ตอนที่ 926 ความผิดปกติของคณะฝั่งขวา

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือยืนจับมือแนบแน่นเคียงข้างกัน ศิษย์ในของนิกายหมื่นบุปผาหลายคนก็เข้ามารุมล้อมทั้งสองและกล่าวเสียงเบา

“ว้าว ศิษย์น้องอวี้โม่และศิษย์น้องโม่ฉือเหมาะสมกันจริง ๆ เพียงยืนเคียงข้างกันก็ดูเป็นภาพที่เจริญตายิ่งนัก”

ศิษย์ฝั่งซ้ายคนหนึ่งกล่าวเสียงดังและแสดงความอิจฉาเล็กน้อย

เมื่อทั้งคู่ยืนเคียงข้างกัน ราวกับว่ากลิ่นอายของทั้งสองจะหลอมรวมกลายเป็นหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งที่งดงามอย่างยิ่งและไม่มีผู้ใดต้องการทำลายมัน

“ข้าได้ยินมาว่าศิษย์น้องโม่ฉือไม่อยากแยกจากศิษย์น้องอวี้โม่ก็เลยมาที่นิกายหมื่นบุปผาเพื่อเป็นศิษย์นอก มิฉะนั้น ด้วยพรสวรรค์ของเขา การเข้าร่วมสำนักเมฆาครามที่เป็นอันดับหนึ่งในสามสำนักและเก้านิกายก็มิใช่ปัญหาเลย”

ศิษย์คนหนึ่งเปิดเผยข่าวที่ได้ยินมากับคนรอบตัวและน้ำเสียงก็แสดงถึงความอิจฉาอย่างเต็มเปี่ยม

แม้เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์น่าทึ่งเช่นนี้ เขากลับยอมลดตัวเป็นศิษย์นอกของนิกายหมื่นบุปผาเพียงเพราะไม่ต้องการอยู่ห่างจากภรรยาอันเป็นที่รัก ความรักและหลงใหลเช่นนี้ทำให้ทุกคนอดอิจฉาตาร้อนกันไม่ได้เลย

“ใช่แล้วล่ะ ข้าก็ได้ยินมาเช่นกัน อีกอย่าง…เมื่อไม่กี่วันก่อน ดูเหมือนว่าศิษย์พี่เหลียนซวงพยายามแสดงความหมายปองต่อศิษย์น้องโม่ฉือ ทว่าน่าเสียดายที่นางถูกศิษย์น้องโม่ฉือปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้า ทุกคนรู้หรือไม่ว่าศิษย์น้องโม่ฉือปฏิเสธว่าอย่างไร ?”

ศิษย์อีกคนกล่าวและสีหน้าท่าทางตื่นเต้นขึ้นมาทันทีที่นึกถึงเรื่องในวันนั้น

“เขาปฏิเสธว่าอย่างไรรึ…”

ศิษย์คนอื่น ๆ อีกหลายคนก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้และกระตือรือร้นอย่างชัดเจน

“ศิษย์น้องโม่ฉือบอกว่านางขี้เหร่เกินไป”

ศิษย์ผู้นั้นนึกย้อนไปถึงสีหน้าของเหลียนซวงในวันนั้นและรอยยิ้มบนใบหน้าก็ปรากฏชัดเจนยิ่งกว่าเดิม

เหลียนซวงถือเป็นหนึ่งในสตรีที่งดงามที่สุดของนิกายหมื่นบุปผาและได้รับความดีความชอบจากฮวาหรงเป็นอย่างมาก แม้การที่นางถูกหานโม่ฉือปฏิเสธจะเป็นสิ่งที่น่าแปลกใจทว่ามันก็ตลกยิ่งนักที่ได้ทราบว่านางถูกตราหน้าว่า ‘ขี้เหร่’

“แต่มันก็จริงมิใช่รึ ? หากเทียบกับศิษย์น้องอวี้โม่ คำว่าขี้เหร่ก็ไม่ถือว่ามากเกินไปหรอก”

ศิษย์เหล่านั้นไม่แปลกใจจนเกินไป ถึงอย่างไรหลายสิ่งหลายอย่างก็ต้องนำมาเปรียบเทียบเช่นกัน

หากมองเพียงเหลียนซวงก็สามารถกล่าวได้ว่านางเป็นสตรีที่งดงามไม่น้อยเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม เมื่อยืนอยู่เคียงข้างฉินอวี้โม่ เหลียนซวงก็เทียบไม่ได้แม้แต่น้อย ฉินอวี้โม่เหนือกว่าเหลียนซวงทุกประการไม่ว่าจะเป็นในด้านรูปลักษณ์หรือความสง่างาม อีกทั้งกลิ่นอายที่โดดเด่นของนางก็เหนือชั้นจนเหลียนซวงเทียบไม่ติดฝุ่น

ในเมื่อมีภรรยาเช่นฉินอวี้โม่อยู่ข้างกาย การที่หานโม่ฉือมองว่าเหลียนซวงขี้ริ้วขี้เหร่ก็มิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด

“อะแฮ่ม…”

ศิษย์อีกคนหนึ่งมองเห็นเหลียนซวงเดินเข้ามาจากระยะห่างออกไปและส่งเสียงกระแอมเบา ๆ เพื่อเตือนทุกคนให้รู้ตัว

ทุกคนสังเกตเห็นเหลียนซวงได้อย่างรวดเร็วและปิดปากเงียบพร้อมทำสีหน้าท่าทางราวกับไม่เกิดอะไรขึ้นที่นี่

“เหอะ !”

เหลียนซวงเพียงแค่นเสียงในลำคอและเดินผ่านไปยังอีกฟากหนึ่งโดยไม่กล่าวสิ่งใดกับฉินอวี้โม่

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย ทุกคนในนิกายหมื่นบุปผาทราบดีว่าพวกนางไม่ถูกกับเหลียนซวง เพราะเหตุนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องเสแสร้งปกปิดสิ่งใด

หลังจากนั้นบรรดาศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผาก็รวมตัวกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่ผู้อาวุโสทั้งสี่จะมาถึงและผู้คุมกฎทั้งสองก็ปรากฏตัวในที่สุด

เมื่อมาถึงที่นี่ ฮวาเยว่ก็พยักศีรษะทักทายฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ พร้อมรอยยิ้ม

สายตาของฮวาหรงก็เลื่อนไปหยุดลงที่ฉินอวี้โม่เช่นกันทว่าพยายามฝืนยิ้มอย่างไม่เต็มใจนัก

“ไม่ได้พบกันหลายวัน อวี้โม่…ความแข็งแกร่งของเจ้าพัฒนาขึ้นมากทีเดียว”

นางพยายามแสดงสีหน้าเป็นมิตรให้มากที่สุดเพื่อมิให้ดูเย็นชาต่อหน้าฉินอวี้โม่

“พี่อวี้โม่…ผู้คุมกฎฝั่งขวากินยาผิดมารึอย่างไรกัน ?”

เหมียวเจินเจินมองดูฮวาหรงที่พยายามแสร้งทำเป็นจิตใจดีและอดกล่าวขึ้นไม่ได้

ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางและฮวาหรงเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนโดยที่ไม่ต้องเอ่ยถึงอยู่แล้ว ทว่าครานี้ผู้คุมกฎฝั่งขวาไม่เพียงแต่ไม่กล่าววาจาถากถางและเหน็บแนมเท่านั้น ทว่ายังแสดงความเป็นมิตรกับพวกนางอย่างประหลาดจนทำให้เด็กสาวรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมา

“เมื่อมีสิ่งใดผิดปกติก็ย่อมมีผี เราระวังตัวไว้จะดีกว่า”

* 事出反常必有妖 เมื่อมีสิ่งผิดปกติย่อมมีผี หมายถึง เมื่อมีบางเรื่องผิดปกติ หรือไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น ย่อมมีอะไรแอบแฝงอยู่ในนั้นหรือการกระทำนั้น

ฉินอวี้โม่เองก็สงสัยเช่นกันว่าเหตุใดจู่ ๆ ทัศนคติของฮวาหรงจึงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้และพยายามเสแสร้งแสดงความเป็นมิตร

อย่างไรก็ตาม เมื่อทหารมาก็ใช้ขุนพลต้านรับ เมื่อน้ำมาก็ใช้ดินต้าน ฉินอวี้โม่ไม่มีความกังวลแม้แต่น้อย

* 兵来将挡,水来土掩 ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน เปรียบถึงไม่ว่าจะมาวิธีไหนก็สามารถรับมือได้

“เหตุใดผู้คุมกฎฝั่งขวาจึงดูสนใจในตัวอวี้โม่เป็นพิเศษจนถึงขั้นรู้ด้วยว่าความแข็งแกร่งของนางพัฒนาขึ้น ?”

ฮวาเยว่ชำเลืองมองฮวาหรงและกล่าวขึ้นเบา ๆ พลางคาดเดาความคิดของอีกฝ่าย

“ฮ่า ๆ ๆ แม้อวี้โม่จะเป็นศิษย์ฝั่งซ้าย นางก็ยังเป็นศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผา ในฐานะผู้คุมกฎฝั่งขวา ข้าก็ควรสนใจในศิษย์ทุกคนของนิกายเรา ผู้คุมกฎฝั่งซ้ายคิดว่าข้าทำไม่ถูกอย่างนั้นรึ ?”

ฮวาหรงไม่โกรธเคืองใด ๆ ทว่าหัวเราะคิกคักและหาข้ออ้างที่เหมาะสมตอบกลับไป

ก่อนหน้านี้ฮวาฟางเฟยสั่งการไว้แล้วว่านางควรผูกมิตรกับฉินอวี้โม่ไว้ ทว่าก่อนที่นางจะได้ทำสิ่งใด ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ก้าวถอยหลังออกไปก่อนแล้ว ซึ่งทำให้นางไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองฝ่ายได้พบกันนับตั้งแต่ออกมาจากดินแดนต้องห้ามของนิกายหมื่นบุปผา แน่นอนว่านางต้องการทดสอบว่าจะคลี่คลายความเป็นปฏิปักษ์ของทั้งสองฝ่ายได้หรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้น ฮวาหรงก็ไม่สนใจทัศนคติหรือความคิดเห็นของฮวาเยว่แม้แต่น้อย ถึงอย่างไรผู้คุมกฎทั้งสองก็ไม่ชอบหน้ากันมานานจนกลายเป็นความคุ้นชินไปแล้ว

“ข้าหวังว่าผู้คุมกฎฝั่งขวาจะคิดเช่นนั้นจากใจจริง”

ฮวาเยว่พยักศีรษะและกล่าวขึ้นเบา ๆ ด้วยวาจาที่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของฮวาหรงชะงักไปทันที

“ฮ่า ๆ ๆ ผู้คุมกฎฝั่งซ้ายตลกเกินไปแล้ว ในเมื่อลั่นวาจาออกไป ข้าก็ต้องหมายความเช่นนั้นจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านจ้าวนิกายก็กำชับไว้แล้วว่าพวกเราไม่ควรขัดแย้งกันมากนักก่อนถึงการแข่งขันของสามสำนักและเก้านิกาย ข้าเพียงปฏิบัติตามคำสั่งของท่านจ้าวนิกายก็เท่านั้น”

ฮวาหรงเชื่อว่าหากโยนทุกอย่างไปให้กับฮวาฟางเฟยก็จะไม่มีผู้ใดนึกสงสัยในตัวนางอีก สิ่งเดียวที่นางต้องทำคือป้องกันมิให้เกิดความผิดพลาดใด

“ขอบคุณสำหรับคำชมเจ้าค่ะท่านผู้คุมกฎฝั่งขวา ความแข็งแกร่งของข้าพัฒนาขึ้นจริง ทว่าหากเปรียบเทียบกัน ดูเหมือนว่าศิษย์พี่ฝั่งขวาทั้งหลายจะยังเหมือนเดิมนะเจ้าคะ”

ฉินอวี้โม่กล่าวตอบและชำเลืองมองไปที่เหลียนซวงราวกับต้องการระบุถึงนางโดยตรง

“ไม่แปลกหรอก พรสวรรค์ของพวกนางไม่ดีเท่าเจ้าและไม่ได้มีสมบัติล้ำค่าอย่างไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือ ความเร็วในการฝึกยุทธ์ของพวกนางจึงเทียบกับเจ้าไม่ได้”

ฮวาหรงไม่ปฏิเสธและกล่าวต่อพร้อมรอยยิ้มที่ยังคงเสแสร้งไม่เปลี่ยนแปลง “อวี้โม่…ข้าจะตั้งหน้าตั้งตารอวันที่เจ้าจะกลายเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของนิกายหมื่นบุปผา รวมถึงวันที่เจ้าจะก้าวผ่านพวกเราสตรีแก่ชราเหล่านี้”

ไม่ว่าคนอื่น ๆ จะจินตนาการหรือคิดไปอย่างไร สิ่งที่นางกล่าวครานี้ก็เป็นความจริง ด้วยความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของฉินอวี้โม่ วันที่นางจะก้าวข้ามผ่านทุกคนจะมาถึงอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ความเร็วในการพัฒนาของนางก็ทำให้ฮวาหรงเชื่อจริง ๆ ว่าวันนั้นจะมาถึงในอีกไม่นาน

“การประชันฝีมือของนิกายครานี้ไม่มีข้อจำกัดและไม่มีการแบ่งแยกศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสิ้น พวกเราจะตั้งตารอชมผลงานของอวี้โม่”

ผู้อาวุโสรองฮวาเฉินกล่าวและแสดงสีหน้าเป็นมิตรต่อฉินอวี้โม่เช่นกัน

ฉินอวี้โม่นึกสงสัยในกิริยาท่าทางของคณะฝั่งขวาในวันนี้ซึ่งดูไม่ชอบมาพากลจริง ๆ อย่างไรก็ตาม นางก็ไม่แสดงออกทางสีหน้าและกล่าวตอบด้วยวาจานอบน้อม

เมื่อเห็นว่าผู้คุมกฎของตนและผู้อาวุโสฝั่งขวาจงใจกล่าวชมฉินอวี้โม่ สีหน้าของเหลียนซวงก็เหยเกยิ่งกว่าเดิม

นางเพียงยืนนิ่งอยู่กับที่และจ้องหน้าฉินอวี้โม่อย่างเย็นชาทว่าในใจต้องการก้าวออกไปข้างหน้าและสั่งสอนอีกฝ่ายอย่างสาสม

“เอาล่ะ อย่ามัวแต่พูดคุยกันอยู่เลย เตรียมพร้อมเถอะ การประชันฝีมือใกล้ที่จะเริ่มต้นแล้ว”

ฮวาเยว่กล่าวขัดจังหวะคนจากฝั่งขวาพร้อมขยิบตาและไม่ลืมที่จะกำชับให้ฉินอวี้โม่ระวังตัวเช่นกัน