บทที่ 1170 มีปากมีตามีตัว!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

ตรงปลายสุดของรอยมือในแม่น้ำแห่งความมืดลึก 1,000,000 จั้ง ที่ยอดเขามหึมานั้นมีรูปปั้นแกะสลักงดงามตระการตาอยู่ชิ้นหนึ่ง รูปปั้นแกะสลักนี้เป็นชายวัยกลางคน มองไม่เห็นใบหน้าของเขา

เขาก้มหน้าลงราวกับกำลังมองไปยังขุมนรก พลังไอมรณะเข้มข้นแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเขาราวกับได้กลายเป็นหนึ่งในแหล่งทรัพยากรของแม่น้ำแห่งความมืดสายนี้

ด้านล่างรูปปั้นแกะสลัก ด้านนอกวัดสีดำ หวังเป่าเล่อกำลังผลักประตูไม้ของวัดแล้วเดินเข้าไปด้วยความมุ่งมั่น

ไม่ว่าผู้ที่เข้ามาก่อนหน้านี้จะเป็นอย่างไร ไม่ว่าหลังจากเข้ามาแล้วจะมีอันตรายที่ยากจะต่อกรอยู่หรือไม่ หวังเป่าเล่อก็ต้องก้าวเข้าไป ไม่ใช่เพื่อตัวเขาเอง แต่เพื่อศิษย์พี่

เพื่อมิตรภาพในวันวาน เพื่อตอบแทนจากก้นบึ้งหัวใจ

อันตรายหรือไม่อันตราย ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว สิ่งสำคัญคือหวังเป่าเล่อรู้สึกว่าเขาควรเข้าไป ควรทำเช่นนี้

ดังนั้นฝีเท้าของเขาจึงมั่นคงมาก พริบตาที่ก้าวข้ามธรณีประตูและเดินเข้าไป…ก็เหมือนกับหลุดเข้าไปอีกโลกหนึ่ง

ในประตูกับนอกประตูดูเหมือนไม่มีอะไรแตกต่างกัน แต่มีเพียงคนที่เข้ามาอย่างแท้จริงเท่านั้นที่จะรู้ว่าด้านในกับด้านนอกไม่เหมือนกัน โลกภายนอกคือก้นแม่น้ำแห่งความมืด ไอมรณะแทรกซึมไปทั่ว แต่ด้านในวัด…กลับมีอย่างอื่น นั่นก็คือโลกใบหนึ่ง

เป็นโลกที่กว้างใหญ่ แต่ก็เล็กจ้อยเช่นเดียวกัน ที่บอกว่ากว้างใหญ่มากนั้นเป็นเพราะมันไม่อาจมองเห็นจุดสิ้นสุดได้ในพริบตาเดียว จิตใต้สำนึกเองก็ไม่สามารถครอบคลุมได้หมด ส่วนที่บอกว่าเล็กจ้อยมากก็เป็นเพราะในโลกอันไร้ขอบเขตนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่เลย มีเพียงร่างหนึ่งที่ครอบครองพื้นที่เกือบครึ่งของโลกเอาไว้ สตรีในชุดสีแดง เบื้องหน้านางมีหุ่นกระบอกที่จัดวางอย่างเรียบร้อย

หุ่นกระบอกพวกนั้นส่วนมากมืดมน มีเพียงสามถึงห้าตัวเท่านั้นที่กำลังเปล่งแสงอยู่

นอกจากนี้ยังมีเพลงแห่งความว่างเปล่าดังออกมาจากปากของสตรีผู้นั้น

“หนึ่งปากหนึ่งตาหนึ่งตัว มีวิญญาณมีเนื้อมีกระดูก…”

“มองดวงตาอันพร่างพราย สิ่งเดียวที่มากขึ้นคือไม้แห่งความมืด…”

“มีปากมีตามีตัว หนึ่งวิญญาณหนึ่งเนื้อหนึ่งกระดูก…”

“ทุกสิ่งที่ได้ยินคือน้ำตา สิ่งเดียวที่ขาดคือเสือน้อย…”

จู่ๆ เพลงนี้ก็ลอยมาพร้อมกับเสียงเรียกแปลกประหลาด คล้ายกับเป็นเพลงสวดส่งวิญญาณ เมื่อมันลอยเข้าหูหวังเป่าเล่อ เขาพลันชะงักฝีเท้า ดวงตาเผยความสับสน แต่ในไม่ช้าความสับสนนั้นก็ถูกเขาสะกดกลั้น แต่ในใจกลับยิ่งตื่นตกใจกับเพลงนี้มากขึ้น

ความจริงคือเนื้อหาของเพลงนั้น…น่าสะพรึงกลัว

เมื่อมองเข้าไป หวังเป่าเล่อก็เห็นว่าในโลกใบนี้ สตรีชุดแดงร่างมหึมาผู้นั้นกำลังขับร้องเพลงพร้อมกับนำหุ่นกระบอกที่เปล่งแสงไม่กี่ตัวนั้นขึ้นมา การกระทำราวกับกับกำลังสร้างพวกมัน

ส่วนวัสดุนั้น…หวังเป่าเล่อรู้จักดี นั่นคือร่างของผู้ฝึกตนในสำนักที่เข้ามาก่อนหน้านี้ แม้จะไม่ใช่ผู้ฝึกตนทั้งหมดของสำนักแห่งความมืดที่อยู่ในที่แห่งนี้ แต่อย่างน้อยก็เจ็ดในสิบ อีกทั้งผู้ฝึกตนแต่ละคนก็ราวกับหลับใหล และปล่อยให้สตรีผู้นั้นจัดการได้ตามใจชอบ

รูปร่างหน้าตาของสตรีผู้นั้นก็น่าสยดสยองมากเช่นกัน นางไร้จมูก บนใบหน้ามีเพียงตาดวงเดียวและปากสีเลือดที่กำลังฮัมเพลงเสียงเบา หวังเป่าเล่อดวงตาหดแคบ ฐานการฝึกฝนในร่างไหลเวียน เขาสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามรุนแรงบนร่างของนาง

ภัยคุกคามนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเต๋าสวรรค์ แต่มาจากจิตวิญญาณเหมือนกับจิตวิญญาณของเขากำลังสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนเขาว่าที่นี่…อันตรายอย่างยิ่ง!

ยิ่งหวังเป่าเล่อมองเห็นวัสดุของหุ่นกระบอกที่กำลังสร้างอยู่ในมือของสตรีชุดแดง…นั่นคือผู้ฝึกตนดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรที่เข้ามาก่อนหน้าเขา

ตอนนี้ในสายตาของเขา ผู้ฝึกตนที่เปล่งแสงอยู่ในมือสตรีชุดแดงกำลังถูกบิดไปมา นางดึงศีรษะผู้ฝึกตนนั้นลงมา และในตอนที่ดึงลงมานั่นเองก็มีเงาร่างบางอย่างปรากฏขึ้นบนร่างผู้ฝึกตน

ร่างเหล่านั้นมีทั้งผู้ฝึกตน มนุษย์ธรรมดา และสัตว์ร้าย หากหวังเป่าเล่อไม่มีประสบการณ์ที่ดาวชะตา เขาคงไม่สามารถมองทะลุได้ แต่ตอนนี้เมื่อมองไปก็ต้องตกใจทันที เข้าใจกระจ่างว่าเงาร่างเหล่านั้นคงจะเป็นร่างในชาติก่อนๆ ของผู้ฝึกตนผู้นั้น

“นี่มันคืออะไรกันแน่ มีผลกับสารัตถะจิตวิญญาณได้โดยตรง ศีรษะที่ดึงลงมาไม่ใช่ชีวิตปัจจุบัน แต่เป็นสารัตถะที่แท้จริงของเขา!”

ไม่มีเลือดราวกับผู้ฝึกตนนั้นกลายเป็นวัตถุไร้ชีวิตมาปะติดเข้าด้วยกัน ศีรษะของเขาถูกสตรีชุดแดงกดทับลงบนหุ่นอีกตัว

ขณะเดียวกันร่างของผู้ฝึกตนผู้นั้นก็ถูกแยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว แขน ขา และลำตัว ราวกับได้กลายเป็นชิ้นส่วนที่ถูกติดตั้งบนหุ่นกระบอกตัวอื่น

ภาพนี้ทำให้ดวงตาหวังเป่าเล่อหดแคบลงอีกครั้ง ยังไม่ทันที่เขาจะได้ขยับ จู่ๆ เพลงของสตรีชุดแดงก็หยุดลง มุมปากเผยรอยยิ้ม ก่อนนางจะเงยหน้าขึ้นและใช้ดวงตาเพียงข้างเดียวมองมาทางหวังเป่าราวกับดีใจมาก

“มีปากมีตามีตัว มีวิญญาณมีเนื้อมีกระดูก” น้ำเสียงร่าเริงดังก้องกังวาน สตรีชุดแดงยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังหวังเป่าเล่อ หวังเป่าเล่อคิดจะหลบหนี ทว่านิ้วที่ชี้มาย่อมไม่เปิดโอกาสให้เขาหลบหนีได้ เสียงคำรามดังขึ้นในหัว พริบตาเขาก็เห็นร่างของตนไม่สามารถควบคุมได้และค่อยๆ แข็งทื่อ ก่อนจะก้าวเข้าไปหาสตรีชุดแดงทีละก้าว

ในที่สุดก็เดินมาถึงตรงหน้านาง และหยุดอยู่ข้างหลังหุ่นกระบอกทั้งหลาย จากนั้นความง่วงงุนก็เข้าคืบคลาน ทุกสิ่งตรงหน้าพร่าเบลอจนหมดสิ้น

เวาผ่านไปอย่างเนิบช้า ทว่าเพลงของสตรีชุดแดงกลับยิ่งร่าเริงขึ้น นางไม่ได้หยิบหวังเป่าเล่อที่กลายเป็นหุ่นกระบอกขึ้นมา เพียงแต่เหลือบมองเป็นครั้งคราว ทว่าเมื่อใดก็ตามที่มีหุ่นกระบอกเปล่งแสง นางจะจับขึ้นมาด้วยความดีอกดีใจ และแยกชิ้นส่วนไปติดตั้งบนหุ่นตัวอื่น

ด้านหวังเป่าเล่อที่หมดสติไป เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งเขาก็ไม่ได้อยู่ในวัดต่อไปแล้ว แต่อยู่ในสนามรบอันคุ้นตา

รอบด้านไร้พืชพันธุ์ บนพื้นมีแอ่งอยู่หลายจุด เมื่อเงยหน้ามองท้องฟ้าเป็นจักรวาล และในจักรวาลนี้มีดวงดาวสีฟ้าอยู่ดวงหนึ่ง

มันดูคุ้นตามาก

“โลก?” หวังเป่าเล่อผงะไปชั่วครู่ ทันใดนั้นก็มีคนผลักสีข้างเขา คนผู้นี้หวังเป่าเล่อคุ้นเคยดี เขาคือ…จินตั้วหมิงแห่งสหพันธรัฐ!

“เป็นไง แลกไม่แลก” จินตั้วหมิงกะพริบตามองหวังเป่าเล่อ

“แลกอะไร” หวังเป่าเล่อเอ่ยตอบอย่างว่างเปล่า จินตั้วหมิงมองหวังเป่าเล่อด้วยความประหลาดใจ พึมพำสองสามประโยคแล้วหมุนตัวจากไปโดยไม่สนใจเขาอีก

จินตั้วหมิงเดินจากไปแล้ว หวังเป่าเล่อมองไปรอบด้าน ไม่นานสมองเขาก็ค่อยๆ แจ่มชัดและจำทุกสิ่งได้ เขานึกออกแล้ว เขาเคยอยู่ที่สำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์มาก่อน ได้รับสิทธิ์ฝึกฝนบนดวงจันทร์และสร้างรากฐานแห่งเต๋า

“ใช่ รากฐานแห่งเต๋า!” หวังเป่าเล่อใจกระตุก ดวงตาเปล่งแสงจ้าและกรอกไปรอบตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะใช้ฐานการฝึกฝนชั้นมหาวัฏจักรควบออกไปอย่างรวดเร็ว

ระหว่างทางเขาเห็นเหล่าอสูรร้ายที่เป็นลักษณะเฉพาะของดวงจันทร์ ไม่ว่าจะเซียนดวงจันทร์หรือวิญญาณร้ายล้วนทำให้หวังเป่าเล่อต้องระวัง ขณะเดียวกันก็มีคนคุ้นหน้าคุ้นตาทยอยปรากฏขึ้นในสายตาของหวังเป่าเล่อ

นั่นทำให้หวังเป่าเล่อจมดิ่งกับโลกใบนี้โดยสมบูรณ์และไม่ตระหนักถึงปัญหาที่นี่และไม่รับรู้ถึงสภาพของตัวเองในตอนนี้ซึ่งผิดปกติมาก

เวลาเดียวกันในแม่น้ำแห่งความมืด ด้านล่างรูปปั้นแกะสลัก ภายในวัด ในโลกที่มีสตรีชุดแดงผู้นั้นอยู่ จู่ๆ หุ่นกระบอกหวังเป่าเล่อก็เปล่งแสงไปทั่วร่างราวกับแสดงถึงการเติบโตเต็มวัยแล้ว นั่นทำให้สตรีชุดแดงโห่ร้องดีใจ นางคว้าหุ่นกระบอกหวังเป่าเล่อขึ้นมาด้วยความยินดี ก่อนจะบีบศีรษะเขาแล้วดึง…

ทันใดนั้นร่างในชาติก่อนๆ ของหวังเป่าเล่อก็ทยอยปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเทพ ผีดิบ กวางหรืออาวุธ ทั้งหมดล้วนถูกดึงออกมาในพริบตา แต่ในตอนนั้นเองร่างชาติก่อนของหวังเป่าเล่อ แผ่นไม้สีดำพลันปรากฏ ทำให้สตรีชุดแดง…ดึงไม่ได้!

นางชะงัก

เวลาเดียวกันในโลกดวงจันทร์ที่หวังเป่าเล่อจมดิ่ง เขากำลังพยายามสร้างรากฐานแห่งเต๋าอย่างระมัดระวัง แต่แล้วร่างกลับกระตุกอย่างรุนแรง ความว่างเปล่ารอบด้านสั่นสะเทือนราวกับมีแรงมหาศาลกำลังฉุดดึง แรงดึงนี้ไม่ได้มาจากพื้นดิน แต่มาจากจักรวาล มาจากทั่วทุกสารทิศ มาจากทุกพื้นที่และมาบรรจบกันที่คอของเขาในที่สุด

ทว่าในขณะที่ดึงก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะใช้กำลังทั้งหมด ไม่ได้หักคอของเขา ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ สงบลง ดวงตาหวังเป่าเล่อมีแววกระเสือกกระสน เขาส่ายหัวแล้วยกมือลูบบริเวณนั้นด้วยความสงสัย

“ใครดึงคอข้า”

ตอนนั้นเองโลกก็พลันสั่นสะเทือนขึ้นมาอีกครั้ง มันรุนแรงขึ้นและแรงดึงก็มากขึ้น!

………………………