บทที่ 1169 เข้าไปทีหลัง!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

“คฤหาสน์จักรพรรดิแห่งความมืด…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา หลังจากกระแทกฝ่ามือนั้นลงไป พลังแห่งเต๋าสวรรค์ในร่างกายเขาก็หายไปหมดด้วย หวังเป่าเล่อไม่แสดงอาการอ่อนเพลียใดออกมา ตอนนี้เขากำลังก้มศีรษะจ้องมองเข้าไปในแม่น้ำ ภูเขาที่มองไม่เห็นก้นบึ้งลูกนั้นและรูปปั้นแกะสลักบนยอดเขา แล้วยังมี…วัดสีดำสนิทนั่น

สำหรับจักรพรรดิแห่งความมืด หวังเป่าเล่อไม่ค่อยรู้เรื่องราวของเขามากนัก ในนิมิตมืดก็ไม่ได้มีคำอธิบายอะไรมาก เขารู้แค่ว่านี่คือผู้นำของสำนัก มีอำนาจเหนือผู้อาวุโสชั้นสูงทั้งเก้า

ทว่า ถือสันโดษมานานนับหลายปี อำนาจของสำนักแห่งความมืดจึงตกอยู่ที่ผู้อาวุโสชั้นสูงทั้งเก้า ในตอนสุดท้ายของสงครามตระกูลไม่รู้สิ้น จักรพรรดิแห่งความมืดคือผู้ที่ถูกตัดศีรษะเป็นคนแรก ส่วนราคาที่แลกกับการตายนั้น…หวังเป่าเล่อไม่รู้ แต่จากความเข้าใจในภายหลัง เขารู้ว่าเต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืดตอนนั้นได้ถูกตระกูลไม่รู้สิ้นตัดศีรษะไปพร้อมกับจักรพรรดิแห่งความมืดผู้นี้ด้วย

จากนั้นการปรากฏตัวของเต๋าสวรรค์ตระกูลไม่รู้สิ้นและการต่อสู้ตัดสินชะตาของสายเลือดทั้งเก้าของสำนักแห่งความมืดก็อยู่ในความควบคุมของผู้อาวุโสชั้นสูงทั้งเก้า กระทั่งสายเลือดทั้งเก้าของสำนักแห่งความมืดถูกทำลายจนตายไปกว่าเก้าในสิบ

ถึงจุดนี้ความรุ่งโรจน์ของสำนักแห่งความมืดจึงถูกปิดม่านและกลายเป็นเพียงประวัติศาสตร์ ขณะที่ตระกูลไม่รู้สิ้นรุ่งเรืองและกลายเป็นศูนย์กลางจักรพิภพเต๋า เต๋าสวรรค์ของพวกเขาแผ่ขยายไปทั่วจักรพิภพเต๋าและกลายเป็นธรรมเนียม

ตอนที่มายังนพภูมิแห่งนี้ หวังเป่าเล่อก็ได้รู้ความลับจากศิษย์พี่เฉินชิงจื่อว่าจักรพรรดิแห่งความมืด…คือนิ้วชี้ของหลัวเทียนที่แปลงมา

“นิ้วชี้…เช่นนั้นใครกันที่สามารถตัดหัวจักรพรรดิแห่งความมืดที่แปลงมาจากนิ้วชี้หลัวเทียนได้…” ดวงตาที่หรี่ลงของหวังเป่าเล่อเผยความล้ำลึก เขานึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกภายนอกในรับรู้ชาติก่อนของตน เรื่องราวเหล่านี้ทำให้เขาเข้าใจความแข็งแกร่งของคนที่เฉือนนิ้วชี้หลัวเทียน

จากจุดนี้ก็สามารถอนุมานพลังต่อสู้ของจักรพรรดิแห่งความมืดและความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ได้ไม่มากก็น้อย

“เป็นปรมาจารย์ดั้งเดิมของตระกูลไม่รู้สิ้นที่ทำให้แม้แต่ศิษย์พี่ยังกลัวผู้นั้น…คนผู้นี้คือร่างแยกของตี้เทียนหรือ แล้วยังมีตะขาบสีโลหิตนั่นอีก” ขณะที่หวังเป่าเล่อเงียบไป เฉินชิงจื่อในความว่างเปล่าก็เผยแสงสลัวในดวงตา และกล่าวอย่างเนิบช้าด้วยความสงบนิ่ง

“เข้าไปในคฤหาสน์จักรพรรดิแห่งความมืดและนำซากของเขาออกมา เวลามีจำกัด ทางเดินเปิดแล้วจะอยู่ได้แค่สามชั่วยามเท่านั้น”

ทันทีที่กล่าวจบ ผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดทั้งหลายต่างตื่นตระหนก สายตาแน่วแน่ ก่อนจะพุ่งร่างไปยังทางเดินรอยมือนั่นพร้อมเสียงคำราม

ในชั่วพริบตาเงาร่างหลายพันร่างก็พุ่งเข้าไปในทางผ่านราวกับดาวตก ตรงไปยังยอดเขาด้านล่าง ในจำนวนนั้นมีเหล่ากึ่งบุตรแห่งความมืดและศิษย์พี่ใหญ่สวมหน้ากากด้วย

ขณะนี้หากมองจุดที่คฤหาสน์จักรพรรดิแห่งความมืดตั้งอยู่เป็นโลกใบหนึ่ง แม่น้ำแห่งความมืดก็คือท้องฟ้าของโลกใบนั้น ส่วนคนของสำนักแห่งความมืดก็แหวกนภาเข้ามายังโลก!

ซึ่งในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่ออยู่หลังทุกคนก่อนจะเหยียบย่างเข้าไป เดินทางผ่านทางเดินยาว 1,000,000 จั้ง ขณะที่เข้าใกล้คฤหาสน์จักรพรรดิแห่งความมืดมากขึ้นเรื่อยๆ แรงฉุดดึงและเสียงเพรียกก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น กระทั่งเขาพุ่งออกมาจากปลายสุดทางเดิน รอบตัวก็คือโลกอีกใบหนึ่ง!

หรือกล่าวให้ถูก นี่คือโลกในแม่น้ำแห่งความมืด หรือจะกล่าวให้กระจ่างชัดกว่านั้น…โลกใบนี้คือฟองอากาศขนาดมหึมา และฟองอากาศนี้…อยู่ในแม่น้ำแห่งความมืด ในที่แห่งนี้ไม่มีใครอื่นนอกจากภูเขาที่มองไม่เห็นก้นบึ้งลูกเดียว

บางทีอาจเป็นเพราะฟองอากาศ ท้องฟ้าจึงมืดสลัว พื้นดินก็เช่นกัน เป็นไปได้ว่าในแม่น้ำแห่งความมืดสายนี้มีฟองอากาศเช่นนี้อยู่ไม่น้อย แต่นี่ไม่ใช่เวลาคิดถึงฟองอากาศอื่นๆ หลังจากก้าวเข้ามาในโลกใบนี้ หวังเป่าเล่อก็กำลังเข้าใกล้คฤหาสน์จักรพรรดิแห่งความมืดแล้ว

ทว่า ตอนนั้นเองจู่ๆ ก็มีร่างสี่ร่างปรากฏตัวขึ้นขวางหน้าหวังเป่าเล่อเอาไว้ ทั้งสี่ล้วนเป็นชายชรา หลังจากขวางหวังเป่าเล่อไว้แล้วก็ไม่กล่าวอะไร เพียงแค่โค้งคำนับเล็กน้อย

หนึ่งในพวกเขามีฐานการฝึกฝนระดับจักรพิภพ ส่วนอีกสามคนเป็นระดับดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักร การเข้ามาขวางทางเขาเป็นเหมือนสัญลักษณ์มากกว่า หากหวังเป่าเล่อต้องการจะฝ่าไปจริงก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้

หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วกำลังจะอ้อมไป แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพผู้นั้นกลับถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยเสียงต่ำ

“สหายโปรดพักอยู่ตรงนี้เถิด เรื่องต่อจากนี้คนของสำนักแห่งความมืดสามารถจัดการได้ด้วยตนเอง ขอบคุณสหาย”

หวังเป่าเล่อชะงักฝีเท้า ก่อนจะมองดูคนทั้งสี่ที่ขวางอยู่ตรงหน้า แล้วมองเลยไปด้านหลังพวกเขา ตอนนี้เหล่าผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดที่ใช้ศิษย์พี่ใหญ่สวมหน้ากากผู้นั้นเป็นศูนย์กลางต่างทยอยหายเข้าไปในวัดสีดำใต้รูปปั้นแกะสลักอย่างไร้ร่องรอย

เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก หวังเป่าเล่อก็เข้าใจในทันที

มหาอำนาจใดก็ตามไม่ว่าจะรุ่งเรืองหรือเสื่อมกำลังล้วนมีความขัดแย้งภายใน โชคชะตาที่เขาแสดงออกมารวมถึงรอยมือเปลวไฟสีดำนั้น ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดมองไม่เห็น แต่…ในใจของพวกเขา หวังเป่าเล่อคือคนนอก

ดังนั้นทั้งในด้านความรู้สึกและผลประโยชน์ พวกเขาจึงยืนอยู่ข้างศิษย์พี่ใหญ่กึ่งบุตรแห่งความมืดผู้นั้น โดยเฉพาะเมื่อทางเดินเปิดออก ใครที่สามารถนำซากจักรพรรดิแห่งความมืดไปให้เต๋าสวรรค์ได้ คนผู้นั้นก็เท่ากับทำผลงานได้อย่างไร้ใดเทียบเทียม

ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาจึงไม่ต้องการให้หวังเป่าเล่อเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หากก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อไม่ได้สำแดงพลังก็ไม่เท่าไร แต่ตอนนี้พวกเขาต่างหวาดกลัว ขณะเดียวกันก็อยากจะขัดขวางด้วย

แต่ถึงอย่างไรฐานะและโชคชะตาของหวังเป่าเล่อก็ยังมีอยู่ ดังนั้นแม้จะเข้ามาขัดขวาง แต่ในใจชายชราระดับจักรพิภพก็ยังสับสน เขาจึงแสดงท่าทีสุภาพและคำนับให้

แม้ทุกคนจะทำเพื่อสำนักแห่งความมืด แต่ความเห็นแก่ตัวก็ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะไม่มี

หวังเป่าเล่อเข้าใจแจ่มแจ้ง หลังจากนิ่งเงียบไปจึงพยักหน้า เป้าหมายของเขาคือนำซากจักรพรรดิแห่งความมืดกลับไปให้ศิษย์พี่ หากนำไปให้เองกับมือย่อมเป็นเรื่องดี หากไม่ได้ผลลัพธ์ก็เหมือนกัน สุดท้ายเขาก็จะได้รับมันอยู่ดี

เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อเห็นด้วยกับเรื่องนี้ ดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรสามคนที่เหลือก็สับสนเล็กน้อย ชายชราระดับจักรพิภพที่กล่าวกับหวังเป่าเล่อถอนใจยาวเหยียด ไม่เอ่ยคำใดอีก มีเพียงริ้วรอยบนใบหน้าที่ชัดขึ้น ก่อนจะคำนับให้หวังเป่าเล่ออีกครั้ง

หลังจากนั้นทั้งห้าคนก็นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านนอกวัด หวังเป่าเล่อไม่ได้กล่าวอะไรต่อ แต่เงยหน้ามองรูปปั้นแกะสลักจักรพรรดิแห่งความมืด มองจากจุดนี้ขึ้นไป เขาสามารถมองเห็นใบหน้าของจักรพรรดิแห่งความมืดได้

ใบหน้านั้นดูธรรมดามาก ไม่มีอะไรโดดเด่น ยกเว้นแววตาของที่ต่างออกไปเล็กน้อย

ราวกับมีความคิดบางอย่างแฝงอยู่ในนั้น

“เสียใจ…” หวังเป่าเล่อพึมพำ นี่คืออารมณ์ที่เขาเห็นในดวงตาของรูปปั้นแกะสลักนี้

ในขณะที่หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์อยู่นั้นก็เกิดเสียงดังสนั่นดังมาจากในวัด และยังมีเสียงกรีดร้องและเสียงต่อสู้ปะปนมากับเสียงนั้นด้วย

ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อหันขวับทันที ทั้งสี่คนตรงหน้าเขาก็หันไปมองเช่นกัน เพียงแต่พวกเขาอยู่ด้านนอกสถานที่แปลกประหลาดแห่งนี้ จึงมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นด้านในบ้าง

แต่ในไม่ช้าเสียงคำรามก็ดังถี่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง และน่าหดหู่ขึ้นเรื่อยๆ ราวกับผู้คนข้างในเข้าไปลึกขึ้นอย่างไรอย่างนั้น และมันรุนแรงมาก จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เสียงคำรามอย่างหดหู่ก็หายไปอย่างฉับพลัน

ทั้งวัดตกอยู่ในความเงียบเชียบ สีหน้าผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดทั้งสี่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพผู้นั้นที่รีบหยิบแผ่นหยกออกมา หลังจากจดจ่อกับมันอยู่นานสีหน้าของเขาก็ดูตกใจจนไม่สามารถอธิบายได้ เขามองหวังเป่าเล่อสลับกับวัดอย่างลังเล ก่อนจะกัดฟันลุกขึ้นแล้วเรียกอีกสามคนที่เหลือพุ่งตรงไปยังวัด

หวังเป่าเล่อไม่ได้เคลื่อนไหว มองผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดทั้งสี่ก้าวเข้าไปด้านในวัด หลังจากเกิดเสียงคำรามดังมาอีกระลอกหนึ่ง ตรงนั้นก็ตกอยู่ในความเงียบอีกรอบ และตอนนี้ก็เหลือเวลาเพียงสองชั่วยามก่อนที่ทางเดินจะปิดลง

เห็นได้ชัดว่าข้างในวัดมีอันตรายใหญ่หลวง ทั้งยังเกินความคาดหมายของผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดด้วย ตอนนี้คนที่เข้าไปข้างในเป็นตายไม่อาจทราบได้ ขณะที่หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ เขาก็ถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังวัดทีละก้าว

กระทั่งเดินมาถึงประตูวัดเขาก็หยุดฝีเท้า เงียบไปไม่กี่อึดใจ ก่อนจะ…ก้าวเข้าไปในวัด!

………………………