ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 152 ร้องเพลงยามราตรีทั้งในและนอกอารามเต๋า

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

หลัวปู้ยืนข้างนักดนตรีและฟังอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มร้องไปตามทำนอง

นักดนตรีเล่นทำนองที่คลุมเครือ แต่เขาร้องเพลงที่มีชื่อเสียงโด่งดัง

เขาเองก็มีเสียงที่ไพเราะซึ่งสร้างบรรยากาศที่พิเศษขึ้นในยามที่ผสานรวมกับต้นหลิวและหิมะในเมืองเวิ่นสุ่ย ทำให้เขาดึงดูดความสนใจจากคนมากมายในทันที

……

……

กระบี่ข้ามาจากตะวันตก

เสื้อของเจ้าพลิ้วไหวงดงาม

เป็นความน่ารักเล็กๆ

เคลื่อนผ่านลานบ้าน

ข้าคัดลอกคัมภีร์ในอาราม

แต่พรุ่งนี้ข้าจะฝึกหมัดสร้างกล้ามเนื้อ

ภูเขาวสันต์ชอบยิ้ม

พรุ่งนี้การเดินทางของข้ายิ่งไกลออกไป

กีบเท้าม้ากลายเป็นผีเสื้อ

ธนูโค้ง ลูกศรบิน เดินผ่านป่าเขียวขจี

ข้าคือบัณฑิตที่เดินทางไปเมืองหลวงเพื่อสอบแต่กลับไม่ศึกษา

ข้ามาลั่วหยางเพื่อเห็นภาพสะท้อนของเจ้า

คำพูดสุดท้ายในธารา ใบหน้าผู้จากไปบนท้องฟ้า

โศกเศร้าถึงร่างผอมบางของเจ้า

ดื่มแค่กระบวยเดียวก็เต็มร่างเล็กของเจ้า

……

……

นักดนตรีตาบอดเล่นอยู่เป็นเวลานาน หลัวปู้เองก็ร้องเพลงเป็นเวลานาน มีผู้คนมารายล้อมพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ เหรียญเงินและทองแดงกองอยู่ตรงหน้านักดนตรี ส่องประกายงดงามในแสงสุดท้ายของสนธยา

และแล้วยามเย็นก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นราตรี ร้านค้าและโรงเตี๊ยมสองฝั่งแม่น้ำเวิ่นสุ่ยเริ่มแขวนโคมไฟที่ส่องประกายระยิบระยับราวกับดวงดาวบนผิวน้ำ

ทันใดนั้นฝูงชนก็เริ่มส่งเสียงพูดคุยกันด้วยความตกใจ สายตาทุกคู่ย้ายจากหลัวปู้กับนักดนตรีตาบอดไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำ

ตรงนั้นเป็นสวนหลังของอารามเต๋า

หลัวปู้เลิกคิ้วเล็กน้อยและหันไปมองเช่นกัน

อารามเต๋าสว่างเจิดจ้า เมฆลอยอยู่รอบยอดอารามในขณะที่เสียงดนตรีแบบพิธีกรรมที่โอ่อ่าเที่ยงธรรมดังขึ้นช้าๆ

นี่เป็นการประกาศ

องค์สังฆราชได้มายังเวิ่นสุ่ย

ผู้คนตามแม่น้ำหยุดเคลื่อนไหวอีกครั้ง ยืนนิ่งเงียบและดูเหมือนจะมีท่าทางเหมือนกับฝูงชนบนถนนใหญ่เมื่อตอนกลางวัน

พ่อค้าเจ็ดคนหยุดร้องเรียกลูกค้า คนงานทางการหกคนวางโซ่ในมือลง หมอดูสามคนลืมตาขึ้น กระดาษที่สองผู้เฒ่าใช้ห่อขนมดูเหมือนจะสั่นไหวเล็กน้อยในสายลม เด็กสาวที่ซื้อเครื่องแป้งขาวดั่งหิมะ เพราะใบหน้านางได้ทาแป้งไปถึงห้าชั้น

ข้าไม่คาดคิดว่าเขาจะฉลาด

เห็นแสงสว่างเจิดจ้าจากอีกฝั่งแม่น้ำและได้ยินเสียงดนตรีพิธีกรรมดังมาจากอาราม หลัวปู้ก็คิดในใจ หรือบางทีอาจมีคนฉลาดอยู่ข้างกายเขา

……

……

เมืองเวิ่นสุ่ยมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ตระกูลถังก็เก่าแก่ยิ่งกว่าราชสกุลเฉินกับเหลียง

ในฐานะผู้นำสี่ตระกูลใหญ่และตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยเป็นผู้นำในหลายอุตสาหกรรม การขนส่ง อาวุธยุทโธปกรณ์ เสบียงอาหาร เหมือง… ตราบใดที่นั่นเป็นอุตสหกรรมที่มีความสำคัญก็จะเห็นเงาร่างของตระกูลถังที่เบาบางแต่ไม่อาจมองข้ามได้

จนถึงวันนี้ไม่มีใครรู้ว่าตระกูลถังซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้มากมายเพียงใด จนถึงวันนี้ไม่มีแม้แต่ขุมกำลังเดียวที่เคยบีบให้ตระกูลถังแสดงกำลังทั้งหมดออกมา ส่งผลให้ตอนที่พูดถึงตระกูลถัง ผู้คนได้แต่ใช้ถ้อยคำที่คลุมเครือในการบรรยาย ‘พื้นฐานมั่งคั่ง’

พื้นฐานมั่งคั่งก็เหมือนกับพืชน้ำนับไม่ถ้วนที่ก้นแม่น้ำเวิ่นสุ่ย ผู้คนรู้ว่ามันอยู่ตรงนั้น แต่ก็ไม่เคยเห็นมันกับตาตัวเอง ทำให้ได้แต่จินตนาการและคาดเดา ส่งผลให้ตระกูลถังกลายเป็นสิ่งลึกลับมากขึ้น น่ากลัวมากขึ้น

แต่ก็มีหลักฐานแวดล้อมอยู่เสมอ ยกตัวอย่างเช่น ไม่มีใครกล้าว่ายน้ำหรือตกปลาในเวิ่นสุ่ย ทั้งจักรพรรดิไท่จงและจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ที่แข็งแกร่งเหลือเชื่อก็ยังปิดปากเงียบและเอาใจตระกูลถัง การจมน้ำในแม่น้ำเวิ่นสุ่ยเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่าย และการต่อต้านตระกูลถังก็สามารถทำให้เกิดการกบฏขึ้นได้

เฉินฉางเซิงเป็นสังฆราชในตอนนี้ เป็นมนุษย์ที่ได้รับความเคารพสูงสุดในต้าลู่ แต่ต่อให้เป็นเขาก็ยังไร้อำนาจจะต่อต้านตระกูลถัง

หากเขาเผยฐานะของตัวเองตอนที่ออกจากศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานและพยายามมายังเวิ่นสุ่ย ตระกูลถังย่อมมีวิธีนับไม่ถ้วนที่จะปฏิเสธเขาไม่ให้เข้าเมือง แต่เขาปกปิดตัวตนและเข้าเมืองเวิ่นสุ่ยในฐานะนักท่องเที่ยวทั่วไป ต่อให้เวิ่นสุ่ยจะรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าเขาจะมา

แต่ตอนนี้เขาอยู่ในเวิ่นสุ่ย หากเขายังต้องการจะปกปิดตัวตนเหมือนก่อน พยายามที่จะช่วยถังซานสือลิ่วจากการถูกกักตัวในหอบรรพชนลับๆ ตระกูลถังก็อาจทำให้เขาหายตัวไปในความมืดมิดของเวิ่นสุ่ย สุดท้ายแล้วที่นี่ก็คือเวิ่นสุ่ย

ดังนั้นแสงที่ส่องออกมาจากอารามเต๋าในขณะที่เมฆลงมาจากท้องฟ้า

คือการที่เขาได้ประกาศตัวเองต่อเมืองเวิ่นสุ่ยทั้งหมด

ไม่ว่าเวิ่นสุ่ยจะมืดมิดเพียงใด ไม่ว่าพื้นฐานจะน่ากลัวเพียงใด พวกเขายังกล้าที่จะลงมือกับเขาอีกหรือ

นี่เป็นการประกาศง่ายๆ ตรงไปตรงมา แต่มีหลายคนรวมถึงหลัวปู้และตระกูลถังที่คิดว่านี่เป็นการกระทำที่ฉลาดมาก

กระนั้นในความเป็นจริงแล้วการตัดสินใจนี้ไม่เกี่ยวกับเฉินฉางเซิงนัก เขาแค่ทำตามคำแนะนำในจดหมาย

อารามเต๋าเงียบไปครึ่งค่อนวัน แต่ไม่ใช่เพราะเขากำลังถกเรื่องบางอย่าง เขามีเรื่องอื่นที่สำคัญต้องทำ

แม้อยู่ในช่วงกลางฤดูหนาวแต่ป่านี้เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี เห็นได้ชัดว่ามีค่ายกลบางอย่างติดตั้งไว้ในอารามเพื่อให้ความอบอุ่นกับพื้นดิน ในพระราชวังหลีที่จิงตู การกระทำแบบนี้ก็นับว่าออกจะฟุ่มเฟือยเกินไป มีเพียงเมืองเวิ่นสุ่ยเท่านั้นที่ค่ายกลแบบนี้มีให้เห็นทั่วไปเพราะเมืองนี้มั่งคั่งอย่างแท้จริง

ทางเดินหินที่เงียบและลมแรงทอดผ่านป่า ทางหินแห่งนี้มีมุขนายกยืนเรียงแถวทิ้งระยะห่างระหว่างกันหลายจั้งตั้งแต่บ่าย สีหน้าสงบเคร่งขรึม

ยิ่งอยู่ลึกเข้าไปในแถว อันดับของมุขนายกก็ยิ่งสูงขึ้น จนถึงประตูศักดิ์สิทธิ์ที่นำไปสู่ส่วนหลังของหอที่มีนักบวชระดับสูงสี่คนยืนอยู่

หลังประตูศักดิ์สิทธิ์ปลูกต้นสาลี่ไว้ต้นหนึ่ง ใต้ต้นสาลี่เป็นประตูสู่หอหลัง ด้านนอกมีมหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ยยืนอยู่

หลายปีก่อนที่เฉินฉางเซิงมาเยือนเวิ่นสุ่ย เขาก็พักอยู่ในหอหลังเช่นกัน ตอนนั้นเขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าสำนักฝึกหลวงจากสังฆราช และทั่วต้าลู่ว่าเขาเป็นว่าที่สังฆราช ดังนั้นมหามุขนายกจึงต้อนรับดูแลเขาเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามการดูแลตอนนั้นก็ไม่อาจเทียบกับวันนี้ได้

เมืองเวิ่นสุ่ยไม่ใช่ที่ตั้งสำคัญที่สุดของพระราชวังหลี ตำแหน่งมหามุขนายกนี้ก็เป็นงานสบายๆ แต่ถึงอย่างนั้นนิกายหลวงก็ไม่ได้สงบมาหลายปีแล้ว ดังนั้นการที่มหามุขนายกยังดำรงตำแหน่งนี้อยู่ได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็ย่อมหมายความว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา อย่างไรก็ตามเขายืนนิ่งเงียบอยู่นอกประตูไม่แสดงท่าทีหงุดหงิดไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ไม่แม้แต่ขยับเท้า เขาดูนอบน้อมจนเขารู้สึกเหมือนจะก้มลงจนติดพื้น

เพราะเฉินฉางเซิงได้เป็นสังฆราชแล้ว

แม้ว่าพวกเขาจะรู้เรื่องนี้ดี เหล่านักบวชชั้นสูงก็อดที่จะรู้สึกอึดอัดไม่ได้ที่มหามุขนายกของพวกเขาไม่ได้รับความสนใจ แม้ว่าพวกเขาจะไม่กล้าส่งเสียงบ่นก็ตาม

ที่พอจะปลอบโยนพวกเขาได้นิดหน่อยก็คือเจ๋อซิ่วกับกวนเฟยไป๋ก็ถูกกันอยู่นอกหอหลังเช่นกัน ตอนนี้กำลังฆ่าเวลาอยู่ในป่า

เจ๋อซิ่วแห่งเผ่าหมาป่ากับกวนเฟยไป๋แห่งหลีซานนั้นย่อมเป็นผู้มีชื่อเสียง และความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสังฆราชก็เป็นที่รู้โดยทั่วไป

แม้แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้เข้าไปในหอ คนอื่นก็ไม่ต้องพูดถึง

เริ่มจากตอนบ่ายประตูหอหลังก็ไม่เคยเปิดขึ้นอีกเลย ไม่มีแม้แต่เสียงเดียวดังออกมา ไม่มีใครรู้ว่าเฉินฉางเซิงทำอะไรอยู่

ในที่สุด ในยามที่โพล้เพล้ที่สุด ต้นไม้ริมแม่น้ำและหลังคาหอก็ดูเหมือนจะลุกไหม้ขึ้นพร้อมกัน เมื่อความร้อนแผ่ออกมาจากหอ

ความร้อนนี้มาจากไปจริงๆ ไม่ใช่ค่ายกลใต้อารามเต๋า ใบไม้บนต้นสาลี่ม้วนตัวเล็กน้อย

ในที่สุดมหามุขนายกก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้าของเขาแสดงความกังวลเมื่อมองไปที่ประตูซึ่งปิดสนิท