ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 153 เสียงฝีเท้าม้าโกลาหลยามรุ่งอรุณ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

กวนเฟยไป๋ใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ไม่รู้ว่าเหงื่อออกเพราะความร้อนหรือความกังวล

“เขากำลังทำยาจูซาอยู่หรือ”

น้ำเสียงของเขาแหบพร่าและต่ำอย่างมากเพราะกลัวว่าคนอื่นจะได้ยินเข้า

เจ๋อซิ่วก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในหอ แต่เขาเคยกินยาจูซามาก่อนและรู้ว่ามันมีกลิ่นอย่างไร เขาพยักหน้า

เมื่อได้รับการยืนยัน กวนเฟยไป๋ก็สูดหายใจเข้าลึก

ในทุ่งหิมะแดนเหนือ ยาจูซาเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุด ดังนั้นจึงคาดเดาได้ว่าเขารู้ว่ายาศักดิ์สิทธิ์ในตำนานนี้สามารถช่วยคนใกล้ตายและปลูกกระดูก

แต่ที่เขาสูดหายใจลึกไม่ใช่เพราะความตกใจ แต่เป็นเพราะว่าเขาได้ยืนยันความจริงของข่าวลืออีกอย่างหนึ่ง

ดังนั้นเรื่องเฉินฉางเซิงเป็นคนสร้างยาจูซาก็เป็นเรื่องจริง แล้วเรื่องที่มันทำขึ้นจากเลือดของเขาเล่า

ครึ่งปีก่อนอาจารย์ลุงคนหนึ่งจากหอกระบี่หลีซานได้ต่อสู้อย่างดุเดือดกับขุนพลมารอันดับยี่สิบเอ็ดนอกศูนย์บัญชาการกองทัพเฮยซาน เขากลับจากการรบมาพร้อมแขนขาดและเลือดแทบหมดตัว แม้แต่แสงศักดิ์สิทธิ์ก็ไร้ประสิทธิภาพ แต่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ยาจูซาเม็ดหนึ่งก็ถูกส่งมาให้เขา

เมื่อเขาคิดเรื่องนี้ กวนเฟยไป๋ก็ไม่รู้ว่าจะพบหน้าเฉินฉางเซิงอย่างไร

……

……

ประตูหอหลังเปิดออกในที่สุด คลื่นความร้อนพุ่งออกมา ทำให้ต้นสาลี่ใบร่วงและให้ความรู้สึกเหมือนอยู่กลางฤดูร้อน

เฉินฉางเซิงเดินออกมาโดยมีหนานเค่อช่วยพยุง ใบหน้าของเขาซีดขาวราวกับเพิ่งหายจากอาการป่วยที่เลวร้าย

มหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ยรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับเขา

เฉินฉางเซิงส่งขวดเล็กๆ ให้กับเขา

ขวดนั้นย่อมบรรจุไว้ด้วยยาจูซาที่ล้ำค่าหาใดเปรียบ

เมื่อปีกว่าที่ผ่านมา เฉินฉางเซิงได้มอบยาจูซาขวดเล็กๆ ให้กับทหารในแนวรบเดือนละขวดทุกเดือน

นี่คือขีดจำกัดของเลือดเขา

ตามเวลาแล้ว ยาจูซาของเดือนนี้ควรสร้างขึ้นเมื่อสองสัปดาห์ก่อนและถูกแจกจ่ายไปเรียบร้อยแล้ว แต่เพราะเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้กับราชามารในเทือกเขาและเสียเลือดไปมาก หลังจากนั้นเขาก็พักรักษาตัวที่คอกม้าผาชัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำเช่นนั้น

เขาไม่เคยพูดเรื่องนี้แต่แท้จริงแล้วเขาเป็นกังวล เพราะเขารู้ว่ามีทหารมากมายกำลังใกล้ตายอยู่ตามที่ต่างๆ อย่างเช่นด่านหลานกวน ด่านยงเสวี่ย ซงโจวและเฮยซาน พวกเขากำลังรอยาจูซา เป็นคนเหล่านั้นที่เป็นกังวลอย่างแท้จริง

ดังนั้นตอนที่เขาออกจากฮั่นชิว เขาจึงส่งสารลับไปที่เวิ่นสุ่ยให้อารามเต๋าเตรียมวัตถุดิบเอาไว้ เมื่อเขามาถึงในวันนี้ เขาก็ไม่สนเรื่องที่เขายังไม่หายดีจากการบาดเจ็บและเริ่มทำยา

ตอนนี้ยาจูซาขวดนี้ก็เสร็จสิ้นในที่สุด มันย่อมถูกส่งไปถึงกองทัพในแนวรบ

ในตอนต้น ตำหนักอิงหัวของนิกายหลวงได้รับหน้าที่ในการแจกจ่าย แต่ภายหลังได้เปลี่ยนไปเป็นตระกูลถัง ตอนนี้เขาอยู่ในเวิ่นสุ่ย แต่เขาไม่มีเจตนาจะให้ตระกูลถังดูแลเรื่องนี้ต่อไป จากทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนเทือกเขาในคืนนั้นซึ่งเกิดขึ้นเพราะตระกูลถัง และเห็นได้ชัดว่าตระกูลถังก็ไม่สนใจเรื่องความเมตตาที่เขาส่งผ่านยาจูซา

เฉินฉางเซิงออกคำสั่ง “ให้คนส่งมันไปเมืองฮั่นชิวในคืนนี้ หาผู้ดูแลจากสำนักต้นไหว พวกเขารู้ว่าจะแจกจ่ายยาอย่างไร”

มันเงียบมาก มหามุขนายกไม่ได้ตอบหรือรับขวดเล็กๆ นั่น

เขาไม่ได้มีเจตนาจะขัดขืนโองการศักดิ์สิทธิ์หรือกำลังชั่งผลดีผลเสีย เขาแค่ตกใจเกินไป

มีข้อมูลที่สำคัญมากอยู่ในคำสั่งนี้ และส่วนหนึ่งของข้อมูลก็สามารถทำให้ทั้งต้าลู่ตกตะลึง

หวังผ้อกลับไปที่เทียนเหลียงแล้ว

ไม่ว่าตัวเขาเองที่กลับไปหรือสำนักต้นไหวที่ไป มันก็หมายความว่าเขาไปเช่นกัน

ทุกคนรู้ว่าสำนักต้นไหวก็คือหวังผ้อ

แต่สิ่งที่น่าตกใจที่สุดสำหรับมหามุขนายกไม่ใช่ข่าวนี้ แต่เป็นขวดเล็กๆ นี่เอง

การจะให้คนส่งขวดนี้ไปเมืองฮั่นชิว เขาย่อมมีโอกาสมากมายที่จะเล่นลูกไม้หากเขาต้องการที่จะทำ

สีหน้าของมหามุขนายกเปลี่ยนไปอย่างมาก ขณะหนึ่งเป็นสีแดง แล้วอีกชั่วขณะก็เปลี่ยนเป็นขาว จากนั้นก็กลับคืนสู่ความสงบในที่สุด

เขารับขวดเล็กๆ มาโดยมือไม่สั่นแม้แต่น้อย

“ข้าจะไม่ทำลายความเชื่อใจขององค์สังฆราช”

……

……

เจ๋อซิ่วมองไปทางเฉินฉางเซิงที่หน้าซีดราวกระดาษและเตือน “เลือดนั้นสามารถฟื้นฟูตัวเองได้ แต่หากเจ้าทำแบบนี้ต่อไป มันจะส่งผลต่อการบำเพ็ญตนของเจ้าอย่างมาก”

เฉินฉางเซิงตอบ “ข้ากินผลไม้ทิพย์กับสมุนไพรล้ำค่ามากมาย ปัญหาคงไม่ใหญ่เกินไป”

เจ๋อซิ่วตอบ “หากเจ้าต้องการจะเป็นนักปราชญ์ นั่นก็เป็นปัญหาใหญ่แน่”

เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไป ไม่ตอบคำ

เจ๋อซิ่วมองตาเขาและกล่าว “นางไม่ห้ามเจ้าหรือ”

เฉินฉางเซิงรู้ว่าเขาไม่ได้พูดถึงสวีโหย่วหรงหรือคนที่เขียนจดหมาย แต่เป็นมังกรดำน้อย

เขาอดที่จะยิ้มไม่ได้เมื่อนึกไปถึงการโต้เถียงอย่างหนักกับนางในตอนเริ่มทำ

เจ๋อซิ่วกล่าวต่อ “เทียบกับการช่วยชีวิตคน การที่เจ้าแข็งแกร่งขึ้นนั้นสำคัญต่อโลกนี้มากกว่าเยอะ”

สายตาของเฉินฉางเซิงหยุดลงที่ต้นสาลี่นอกประตูในตอนที่เขากล่าว “ข้าเข้าใจเหตุผลนี้แต่…คงดีกว่าหากข้าไม่คิดเรื่องนี้ เพราะตราบใดที่ข้ารู้ว่าการใช้เลือดในแต่ละเดือนช่วยคนได้หลายสิบชีวิต มันก็ยากที่ข้าจะไม่ลงมือทำ”

กวนเฟยไป๋ที่เงียบอยู่ตลอดเวลากล่าวขึ้น “มีเหตุผล ข้าก็คงตัดสินใจได้ยากหากเป็นเจ้า”

เจ๋อซิ่วเติบโตขึ้นในดินแดนรกร้างที่ยากลำบากในแดนเหนือ และไม่อาจที่จะเข้าใจความคิดแบบนี้ของศิษย์จากสำนักเที่ยงธรรมในแดนใต้ได้ เขาส่ายหน้าและไม่พูดอะไรอีก

“ตอนที่เจ้าทำยา อารามเต๋าได้ประกาศการมาถึงเวิ่นสุ่ยของเจ้า”

กวนเฟยไป๋หันไปหาเฉินฉางเซิงแล้วถาม “ที่ข้าไม่เข้าใจก็คือต่อให้เจ้าเผยตัวตน ทำให้ตระกูลถังไม่อาจแตะต้องเจ้า แล้วเจ้าจะช่วยถังถังได้อย่างไร ต่อให้เจ้าไปเยี่ยมด้วยตัวเอง หากพวกเขาไม่ให้เจ้าเข้าไปแล้วเจ้าจะทำอะไรได้ แม้แต่สังฆราชก็ไม่อาจบุกเข้าหอบรรพบุรุษได้”

“ข้าเองก็ไม่รู้ ข้าจะดูสถานการณ์วันพรุ่งนี้”

เฉินฉางเซิงมองไปที่ท้องฟ้าราตรี เห็นดวงดาวพร่างพราวนับไม่ถ้วน เขาคาดว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันที่ฟ้าโปร่ง

อากาศอบอุ่นช่วงกลางวันแต่ลมกลับพัดแรงในยามกลางคืน ลมฤดูหนาวพัดลงมาจากภูเขาทางเหนือ เข้าสู่เมืองผ่านแม่น้ำเวิ่นสุ่ยและล้อมอยู่รอบอารามเต๋า

ต้นสาลี่ส่ายไหวเล็กน้อย ใบไม้ร่วงอีกครั้ง มันดูค่อนข้างซึมเศร้าเหมือนกับจะบอกว่าอากาศกำลังจะเปลี่ยนแปลง

……

……

ความเปลี่ยนแปลงมาถึงในรุ่งอรุณของวันถัดมา

ไม่ใช่หิมะที่พลันตกลงมาหรือสายลมแรง แต่เป็นเสียงฝีเท้าม้านับไม่ถ้วนที่ดังปานฟ้าร้อง

เสียงฝีเท้าม้าปานฟ้าร้อง ทำให้แสงอรุณแตกสลายและแผ่นดินสะเทือน ทำให้ที่ราบโกลาหล เมืองเวิ่นสุ่ยตีระฆังเตือน แล้วประตูเมืองที่ไม่ได้ปิดมาหลายศตวรรษก็ปิดลงด้วยความเร็วเกินคาด

หน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์หลากหลายชนิดติดตั้งอยู่บนกำแพงเมืองหันหน้าไปทางที่ราบตอนเหนือ ใยปราณที่แข็งแกร่งพุ่งขึ้นสู่อากาศ เป็นสัญญาณว่าค่ายกลมากมายนับไม่ถ้วนภายในประตูเมือง กำแพงและใต้ดินกำลังเคลื่อนไหว

แค่เห็นจำนวนของหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์ ค่ายกลป้องกันและรถม้าบินที่พุ่งขึ้นฟ้าก็เข้าใจได้ว่าการป้องกันเมืองเวิ่นสุ่ยนั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เหนือกว่าบรรทัดฐานการป้องกันลั่วหยางเสียอีก

ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือการที่พวกเขาจะดูตกใจกับเสียงฝีเท้าม้ากระหึ่ม ก็ไม่มีทหารที่ประตูเมือง องครักษ์ตระกูลถังหรือแม้แต่พ่อค้าและคนรับใช้คนใดตื่นตระหนก พวกเขาถอยเข้าเมืองอย่างเป็นระเบียบ

เห็นได้ชัดว่าแม้ว่าเมืองเวิ่นสุ่ยไม่เคยถูกโจมตีมานานนับปีไม่ถ้วนแต่ก็ไม่เคยลืมวิธีการต่อสู้

แม้จะไม่คิดถึง ‘พื้นฐานมั่งคั่ง’ ที่ยากหยั่งถึงของตระกูลถัง แค่ท่าทีการป้องกันเมืองและทหารที่ฝึกมาอย่างดี ชาวเมืองก็มั่นใจว่าผู้โจมตีจะต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างน่าอนาถ ต่อให้ทัพหมาป่าที่กระหายเลือดและโหดเหี้ยมที่สุดของเผ่ามารก็ยังไม่กล้าบุกเข้าโจมตีโดยตรง พวกเขาต้องหยุดรอด้านนอกระยะโจมตีของหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์หลายร้อยคัน

ดังที่คาด เสียงฝีเท้าม้าดังกระหึ่มค่อยๆ หยุดลง คลื่นสีดำหยุดลงบนทุ่งราบห่างเมืองไปพันจั้ง