ตอนที่ 927 การปรับเปลี่ยนกติกาของการประชันฝีมือภายในนิกาย

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

รอบบริเวณลานประลอง ทุกคนนั่งลงในตำแหน่งของตนและเฝ้ารออย่างเงียบ ๆ

ในฐานะจ้าวนิกายของนิกายหมื่นบุปผา แน่นอนว่าฮวาฟางเฟยก็จะเข้าร่วมงานในครานี้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม การที่บุคคลระดับสูงของนิกายหมื่นบุปผาฝั่งขวาหลายคนแสดงท่าทางเป็นมิตรต่อฉินอวี้โม่อย่างกะทันหันทำให้นางรู้สึกได้ว่าคนเหล่านี้มีแผนการสมคบคิดอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน ฉินอวี้โม่คาดการณ์ได้ว่านี่คงจะเป็นคำสั่งจากฮวาฟางเฟยโดยตรงที่กำชับให้ฝั่งขวาเปลี่ยนทัศนคติเป็นการชั่วคราวโดยที่เหตุผลคงเป็นสิ่งอื่นไปไม่ได้นอกจากการที่นางถือครองไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง

หานโม่ฉือยังคงนั่งอยู่ข้างกายฉินอวี้โม่เช่นเดิมและจับมือบางไว้แน่นอย่างไม่ยอมปล่อยซึ่งยังคงดึงดูดสายตาผู้คนมากมาย

“ข้าเข้าไปสืบหาเบาะแสที่เรือนของฮวาฟางเฟยมาแล้ว ในห้องนอนของนางมีห้องลับซ่อนอยู่และกลไกก็ไม่ได้ซับซ้อนนัก อย่างไรก็ตาม หากมันถูกเปิดออก ข้าเชื่อว่านางจะรู้ตัวอย่างแน่นอน ข้าจึงไม่ได้บุกเข้าไป”

หานโม่ฉือสื่อสารกับฉินอวี้โม่ผ่านทางกระแสจิตขณะกล่าวถึงข่าวที่เป็นประโยชน์ซึ่งสืบทราบมาก่อนหน้านี้

ด้วยความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือ เขาสามารถลักลอบเข้าไปในเรือนส่วนตัวของฮวาฟางเฟยเพื่อสำรวจหาเบาะแสได้โดยไม่เป็นอันตรายและด้วยการที่มีเนตรปีศาจอยู่ ฮวาฟางเฟยก็ไม่มีทางค้นพบร่องรอยของเขาได้ อย่างไรก็ตาม หากแตะต้องกลไกของห้องลับ ฮวาฟางเฟยจะรับรู้ได้อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น หานโม่ฉือก็ไม่กล้าบุกเข้าไปในห้องปริศนาโดยที่ไม่ทราบถึงสถานการณ์ภายใน

ฉินอวี้โม่ก็ทราบเป็นอย่างดีและทราบมานานแล้วว่าจ้าวนิกายหมื่นบุปผาผู้นี้ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เห็นภายนอกและมีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับนาง

“ไม่กี่วันก่อน ข้าได้รับข่าวจากจวนเจ้าเมืองของเมืองเทียนยงว่ามีสตรีนางหนึ่งกำลังสืบเรื่องของพวกเราอยู่ หากเดาไม่ผิด ข้าว่าจะต้องเป็นคนของฮวาฟางเฟยอย่างแน่นอน”

ฉินอวี้โม่เพิ่งได้รับข่าวก่อนหน้านี้ว่าสตรีแปลกหน้าปรากฏตัวที่เมืองเทียนยงและถามหาสาเหตุว่าฮวาเยว่ได้ยินชื่อ ‘อวี๋เสี่ยวอวิ๋น’ มาได้อย่างไร

แม้ความแข็งแกร่งของจ้าวไห่จะไม่มากเท่ากับบรรดาจอมยุทธ์ของสามสำนักและเก้านิกาย ทว่าในฐานะเจ้าเมืองเทียนยง เขาก็ถือว่าเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของเมืองเทียนยง แน่นอนว่าเขาไม่มีทางปล่อยให้ผู้ใดสืบข่าวที่เป็นประโยชน์ได้ จากการหารือกับฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้ เขาจึงเปิดเผยเพียงข่าวที่จัดเตรียมไว้แล้ว รวมถึงส่งข้อความเตือนให้นางระวังตัวเช่นกัน

“นั่นคืออสูรพันธสัญญาของฮวาฟางเฟย—หงส์ฟ้า”

หานโม่ฉือทราบเรื่องนี้แล้วเช่นกันและได้ทำการสืบตัวตนที่แท้จริงของสตรีผู้นั้นแล้ว ผู้ที่ออกไปสืบข่าวคือหงส์ฟ้า—อสูรศักดิ์สิทธิ์โบราณซึ่งเป็นอสูรประจำตัวของฮวาฟางเฟย มันถูกส่งไปสืบข่าวเรื่องฉินอวี้โม่และบรรดาสหายที่เมืองเทียนยง

ในขณะพูดคุยกันอยู่นั้น ร่างของฮวาฟางเฟยก็ปรากฏตัวบนบัลลังก์หลัก

ทุกคนลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับอย่างนอบน้อมก่อนนางผายมือส่งสัญญาณให้ทุกคนนั่งลงตามเดิม

“ฮ่า ๆ ๆ ถึงเวลาของการประชันฝีมืออีกครั้งแล้วสินะ ครานี้นิกายหมื่นบุปผาของเรามีศิษย์ใหม่หลายคนและทุกคนยังไม่ได้ให้การต้อนรับอย่างเป็นทางการ ก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้น เรามาต้อนรับพวกนางกันก่อนเถอะ”

ฮวาฟางเฟยกล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ และวาจาของนางแสดงให้เห็นว่านางให้ความสำคัญกับฉินอวี้โม่มากเพียงใด

ทุกคนกล่าวต้อนรับอย่างพร้อมเพรียงกันและแสดงถึงความกระตือรือร้นต่อศิษย์ใหม่อย่างฉินอวี้โม่และสหาย แน่นอนว่าหลายคนต้อนรับพวกนางจากใจจริงในขณะที่คนบางกลุ่มเพียงกล่าวอย่างเป็นพิธีเท่านั้น

ฉินอวี้โม่ไม่สนใจคนเหล่านั้นขณะลุกขึ้นและโค้งคำนับขอบคุณทุกคน

“เอาล่ะ ต่อไปเราก็เริ่มกันได้ ผู้คุมกฎทั้งสองคนจะแนะนำกฎของการประชันฝีมือในครานี้ซึ่งศิษย์บางคนอาจยังไม่เข้าใจนัก”

ฮวาฟางเฟยนั่งลงก่อนพยักศีรษะให้กับฮวาเยว่และฮวาหรงเพื่อให้ทั้งสองประกาศกฎเกณฑ์ของการประชันฝีมือภายในของนิกายหมื่นบุปผาครานี้

การแข่งขันประชันฝีมือภายในของนิกายหมื่นบุปผามีจุดประสงค์เพื่อประเมินความแข็งแกร่งของบรรดาศิษย์ในนิกายและเพื่อสังเกตดูพัฒนาการและศักยภาพของศิษย์แต่ละคนซึ่งไม่ถือเป็นสิ่งที่ซับซ้อนแต่อย่างใด

ในปีก่อน ๆ การประชันฝีมือจะใช้วิธีการต่อสู้แบบจับคู่เพื่อหาศิษย์สิบอันดับแรก

อย่างไรก็ตาม กฎการแข่งขันในปีนี้ก็มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยหลังจากการหารือของฮวาเยว่ ฮวาหรงและผู้อาวุโสทั้งสี่

“การแข่งขันประชันฝีมือภายในของนิกายหมื่นบุปผาครานี้ไม่มีข้อบังคับว่าทุกคนต้องเข้าร่วม ศิษย์แต่ละคนสามารถเข้าร่วมได้ตามความสมัครใจและเราจะยังใช้การจับคู่ต่อสู้กันเพื่อหาสิบอันดับแรก แน่นอนว่าผู้ชนะสิบอันดับแรกจากคราก่อนมีข้อได้เปรียบอย่างชัดเจน นั่นคือพวกนางจะไม่ต้องเข้าร่วมการแข่งขันในรอบแรก ๆ พวกนางจะได้ต่อสู้ก็ต่อเมื่อผู้ชนะสิบอันดับแรกของปีนี้ได้ถูกตัดสินแล้วและหลังจากนั้นพวกนางก็จะจับคู่ต่อสู้กับคนเหล่านั้น”

จุดประสงค์หนึ่งของการประชันฝีมือภายในคือเพื่อฝึกฝนฝีมือของศิษย์ในนิกาย อย่างไรก็ตาม การประชันฝีมืออย่างเต็มรูปแบบก่อนหน้านี้เป็นการเสียเวลามากเกินไป การจับคู่ศิษย์เพื่อต่อสู้กันทั้งหมดมักใช้เวลามากถึงสิบวันกว่าที่จะได้ผู้ชนะสิบอันดับสุดท้าย

ถึงอย่างไรการแข่งขันของสามสำนักและเก้านิกายก็ใกล้เข้ามาเต็มทีและการประชันฝีมือภายในไม่จำเป็นต้องยุ่งยากหรือซับซ้อนมากจนเกินไป เพราะเหตุนั้นการแข่งขันในครานี้จึงรับเฉพาะผู้ที่สมัครใจเท่านั้น

หลังจากฟังกฎที่เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของการประชันฝีมือ ทุกคนก็มีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันออกไป

ศิษย์ผู้ชนะสิบอันดับแรกของการประชันฝีมือในคราก่อนล้วนยิ้มแย้ม ในเมื่อไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมในรอบแรก ๆ ก็ถือว่าพวกนางได้เป็นยี่สิบอันดับแรกไปโดยปริยายและนี่ก็ช่วยให้พวกนางรักษาพลังงานและแรงกายไว้ได้เช่นกันซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่

สำหรับหลายคนที่กังวลใจก่อนหน้านี้และตั้งใจว่าจะต่อสู้เพียงผ่าน ๆ พวกนางก็ล้วนถอนหายใจอย่างโล่งอก การให้สิทธิ์เข้าร่วมประชันฝีมือตามความสมัครใจหมายความว่าพวกนางไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมและไม่ต้องกังวลถึงคู่ต่อสู้ที่อาจต้องรับมือ

อย่างไรก็ตาม ในนิกายหมื่นบุปผาก็ยังมีศิษย์ในระดับทั่วไปหลายคนที่กระตือรือร้นต้องการที่จะลองทดสอบฝีมือของตนเอง ในเมื่อศิษย์ผู้ชนะสิบอันแรกของปีก่อนไม่ต้องประชันฝีมือในรอบแรก ๆ หมายความว่าพวกนางจะไม่ต้องประจันหน้ากับศิษย์พี่ที่แข็งแกร่งเหล่านั้นเป็นการชั่วคราว นอกจากนี้ก็ยังมีศิษย์พี่หลายคนที่สละสิทธิ์ไม่เข้าร่วมซึ่งเป็นผลดีสำหรับพวกนางอย่างมาก

“เอาล่ะ ทีนี้ศิษย์ที่อยากจะประชันฝีมือก็เชิญก้าวออกมาได้เลย”

ฮวาลั่วและฮวาเฉินก้าวออกไปข้างหน้าก่อนฮวาเฉินกล่าวพร้อมผายมือส่งสัญญาณให้ศิษย์ที่ต้องการแสดงฝีมือก้าวออกมาข้างหน้า

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนจะเข้าร่วมการประชันฝีมือนี้ เหมียวเจินเจินและจางซือถงเองก็พัฒนาฝีมือได้มากในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ทั้งสองจึงต้องการใช้โอกาสนี้ในการทำความคุ้นชินกับพลังที่เพิ่มขึ้นมาของตนเองควบคู่ไปกับการวัดช่องว่างระหว่างตนและศิษย์คนอื่น ๆ เมื่อได้เวลาแสดงตัว พวกนางจึงก้าวออกไปหาฮวาลั่วอย่างไม่ลังเล

ศิษย์คนอื่น ๆ อีกหลายคนก็ก้าวออกไปและยืนข้างหลังฉินอวี้โม่เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ศิษย์สองในสามของทั้งหมดไม่เคลื่อนไหวใด ๆ ในเมื่อไม่มีการบังคับให้เข้าร่วม คนส่วนใหญ่จึงไม่คิดที่จะเข้าร่วมการประชันฝีมือครานี้

สำหรับศิษย์ฝั่งซ้าย สี่ยอดสีตรีงามก็เป็นหนึ่งในสิบอันดับแรกจากการแข่งขันคราก่อนและเพียงเฝ้ารออย่างเงียบ ๆ เท่านั้น สำหรับฝั่งขวา เหลียนซวงเองก็นั่งนิ่งด้วยใบหน้าเรียบเฉยใจเย็นเช่นกัน

“ศิษย์น้องอวี้โม่ ข้าจะตั้งตารอให้เจ้าผ่านเข้ารอบสิบคนสุดท้ายและมาดวลกับข้าอีกครั้ง !”

เหลียนซวงกล่าวกับฉินอวี้โม่ด้วยน้ำเสียงยั่วยุอย่างไม่ปิดบัง

“ศิษย์พี่ไม่ต้องห่วง ข้าจะจัดให้ตามที่ท่านปรารถนา”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

หลังจากรอเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ศิษย์ทั้งหมดที่ต้องการเข้าร่วมการประชันฝีมือของนิกายหมื่นบุปผาก็ได้ก้าวออกมากันแล้ว

สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เหมือนกับที่ฮวาหรงคาดไว้แม้แต่น้อย ศิษย์ส่วนใหญ่สละสิทธิ์ในการแข่งขันและมีจำนวนเกือบสองร้อยคนที่ก้าวออกมาซึ่งเทียบได้เพียงส่วนเล็ก ๆ ของทั้งนิกาย

ความแข็งแกร่งของศิษย์จำนวนเกือบสองร้อยคนนี้ก็แตกต่างกันไม่มากนักและถือเป็นศิษย์ระดับต้น ๆ ของนิกายหมื่นบุปผา

“หากไม่มีใครอื่นแล้ว เราก็มาเริ่มกันเถอะ”

ฮวาฟางเฟยไม่สนใจจำนวนผู้เข้าร่วมและเพียงส่งสัญญาณให้ทุกคนเตรียมจับฉลากเพื่อรอการประชันของตน

ฉินอวี้โม่เดินขึ้นบนสังเวียนและจับฉลากได้ใบที่ระบุหมายเลขหก นั่นหมายความว่าศิษย์อีกคนที่จับได้หมายเลขหกจะเป็นคู่ต่อสู้ของนางในรอบแรก

คนอื่น ๆ ก็จับฉลากหาคู่ต่อสู้ในรอบแรกของตนเช่นกัน และครานี้โชคดีที่กลุ่มสี่คนของฉินอวี้โม่ไม่ได้จับฉลากมาพบกันเอง