ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 151 ใบไม้ทองคำมากมายในเวิ่นสุ่ย

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

มีหลายคนที่ใช้กระบี่ แต่หากพูดถึงความรอบรู้ในวิถีกระบี่คนทั่วไป เชื่อว่าเฉินฉางเซิงนั้นดีที่สุด

นั่นเป็นเพราะเฉินฉางเซิงรู้จักเพลงกระบี่นับไม่ถ้วน มีกระบี่นับไม่ถ้วน และยังศึกษากระบี่จากซูหลี

อันที่จริงแม้ว่าหลัวปู้จะไม่ได้รู้เพลงกระบี่มากมายเท่าเฉินฉางเซิง แต่เขาก็ไม่ด้อยไปกว่าเฉินฉางเซิงในเรื่องความเข้าใจในกระบี่เลย ถึงกับเหนือกว่าเล็กน้อย

หลังจากเดินไปตามแม่น้ำระยะเวลาหนึ่ง เขาก็เห็นแม่น้ำที่กลายเป็นน้ำแข็งพลันขาดลง มันเป็นทางน้ำที่มีความสูงต่ำต่างกันสิบกว่าจั้ง

น้ำแข็งปกคลุมที่ราบและแม่น้ำ แต่จุดที่แม่น้ำพลันหยุดลง น้ำด้านล่างขั้นน้ำแข็งพุ่งออกมา ส่งเสียงโครมครามยามที่มันตกลงไปตามหน้าผา

คนชุดน้ำเงินเดินไปยังหินก้อนใหญ่ใจกลางแม่น้ำ

น้ำในแม่น้ำนำเศษน้ำแข็งและหิมะไหลผ่านก้อนหินและร่วงลงไปในน้ำตก

มู่จิ่วซือนั่งอยู่ด้านหน้าของก้อนหินใหญ่ มองดูแม่น้ำที่เชี่ยวกรากในขณะที่ครุ่นคิด

คนผู้นั้นพูดกับมู่จิ่วซือสองสามคำ

หลัวปู้ซ่อนอยู่ท่ามกลางหญ้าน้ำค้างแข็งมองดูอยู่เงียบๆ

ระยะห่างกว้างเกินไปและเสียงน้ำก็ดังเกินไปจนเขาไม่อาจได้ยินว่าทั้งสองพูดอะไรกัน แต่เขาก็ยังสามารถวาดสิ่งที่เห็นได้

ดินสอเคลื่อนไปตามกระดาษขาว ส่งเสียงขูดขีดและกลายเป็นภาพแม่น้ำหิมะ น้ำตกเชี่ยวกราก และคนสองคนยืนอยู่บนก้อนหิน

คนชุดน้ำเงินพลันหันกลับมา มองไปทางป่าที่อยู่ริมแม่น้ำ

มือที่ถือดินสอแข็งค้างไป

……

……

เฉินฉางเซิงออกจากทะเลทรายเดินทางไปยังเวิ่นสุ่ย อย่างไรก็ตามในครั้งนี้ไม่ได้มีแค่หนานเค่ออยู่ข้างกายเขา แต่ยังมีเจ๋อซิ่วกับกวนเฟยไป๋อีกด้วย

เขารู้ดีว่าเขาต้องพบเจอกับปัญหามากมายในการเดินทางลงใต้ และหลังจากเข้าเมืองเวิ่นสุ่ย เขาก็ต้องพบเจอมากขึ้นไปอีก

ไม่ว่าเขาหรือเจ๋อซิ่วบอกว่าทำไมพวกเขาถึงต้องการไปยังเวิ่นสุ่ย

เหมือนเมื่อหลายปีก่อน หลังจากเฉินฉางเซิงเอาชนะโจวจื้อเหิงนอกสำนักฝึกหลวง เขาก็ขึ้นรถม้าและไปยังตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งทันที

ในตอนนั้นเขากับพวกก็ไม่พูดว่าพวกเขากำลังทำอะไร

ในตอนนั้นพวกเขาเดินทางไปคุกโจวเพื่อรับคน เช่นเดียวกับตอนนี้ พวกเขากำลังไปเวิ่นสุ่ยเพื่อรับคน

คนผู้นั้นอยู่ในเมืองเวิ่นสุ่ย และก็เป็นเวลานานแล้วที่พวกเขาได้ข่าวจากเพื่อคนนี้

ไม่ว่าคนที่พวกเขาได้พบเจอบนเส้นทางจะกล้าลอบสังหารเฉินฉางเซิงหรือไม่ แต่มีคนมากมายไม่ต้องการให้เขาไปยังเวิ่นสุ่ย

ดังนั้นเขาจึงต้องไปเวิ่นสุ่ย

……

……

มันเป็นวันธรรมดาในฤดูหนาวของปีที่สามในรัชศกใหม่ เมฆฤดูหนาวพลันหายไป ให้โลกนี้ได้พบกับแสงแดดอันงดงามและหายาก พวกของเฉินฉางเซิงมาถึงที่ราบนอกเมืองเวิ่นสุ่ย

เมื่อเขาเห็นเมืองเวิ่นสุ่ยจากระยะไกล เมืองเวิ่นสุ่ยก็เห็นเขาแล้วเช่นกัน

เรียกได้ว่าในตอนนี้ทั้งเมืองเวิ่นสุ่ยรู้แล้วว่าเขามาถึง

แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นยามของตระกูลถังที่ประตูเมืองหรือพ่อค้าแม่ขายริมทางต่างก็ไม่มีใครเผยสีหน้าประหลาดเมื่อได้เห็นพวกเขา

หากจะพูดให้ชัดเจนขึ้น พวกยามกับพ่อค้าเหล่านี้ไม่แม้แต่เหลือบมองด้วยซ้ำ แม้แต่ตอนที่พวกเขาตรวจเอกสารผ่านทางก็ตาม

เมืองเวิ่นสุ่ยคึกคัก ถนนทั้งหมดเชื่อมโยงกันโดยเฉพาะถนนหลักที่ทอดยาวจากเหนือจรดใต้ ไม่ได้ด้อยไปกว่าถนนวิหคเพลิงในจิงตูหรือถนนเทพบูรพาในลั่วหยางเลย มันกว้างใหญ่สามารถให้รถม้าแปดคันวิ่งขนานกัน มีบรรยากาศยิ่งใหญ่

แต่เมื่อกลุ่มของเฉินฉางเซิงปรากฏตัวขึ้น ถนนนี้ก็ดูแน่นขนัดขึ้นมาในทันที

ไม่ใช่ว่าพวกเขาตั้งใจขวางรถม้าหรือคนเดินถนน แต่พอพวกเขาอยู่ห่างไปสิบจั้ง รถม้ากับคนเดินถนนพวกนั้นก็พลันเปลี่ยนเส้นทางเสียอย่างนั้น

เห็นได้ชัดว่าคนพวกนั้นกำลังหลีกเลี่ยงพวกเขา พยายามรักษาระยะห่างจากพวกเขาให้มากที่สุด

พวกเขาเหมือนกับก้อนหินใหญ่ในแม่น้ำ ผลักน้ำออกไปด้านข้าง

นอกจากเด็กน้อยขี้สงสัยไม่กี่คนที่ยืนอยู่ในตรอกแล้วก็ไม่มีใครมองดูพวกเขาด้วยซ้ำ ต่างพากันทิ้งระยะห่างออกไปราวกับว่าพวกเขาเป็นน้ำป่าหรืออสูรโหดร้าย

บรรยากาศแปลกประหลาดมาก เฉินฉางเซิงถึงกับรู้สึกว่ากลิ่นหอมที่มาจากร้านอาหารยังหนีห่างไปจากพวกเขา

เจ๋อซิ่วมองไปที่ตึกผนังสีขาวหลังคาสีดำที่ปลายถนนเงียบๆ

พวกเขายังอยู่ห่างจากตึกนั้นอยู่มาก แต่พวกเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายประวัติศาสตร์เก่าแก่ได้

มันคือหอบรรพบุรุษที่มีชื่อเสียงของตระกูลถัง ว่ากันว่ามันเก่าแก่ยิ่งกว่าวังหลวงในจิงตูเสียอีก

กวนเฟยไป๋มองไปที่ตึกนั้นเช่นกัน นิ้วมือข้างขวาสามนิ้วลูบไล้ด้ามกระบี่ที่ค่อนข้างเก่าช้าๆ ดวงตาของเขาหรี่ลงช้าๆ ในยามที่ใช้ความคิด

หากข้อมูลที่พระราชวังหลีส่งมาถูกต้อง คนผู้นั้นถูกขังอยู่ที่นี่

มีนิ้วมือสองนิ้วจับแขนเสื้อของเฉินฉางเซิงไว้แน่น หนานเค่อไม่ได้คิดมาก นางแค่รู้สึกหิวและต้องการจะกินเนื้อ

เฉินฉางเซิงเดินนำหน้า

ฝูงชนค่อยๆ แยกตัวออก แหวกเป็นเส้นทางตรงกลาง ราวกับพลังศักดิ์สิทธิ์แหวกทะเล

เฉินฉางเซิงไม่ได้เดินไปยังตึกผนังสีขาวหลังคาสีดำที่ปลายถนน เขาหยุดอยู่ตรงที่แห่งหนึ่ง หันหน้าและเดินขึ้นบันไดหิน

ด้านหลังบันไดหินเป็นทางที่นำไปยังป่า ลึกเข้าไปในป่าเป็นอารามเต๋า

อารามนี้มีมหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ยประจำอยู่

ประตูอารามปิดลงช้าๆ

ไม่มีใครเห็นพวกเฉินฉางเซิงอีก

พ่อค้าแม่ขายริมถนนพลันหยุดและมองไปยังประตูอารามที่ปิดสนิท

ทั้งหมดเงียบงันไปครู่หนึ่ง มีแค่เสียงสุนัขเห่าและเสียงเด็กร้องไห้จากระยะไกลเท่านั้น

มันเป็นภาพที่ประหลาดเช่นเดียวกับละครใบ้ที่แทบไม่อาจเข้าใจได้ในเมืองเสวี่ยเหล่าคืนนั้น

หลังจากเวลาผ่านไป ฝูงชนก็ละสายตาไปจากอารามและเดินต่อไป กลับไปใช้ชีวิตตามเดิม

ประตูอารามยังคงปิดสนิท ป่าเงียบสงบ

ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในนั้น

ยามพรบค่ำมาเยือน

……

……

คนบนถนนจงใจไม่หันไปดูอารามในป่าอีก แต่ในอีกที่หนึ่ง มีสายตามากมายนับไม่ถ้วนจับจ้องดูอยู่

แม่น้ำเวิ่นสุ่ยไหลผ่านเมืองส่วนหนึ่งไหลอย่างอ่อนโยน มอบภาพอันสงบงดงาม ส่วนนี้ของแม่น้ำดังเอิญว่าอยู่ด้านหลังอารามเต๋าพอดี

อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ พ่อค้าเจ็ดคน แรงงานทางการหกคน หมอดูสามคน ผู้เฒ่าขายขนมงาสองคน เด็กสาวที่ซื้อเครื่องแป้งคนหนึ่งกำลังมองไปที่สวนด้านหลังของอารามเต๋า

ยังมีนายทหารหนวดเคราเต็มหน้าคนหนึ่งที่มองไปทางนั้นอยู่เป็นระยะๆ

แสงอาทิตย์อัสดงตกลงบนผิวน้ำที่เหมือนกับกระจก เปลี่ยนไปเป็นลูกไฟนับไม่ถ้วนที่ดูเหมือนจะแผดเผาท้องฟ้า

แสงสะท้อนตกลงบนใบหน้าของเขา เปลี่ยนหนวดเคราให้กลายเป็นพุ่มไม้ลุกไหม้

หลัวปู้นึกไปถึงเพลงกระบี่เวิ่นสุ่ยสามท่าอันโด่งดัง

เพลงกระบี่ทั้งสามมีชื่อที่ไพเราะ เก็บเมฆสนธยา แขวนดวงสุริยัน และลำธารใบไม้แดง

บางทีบรรพบุรุษตระกูลถังที่โด่งดังได้เห็นภาพเช่นนี้ในที่แห่งนี้และได้รับแรงบันดาลใจ สร้างเพลงกระบี่ที่งดงามเป็นเอกลักษณ์นี้ขึ้นมา

สวนด้านหลังอารามเต๋าเงียบสงบเช่นเคย ไม่มีแม้แต่เงาคนให้เห็น

ทันใดนั้นก็มีคนเริ่มเล่นฉิน เสียงดนตรีไหลราวกับสายน้ำในลำธารฟังรื่นหู

เขาหันหน้าไปและมองนักเล่นฉินตาบอดที่กำลังดีดฉินอยู่ริมแม่น้ำเวิ่นสุ่ย

แม้แสงจากทิศตะวันตกในยามสนธยาจะดูสว่างขึ้นและเจิดจ้ายิ่งขึ้น แต่นักเล่นฉินตาบอดจึงไม่อาจสัมผัสมันได้ ไม่เหมือนกับคนอื่น เขาไม่ได้ใช้มือบังแสงตะวัน แค่หลับตาและส่ายศีรษะไปตามเพลง มึนเมาและอาบไล้ไปด้วยแสง

เมื่อเห็นภาพนี้ หลัวปู้ที่เดินมาก็โยนเงินไปตรงหน้านักเล่นฉินตาบอด

นักเล่นฉินตาบอดดูยินดียิ่งขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเงินกระทบกัน คิ้วของเขาเหมือนจะบินขึ้นและนิ้วก็เคลื่อนไหวตามสายเร็วขึ้น แต่ท่วงทำนองพลันเปลี่ยนไป กลายเป็นหม่นมัว ไม่ใช่ใบไม้ทองมากมายบนแม่น้ำอีกต่อไปแต่เป็นสหายเก่าพบกันที่ประตูเมืองยามดวงอาทิตย์ตก