดหมอกที่อยู่ตรงหน้าก็ค่อยๆ จางลง หิมะบนพื้นค่อยๆ หายไป เสมือนว่าพวกเขาได้เข้ามาสู่เส้นทางอื่น
ไกลสุดสายตามีหินสีแดงเพลิงและเปลวเพลิงลุกโชนอยู่ทุกหนทุกแห่ง ระหว่างหินที่เปลวเพลิงกำลังลุกไหม้นั้นถูกมัดไว้ด้วยโซ่เส้นหนา
สิ่งที่เห็นในตอนนี้คล้ายคลึงกับวิหารวิญญาณของเยี่ยโยวเหยาที่แคว้นจงหนิงมาก
ซูจิ่นซีอดขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้ “พวกเรามาถึงวิหารวิญญาณได้อย่างไร? หรือว่าที่นี่คือดินแดนมายาอีกแล้ว? ”
แม้พวกเขาจะเดินอยู่ในดินแดนหิมะเป็นเวลานาน ทว่าไม่มีทางเดินจากแคว้นเป่ยอี้มาจนถึงแคว้นจงหนิงได้อย่างแน่นอน เนื่องจากก่อนหน้านี้พบดินแดนมายามากเกินไป ปฏิกิริยาแรกของซูจิ่นซีจึงคิดว่าพวกเขาเจอดินแดนมายาอีกแล้ว
ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับพูดว่า “ที่นี่ไม่ใช่วิหารวิญญาณ แม้สภาพจะคล้ายคลึงกับวิหารวิญญาณมาก ทว่ามีความแตกต่างที่เห็นชัดเจน นอกจากนี้ โดยรอบวิหารวิญญาณจะไม่มีเจดีย์” เขาพูดพลางชี้ไปที่ระยะไกล
ทุกคนมองไปตามทิศทางที่เยี่ยโยวเหยาชี้ไป ก็เห็นเป็นเจดีย์สูงตระหง่านจริงดั่งที่พูดไว้
“ในเมื่อไม่ใช่วิหารวิญญาณ เช่นนั้นที่นี่คือที่ใดกันแน่? ”
หากเป็นวิหารวิญญาณ เยี่ยโยวเหยาคงคุ้นเคยกับมันมาก หากคิดจะออกไปก็คงไม่ยาก ทว่าในเมื่อไม่ใช่วิหารวิญญาณเกรงว่าเรื่องราวจะไม่ง่ายดายเช่นนั้น ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่นขึ้นเล็กน้อย
เยี่ยโยวเหยาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “พวกเรายังอยู่ที่เขาคุนหลุน นอกจากนี้ ทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้าไม่น่าใช่ดินแดนมายา ทว่าเป็นสภาพที่แท้จริงของเขาคุนหลุน”
เขาคุนหลุนลึกลับและคาดเดาไม่ได้ ไม่ว่าจะพบสิ่งใดที่นี่ล้วนไม่น่าแปลกใจ
อู๋จุนกระโดดขึ้นไปบนหินที่สูงที่สุด หลังจากมองไปรอบๆ แล้วก็พูดว่า “ที่นี่เหมือนกับดินแดนหิมะเมื่อครู่ โดยรอบเต็มไปด้วยหินประหลาดและเพลิงขนาดใหญ่ หากต้องการออกไปเกรงว่าคงไม่ง่ายนัก”
ตงหลิงหวงขมวดคิ้วและกล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม พวกเราไม่สามารถเดินต่อไปเรื่อยๆ เช่นนี้ได้ อาหารที่นำติดตัวมาเหลือไม่มากแล้ว หากเดินต่อไปโดยไม่มีน้ำและอาหาร ไม่ช้าก็เร็วพวกเราต้องตายกันหมด”
เยี่ยโยวเหยาสังเกตเห็นว่า แววตาของซูจิ่นซีที่มองไปรอบๆ แปลกไปเล็กน้อย จึงจับมือนางแน่นขึ้น “คิดอันใดอยู่หรือ? ”
ซูจิ่นซีได้สติกลับมาทันที ก่อนจะสบตาเยี่ยโยวเหยา “ไม่มีอันใด ตงหลิงหวงกล่าวถูกต้อง พวกเราเดินต่อไปเรื่อยๆ เช่นนี้ไม่ได้ มิสู้ไปดูที่เจดีย์ตรงนั้นเถิด”
“ได้! ”
ดังนั้นทุกคนจึงเดินไปที่เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอยู่ไกลออกไป
ไม่นานนัก ทุกคนก็มาถึงใต้เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ ข้างเจดีย์มีแผ่นศิลาตั้งตระหง่าน บนแผ่นศิลาเขียนด้วยอักษรจ้วนตัวหนาทรงพลังว่า ‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพียวเหมี่ยว เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์เทียนเม้ยหลิงหลง’
กล่าวได้ว่าสถานที่มีหินประหลาดตั้งเรียงรายและมีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่ตลอดเวลาคือ “ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพียวเหมี่ยว” และเจดีย์ที่อยู่ตรงหน้าเรียกว่า “เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์เทียนเม้ยหลิงหลง”
“น่าแปลก ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพียวเหมี่ยวควรคล้ายกับสำนักกระบี่คุณหลุนซึ่งเป็นสถานที่ที่มีพลังจิตวิญญาณถึงจะถูก สถานที่แห่งนี้พลังหยินแรงมากเหมือนวิหารพญายม มองอย่างไรก็ไม่เข้ากับคำว่าเพียวเหมี่ยว [1] จะเรียกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพียวเหมี่ยวได้อย่างไร? ทว่าชื่อเจดีย์กลับเข้ากันยิ่งนัก อย่างไรก็ตาม ชื่อเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์เทียนเม้ยหลิงหลงนี้… เหตุใดถึงรู้สึกคุ้นหูมาก? เคยได้ยินมาจากที่ใด… คิดไม่ออก”
ขณะที่อู๋จุนกำลังพูด เขาเห็นซูจิ่นซีผละออกจากมือของเยี่ยโยวเหยา นางเดินไปทางประตูเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยท่าทีเหมือนโดนสะกดจิต ก่อนจะจับที่เคาะบนประตูฝั่งซ้ายและเคาะเบาๆ สามครั้ง จากนั้นก็จับที่เคาะประตูฝั่งขวาและเคาะเบาๆ สองครั้ง ประตู… ก็เปิดออก
เยี่ยโยวเหยาเดินตามหลังซูจิ่นซีเงียบๆ โดยไม่พูดอันใด
อู๋จุนเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “แม่นางพิษน้อย เจ้ารู้วิธีเปิดประตูเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์นี้ได้อย่างไร? ”
ท่าทางของซูจิ่นซียังดูมึนงงเล็กน้อย แววตาของนางปรากฏความสับสน “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ทว่า… ดูเหมือนว่าข้าเคยมาที่นี่”
“เคยมาหรือ? ไม่น่าเป็นไปได้? แคว้นเป่ยอี้ยังหายาก สถานที่ผีสิงเช่นนี้ยิ่งแล้วใหญ่? เจ้าเคยมาที่นี่ได้อย่างไร? ”
“ผู้ใดจะไปรู้ อาจจะเป็นชาติที่แล้วก็ได้” ซูจิ่นซีพลั้งปากเอ่ยไปเบาๆ
“ชาติที่แล้ว? ” อู๋จุนไม่รู้เรื่องสามชาติที่แล้วของซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีไม่รู้จะตอบอย่างไร เยี่ยโยวเหยาจึงจูงมือซูจิ่นซีแล้วพูดว่า “ในเมื่อประตูเปิดแล้ว พวกเราก็เข้าไปกันเถิด! ”
ซูจิ่นซีกับอู๋จุนจึงไม่ได้พูดอันใดอีก ทุกคนก้าวเข้าไปในเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์เทียนเม้ยหลิงหลง
ทันทีที่ทุกคนเข้าไป เสียงประตูเจดีย์ก็ปิดลงดัง ‘ปึง’ ตะเกียงพันปีบนผนังด้านในเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์สว่างขึ้นมาทันใด
ทุกคนต่างตกใจ ตงหลิงหวงรีบวิ่งไปที่ประตูแล้วพยายามเปิดประตูเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ ทว่าเปิดอย่างไรก็เปิดไม่ออก
“บัดซบ เกิดอันใดขึ้นกับสถานที่บ้าแห่งนี้อีก? เหตุใดจึงรู้สึกน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก? ” อู๋จุนกล่าว “พวกเราคงไม่ได้มาที่นรกสิบแปดขุมกระมัง? ”
……
[1] เพียวเหมี่ยว (缥缈) ภาษาจีน แปลว่า ไร้ตัวตน เลือนราง