บทที่ 1673 มีปณิธานอันยิ่งใหญ่

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เสาแสงแวววับปรับระยะเล็กน้อย ตาทิพย์มองทะลุเข้าไป เห็นเรือนร่างของผู้ที่อยู่ใต้ชุดคลุมมีหมวกอย่างชัดเจนทันที เป็นเรือนร่างยั่วราคะที่หาพบได้ยาก พอเห็นใบหน้าที่อยู่หลังหน้ากากปลอม มุมปากของเหมียวอี้ก็โค้งยิ้ม

ทางตลาดผีเองก็ไม่กล้ายืนยันว่าผู้ที่ออกมาจากวัดพระกษิติครรภ์คือใคร และไม่กล้าเข้าใกล้ไปแหวกหญ้าให้งูตื่น ความเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นทำให้หยางชิ่งเป็นกังวล แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว การจะยืนยันตัวตนก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร

ไม่ผิดคาด ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเม่ยจีนั่นเอง นางกำลังเหาะมาทางนี้

ถึงแม้จะระห่างจะไกลกัน แต่สำหรับคนที่มีวรยุทธ์ระดับเม่ยจี ก็ไม่ต้องใช้เวลานานเท่าไรนัก

เสาแสงแวววับเก็บกลับมา ตาทิพย์ปิดลง เหมียวอี้หันตัวมาบอกปีศาจสาวสองตน “ถึงเวลาใช้งานพวกเจ้าแล้ว รออีกระเดี๋ยว…” เขากำชับอย่างละเอียด สั่งการตามแผนอย่างละเอียดแล้ว

หลังจากฟังจบ ไป๋เฟิ่งหวงก็เบะปาก “เจ้าบอกมาให้ชัดเจนก่อน ให้หลอกล่อนิดหน่อยน่ะทำได้ แต่ถ้าให้รบราฆ่าฟันกับตระกูลอิ๋งข้าไม่เอาด้วยนะ ไม่อย่างนั้นถ้าข้าเผยจุดอ่อนให้ตระกูลอิ๋งรู้ ก็ไม่เป็นผลดีกับเจ้าเหมือนกัน”

“อ๋องสวรรค์อิ๋ง…” เมื่อฟังสถานการณ์จบ จิ้งจอกพันหน้าพอจะเข้าใจแล้วว่าต้องการพุ่งเป้าไปที่ใคร นางอกสั่นขวัญแขวนนิดหน่อย เพราะติดตามปี้เยว่ฮูหยินมาหลายปี แทนหยวนและฮูหยินอยู่ภายใต้อำนาจบารมีโดยมิชอบของอ๋องสวรรค์อิ๋งมาตลอด ดังนั้นจึงส่งอิทธิพลต่อนางพอสมควร นั่นคือการมีอยู่ที่น่าหวาดกลัวขนาดไหนกัน? อดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างขี้ขลาด “หนิวโหย่วเต๋อ ข้ากลัวทำได้ไม่ดี…”

“เจ้าคงไม่ได้คิดจะหนีอีกใช่มั้ย?” เหมียวอี้พูดตัดบท แล้วหันไปบอกไป๋เฟิ่งหวง “เจ้าพานางไปปฏิบัติภารกิจด้วยกัน ถ้านางกล้ามีเจตนาแอบแฝงแม้แต่นิดเดียว ก็ฆ่าได้เลย!” ไม่มีทางเหลือให้ปฏิเสธเลยสักนิด มาถึงขั้นนี้แล้ว เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตคนมากมาย เกี่ยวข้องกับความสำเร็จและความล้มเหลว มีหรือที่จะให้จิ้งจอกพันหน้าตนเดียวทำเสียเรื่อง ถ้ากล้าทำลายงานของเขาจริงๆ รับรองว่าฆ่าไม่กระพริบตาแน่ สภาพจิตใจของผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูง ยามเผชิญกับการตัดสินใจก็มักจะโหดเหี้ยมแข็งกร้าวแบบนี้

ไม่ใช่ว่าผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงจะเป็นคนเลวเสียทั้งหมด ยามไม่มีเรื่องขัดแย้งทางผลประโยชน์ ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นมิตรเข้าถึงง่าย แต่เมื่อเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มากเกินไป ยามเผชิญกับทางเลือกเกี่ยวกับผลประโยชน์ ก็มักจะเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยวไร้ไมตรีเสมอ ตระกูลโค่วก็ปฏิบัติต่อเหมียวอี้อย่างนี้เช่นกัน

“หึหึ!” ไป๋เฟิ่งหวงรู้สึกขำ แล้วมองประเมินจิ้งจอกพันหน้าศีรษะจดเท้า “ปีศาจน้อย เจ้าอยู่ดีๆ แล้วไปตกอยู่ในน้ำมือเขาทำไม? เจ้าเองก็ได้ยินสิ่งที่เขาบอกแล้ว ต่อไปถ้ากล้าทำให้ข้าลำบากไปด้วย ก็อย่าหาว่าข้าโหดก็แล้วกัน!”

จิ้งจอกพันหน้ากัดฟันก้มหน้า หน้าตาเหมือน ‘เหมียวอี้’ แท้ๆ แต่ดูตลกนิดหน่อย

ส่วนเหมียวอี้ตัวจริงก็กลับมาใช้ตาทิพย์อีกครั้ง จับตาดูความเคลื่อนไหวของเม่ยจีต่อไป แต่ก็ไม่ได้เฝ้าดูอยู่ตลอด เพราะอยู่ห่างกันเกินไป ทนสิ้นเปลืองพลังอิทธิฤทธิ์ไม่ไหว มีหยุดพักบ้างเป็นระยะ

จนกระทั่งคาดคะเนได้แล้วว่าอีกไม่นานเม่ยจีจะต้องเข้ามาใกล้ เหมียวอี้ถึงได้หันมาบอกสองคนที่อยู่ข้างกาย “เริ่มได้เลย”

“ผีในคราบเทพ!” ไป๋เฟิ่งหวงทำเสียงฮึดฮัด แต่ก็ยังหยิบหน้ากากปลอมมาสวมไว้พร้อมกับจิ้งจอกพันหน้า

หลังจากเตรียมทุกอย่างเหมาะสมแล้ว ไป๋เฟิ่งหวงไม่สนว่าจิ้งจอกพันหน้าจะยินยอมหรือไม่ ดึงแขนนางเหาะไปด้วยกันแล้ว

หลังจากเหาะขึ้นมาบนดาราจักรได้สักครู่ อีกจุดหนึ่งก็มีผู้ที่ปิดบังใบหน้าสวมชุดดำทั้งตัวเหาะมาอีก ถือดาบพุ่งเข้ามาหาทั้งสองคน แล้วยกดาบฟัน

สองสาวยกอาวุธรับศึกพร้อมกัน ต่อสู้กันเสียงดังโครมคราม เสียงดังสะเทือนก้องดาราจักร

ตรงจุดไกลๆ เม่ยจีเร่งความเร็วตามมาตลอดทาง หลังจากได้ยินเสียงต่อสู้ดังแว่วมา ดวงตาอิทธิฤทธิ์ก็จ้องมายังเป้าหมายที่กำลังต่อสู้กัน นางไม่ได้ลดความเร็วลง และไม่ได้คิดจะสอดมือเข้าไปยุ่งด้วย เตรียมจะหลีกผ่านไปด้านข้าง

แต่ใครจะคิดว่าคนชุดดำจะลงมือโจมตีรุนแรงเกินไป สองสาวถูกแรงสะเทือนจนกระอักเลือด หนังปลอมบนใบหน้าหลุดปลิวแล้ว เผยให้เห็น ‘โฉมหน้าที่แท้จริง’

ส่วนคนชุดดำที่ถูกสองสาวร่วมมือกันโจมตีกลับก็สะเทือนจนร้องครางเสียงต่ำเช่นกัน ทั้งร่างกระเด็นถอยหลังไปแล้ว

เสียงการต่อสู้ที่ดังก้องทำให้เม่ยจีเอียงหน้ามองมา นางตกตะลึงเช่นกัน สายตาไปหยุดอยู่บนใบหน้า ‘อิ๋งหยาง’ กับ ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ ความเร็วลดลงในชั่วพริบตาเดียว

คนชุดดำเหมือนเห็นท่าไม่ดี หันเลี้ยวหนีไปทันที ไปยังจุดลึกของดาราจักรอันกว้างใหญ่

หนิวโหย่วเต๋อ’ ถือทวนทำท่าจะไล่ตาม ทว่า ‘อิ๋งหยาง’ ดึงแขนเขาเอาไว้ จากนั้นกระอักเลือดแล้วส่ายหน้า ดึง ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ ไปยังน้ำพุวังเวงอย่างรวดเร็ว ประเดี๋ยวเดียวก็พุ่งเข้าไปตรงตาน้ำพุแล้ว

เม่ยจีที่เหาะช้าๆ พลันเร่งความเร็วทั้งหมดที่มีไล่ตามเข้าไปในน้ำพุวังเวงชั้นที่หนึ่ง ขณะที่รีบกวาดสายตามองไปรอบๆ ก็เห็นเงาร่างสองร่างถลันเข้าไปในตาน้ำพุอีกครั้ง นางจึงรีบพุ่งตัวเข้าไปหา ไล่ตามเข้าไปแล้ว

ต่อมานางก็รักษาความเร็วไว้ตลอด พยายามไม่ให้เป้าหมายที่ถูกสะกดรอยตามสังเกตเห็น สะกดรอยโดยใช้วิธีจับจังหวะจุดสำคัญของทั้งสองคน อาศัยวรยุทธ์ของนาง หากต้องการจะทำให้ได้อย่างนี้ก็เหมือนจะไม่ยากสักเท่าไร

ไล่ตามมาตลอดทางจนถึงน้ำพุวังเวงชั้นห้า ตอนที่เพิ่งจะโผล่หน้าออกมา ก็ถลันตัวไปหลบหลังเสาหน่อไม้ต้นหนึ่งราวกับเงามายา เนื่องจากครั้งนี้พบว่าทั้งสองไม่ได้เข้าไปในตาน้ำพุอีกแล้ว แต่เหาะไปข้างหน้า

เม่ยจีไม่กล้าไล่ตามกลางอากาศ แบบนั้นต่อให้นางจะวรยุทธ์สูงแค่ไหน แต่ก็จะถูกพบได้ง่าย แต่นางอาศัยสภาพทางภูมิศาสตร์ จึงถลันตัวอย่างรวดเร็วราวกับเงาผี อาศัยเสาหน่อไม้พรางตัวไล่ตามอยู่บนพื้นตลอดทาง ต่อให้นางจะเหาะบนฟ้าไม่ได้ แต่สองสาวที่เหาะอยู่ในระดับต่ำก็ยากที่จะอาศัยความเร็วสลัดนางทิ้งได้

ตรงจุดไกลๆ ตานฉิงโผล่ตัวออกจากด้านหลังหน่อเหล็กต้นหนึ่งอย่างเงียบเชียบ เงาร่างของเม่ยจีที่แฉลบผ่านหลบไม่พ้นสายตาของเขา

จะไม่ให้สังเกตเห็นก็คงยาก เดิมทีหกขุนพลใหญ่ก็เฝ้าสังเกตการณ์อยู่หกทิศทางอยู่แล้ว ขอเพียงล่อเป้าหมายเข้ามาที่ตำแหน่งนี้ ต้องมีสักคนที่สังเกตเห็นนางอยู่แล้ว

ตานฉิงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ แล้วบอกว่า : เหยื่อติดเบ็ดแล้ว!

เม่ยจีตามอยู่ข้างหลังพักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็เห็นสองคนที่เหาะอยู่ตรงน้าในระดับต่ำเหยียบลงพื้น เหยียบลงกลางดงหน่อเหล็ก

เม่ยจีจำเป็นต้องหยุดแล้วโผ่ลหน้าครึ่งหนึ่งออกมาสังเกตการณ์ นางไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน จึงไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไป กลัวว่าจะถูกจับได้

หลังจากเหยียบลงพื้นแล้วก็รีบเข้าไปหลบในโพรงธรรมชาติซึ่งเกิดจากหน่อเหล็กหลายต้นไขว้ตัดสลับกัน ไป๋เฟิ่งหวงกับจิ้งจอกพันหน้าก็มองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วไป๋เฟิ่งหวงก็ชี้นิ้วขึ้นฟ้า ทำปากเหมือนด่าสาปแช่ง

เฝิ่นเอ๋อร์จิ้งจอกพันหน้าเม้มปากหัวเราะ นางเข้าใจแล้ว กำลังสาปแช่งให้หนิวโหย่วเต๋อไม่ตายดี!

ไป๋เฟิ่งหวงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ ถามเหมียวอี้ว่าเป้าหมายตามมาด้วยหรือเปล่า เพราะพวกนางสองคนไม่เห็นเลยว่าเป้าหมายตามพวกนางมาหรือไม่ ที่จริงพลังของเม่ยจีเหนือกว่าพวกนางไกลมาก ถ้าอยู่บนฟ้าก็ยังสังเกตเห็นง่าย แต่ถ้ากำลังพรางตัวอยู่ ก็สังเกตเห็นเม่ยจีไม่ได้ง่ายๆ

เหมียวอี้ระฆังดาราตอบกลับ : พวกเจ้าถอนตัวออกมาได้แล้ว

ไป๋เฟิ่งหวงเก็บระฆังดารา แล้วชี้กระเป๋าสัตว์ของตัวเอง เฝิ่นเอ๋อร์พยักหน้าอย่างจนใจ ผลปรากฏว่ายังไม่ทันได้รู้ตัวก็ถูกไป๋เฟิ่งหวงจับยัดเข้ากระเป๋าสัตว์แล้ว

จากนั้นร่างกายของไป๋เฟิ่งหวงก็เลื้อยขยุกขยิกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็กลายร่างเป็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำ แล้วมุดออกมาจากโพรงนั้น เหาะออกมาอย่าสง่าผ่าเผย เหาะไปอีกทิศทางหนึ่ง

เม่ยจีที่หลบสังเกตการณ์หลือบมองแวบหนึ่ง สามารถแน่ใจได้ว่าไม่ใช่คนที่เพิ่งสะกดรอยตามเมื่อครู่นี้ หลังจากรอต่อไปอีกครู่หนึ่ง ก็ยังไม่เห็นข้างหน้ามีความเคลื่อนไหวอะไร นางจึงถลันตัวไปข้างหน้าอีก หลังจากนางไปถึงจุดที่สองสาวแหยียบลงก่อนหน้านี้ นางก็กวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วไม่เจอทั้งสองคน แต่กลับเห็นค่ายแห่งหนึ่งที่อยู่ระหว่างหุบเขาไกลๆ

สองคนนั้นไปไหนแล้ว? ไม่เห็นสองคนนั้นออกไปเสียหน่อย! สายตาของเม่ยจีกวาดมองไปรอบๆ ด้วยความสงสัยอีกครั้ง สุดท้ายก็เหยียบลงในค่ายแห่งนั้น แล้วเผยสีหน้าครุ่นคิด

นางจึงซ่อนตัวอยู่ข้างๆ อีกครั้ง แล้วใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์สำรวจดู พบว่าในค่ายมีคนลาดตระเวน จึงไม่สะดวกจะเข้าใกล้

รออยู่ไม่นาน ก็เห็นผ่าม่านของค่ายหลักเปิดออก อิ๋งหยางเดินวางมาดใหญ่โตออกมา แล้วคุยกับหนึ่งในคนที่ลาดตระเวนอยู่ข้างนอก

ที่จริงอิ๋งหยางจะโผล่หน้าออกมาเป็นระยะ เพราะเป็นการวางกับดัก จะล่อเหยื่อก็ย่อมต้องโผล่หน้าให้เหยื่อรู้ว่าคนอยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นจะล่อให้เหยื่อติดเบ็ดได้อย่างไร

ที่จริงต่อให้เขาไม่โผล่หน้าออกมา เหมียวอี้ก็จะคิดหาทางทำให้เขาโผล่หน้าออกมาอยู่ดี จะต้องทำให้เขาถูกเม่ยจีพบให้ได้

ส่วนเม่ยจีที่แอบสังเกตุการณ์อยู่ พอเห็นอิ๋งหยางก็สงบใจทันที เป็นอย่างที่คาดไว้ สองคนนั้นอยู่ในค่ายจริงๆ ด้วย

นางซ่อนตัวอย่างระมัดระวังอีกครั้ง แล้วโบกมือเรียกลูกศิษย์หลายสิบคนออกมา จากนั้นแอบถ่ายทอดเสียงกำชับ ให้พวกนางแยกย้ายกันสำรวจอย่างเงียบๆ หลบอยู่บนพื้นอย่างไรเสียก็มีข้อจำกัดด้านสายตา กลัวว่าจะคลาดสายตา

ด้านนอกน้ำพุวังเวง เงาร่างที่ปิดบังใบหน้าถลันตัวมาเหยียบลงข้างกายเหมียวอี้บนยอดเขา จากนั้นดึงหนังปลอมบนใบหน้าลงมา เป็นเยี่ยนเป่ยหงนั่นเอง

“พี่ใหญ่เยี่ยน รบกวนท่านแล้ว เล่นละครได้ไม่เลวเลย” เหมียวอี้ยิ้มบางๆ

เยี่ยนเป่ยหงส่ายหน้า แล้วมองสำรวจเหมียวอี้ศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง สายตาค่อนข้างสับสนซับซ้อน สุดท้ายก็เอียงหน้าช้าๆ มองไปทางท้องฟ้า แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก

เหมียวอี้ถูกสายตาแบบนั้นของเขามองจนอึดอัดนิดหน่อย จึงถามอย่างแปลกใจ “พี่ใหญ่เยี่ยน มีเรื่องอะไรในใจเหรอ?”

“เฮ้อ!” เยี่ยนเป่ยหงถอนหายใจ “น้องชาย เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว”

“ฮะ…” เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ มองตัวเองอย่างไม่ค่อยเข้าใจ แล้วเอามือลูบใบหน้าตัวเองอีก จู่ๆ ก็ใจสั่นเล็กน้อย ตระหนักอะไรบางอย่างได้แล้ว แต่กลับกล่าวกลั้วหัวเราะอย่างปากไม่ตรงกับใจ “หรือว่าอายุข้าดูแก่แล้ว? ตามหลักแล้ว ด้วยความก้าวหน้าทางวรยุทธ์อย่างข้า มันก็ไม่น่าจะชัดเจนขนาดนั้นสิ?”

เยี่ยนเป่ยหงเหล่ตามองมา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ “ยิ่งนับวันเจ้าจะยิ่งเล่นใหญ่ขึ้นทุกวัน ข้ามองเห็นคำว่า ‘ทะเยอะทะยาน’ จากสายตาเจ้า”

เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “พี่ใหญ่เยี่ยนล้อเล่นแล้ว ใช่ว่าท่านจะไม่รู้ถึงสถานการณ์ของข้า สาเหตุที่วางแผนนี้ น้องชายเองก็ถูกกดดันจนหมดทางเลือกเช่นกัน ถ้าข้าไม่ฆ่าพวกเขา พวกเขาก็จะฆ่าข้า ข้าทำได้เพียงโต้ตอบ! อย่าบอกนะว่าพี่ใหญ่เยี่ยนไม่เคยเป็นอย่างนี้? คาดว่าตอนที่พี่ใหญ่เยี่ยนถูกบีบเข้าสู่ทางตัน ยอมเสี่ยงชีวิตสู้ตายสักครั้ง แต่ก็ไม่ยอมทนรับความอัปยศไม่ใช่เหรอ ที่จริงพวกเราสองพี่น้องก็เหมือนกัน ทำตามใจตัวเองไม่ได้เหมือนกัน!”

“ไม่เหมือนกัน!” เยี่ยนเป่ยหงเถียงกลับอย่างไม่ปรานีแม้แต่น้อย “ที่ข้าไม่ยอมถูกควบคุม ก็เพราะมีปณิธานยิ่งใหญ่ แต่เจ้าไม่ยอมถูกควบคุม กลับไม่ใช่เพราะมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ หัวใจวีรบุรุษกับหัวใจทะเยอทะทะยานนั้นมีความแตกต่างกัน!”

“มีปณิธานอันยิ่งใหญ่เหรอ?” เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ พลางยักไหล่สองข้าง ทำท่าเหมือนอีฝ่ายพูดเหลวไหลไร้หลักฐาน “จะเป็นไปได้ยังไง? อาศัยศักยภาพของข้าจะไปเอาปณิธานอันยิ่งใหญ่มาจากไหนเล่า?”

เยี่ยนเป่ยหงจึงบอกว่า “เจ้ารู้อยู่ชัดๆ ว่าตระกูลอิ๋งวางกับดักแล้ว แต่ยังกล้ามาใช้กำลังปะทะตรงๆ ต่อให้ทำสำเร็จแล้วยังไงล่ะ แล้วในภายหลังล่ะ? ไม่กลัวผลที่ตามมาในภายหลังเลยสักนิด มีความมั่นใจเสียขนาดนี้ เจ้ามีศักยภาพน้อยงั้นเหรอ? ขนาดไป๋เฟิ่งหวงที่ทั้งใต้หล้าจ้องอยากได้ยังเชื่อฟังคำสั่งเจ้าเลย นี่เจ้าต้องไม่ธรรมดาขนาดไหนกัน เกรงว่าของชุดนั้นในมือนางคงจะตกอยู่ในมือเจ้าแล้วล่ะสิ? น้องชาย อาศัยศักยภาพของเจ้าในตอนนี้ ข้าก็ไม่รู้เจ้าเอาความมั่นใจมาจากไหนนะ บางทีตอนนี้เจ้าอาจจะยังควบคุมความปรารถนาของตัวเองได้ แต่ตอนที่ในมือเจ้ากุมอำนาจไว้มากพอ เจ้ายังจะทำใจอยู่ใต้คนอื่นไหวเหรอ? มิหนำซ้ำเดิมทีเจ้าก็ไม่ใช่คนที่ยอมแพ้ง่ายๆ อยู่แล้ว! ข้าเหล่าเยี่ยนเป็นคนหยาบ อาจจะไม่ฉลาด แต่หัวใจกลับไม่เลอะเลือน จึงไม่เคยเป็นสหายกับใครง่ายๆ เพราะข้าสัมผัสได้ว่าใครดีใครเลว ถ้าคบได้แสดงว่าตรงใจ ในปีนั้นสภาพจิตใจเจ้าเป็นยังไง แล้วตอนนี้สภาพจิตใจเจ้าเป็นยังไง? เจ้าเปลี่ยนไปหรือเปล่า…ในจุดนี้ใจเจ้ารู้ดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องให้ข้าอธิบายอะไร”

…………………………