บทที่ 1674 เลอะเลือน

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้เงียบไปนานมาก แล้วสุดท้ายก็ส่ายหน้าบอกว่า “พี่ใหญ่เยี่ยนอาจจะเข้าใจผิดนิดหน่อย ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดนะ เรื่องบางเรื่องข้าก็ไม่สะดวกจะอธิบายเช่นกัน หวังเพียงพี่ใหญ่เยี่ยนจะเข้าใจ…นอกจากเดินต่อไปข้างหน้า ข้าก็ไม่มีทางเลือกแล้ว!”

นี่ไม่ใช่คำโกหก ถ้าจะบอกว่าก่อนหน้านี้ยังหวังให้พิภพเล็กเป็นทางหนีทีไล่สุดท้ายได้  เช่นนั้นในตอนนี้แม้แต่โชคดีอย่างสุดท้ายก็ไม่มีแล้วเช่นกัน ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจบ้างแล้ว ว่าพิภพเล็กไม่ได้อยู่ในมือเขา แต่เจ้าของที่แท้จริงยังมีคนอื่นอีก ถ้าคิดจะหลบที่แดนอเวจีก็เป็นเรื่องเพ้อฝันเช่นกัน เพราะแดนอเวจีก็อยู่ในการควบคุมของคนคนนั้นด้วย

ทว่าเหมียวอี้ก็พอจะเดาได้เช่นกันว่าคนคนนั้นคิดจะทำอะไร สาเหตุที่คนคนนั้นเงียบงันไม่ยอมออกมาจนกระทั่งทุกวันนี้ก็เดาได้ไม่ยาก ดังนั้นเขาก็พอจะรู้เช่นกันว่าตัวเองต้องทำอะไร

เยี่ยนเป่ยหงเอียงหน้าจ้องเขาครู่หนึ่ง “ข้าไม่อยากแทรกแซงอะไรเจ้า ก็แค่อยากเตือนเจ้าสักหน่อย ว่าทุกอย่างที่เจ้าทำตอนนี้ไม่สอดคล้องกับศักยภาพของเจ้า เจ้ามีภาระครอบครัว ไม่เหมือนข้าที่ไปไหนมาไหนคนเดียว เจ้าน่าจะเข้าใจว่าสิ่งที่ข้าเตือนหมายความว่าอะไร”

“ข้าเข้าใจ” เหมียวอี้พยักหน้า

ในเมื่อเข้าใจแล้ว เยี่ยนเป่ยหงก็ไม่พูดอะไรมาก เปลี่ยนประเด็นสนทนา “เจ้าเตรียมจะลงมือเมื่อไร?”

“รออีกสักหน่อย บางทีอาจจะมีแขกมาอีก” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ แล้วเงยหน้ามองไปยังจุดลึกบนท้องฟ้า

นี่ไม่ใช่ความคิดของเขา เป็นความคิดของหยางชิ่ง ตอนที่หยางชิ่งวางแผนดึงสำนักหลัวช่าเข้ามาเกี่ยวด้วย ก็ได้เตือนไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าถ้าสามารถทำให้สำนักหลัวช่าแหกกฎสอดมือมายุ่งเรื่องฝั่งตำหนักสวรรค์ได้ ก็เกรงว่าแผนการของสำนักหลัวช่าคงจะไม่ใช่เล็กๆ เกรงว่าให้เม่ยจีออกโรงคนเดียวคงไม่อาจวางใจได้ ฝั่งสำนักหลัวช่าอาจจะยังมีคนมาอีกก็ได้

แผนการของหยางชิ่งก็คือ หลังจากวางแผนเรียบร้อยแล้ว ก็ยังไม่ต้องรีบลงมือ รอไปสักสองวันก่อน ถ้าผ่านไปสองวันแล้วสำนักหลัวช่ายังไม่มีคนมา ก็คาดว่าคงจะไม่มีกำลังหนุนแล้ว เพราะใช้เวลาสองวันก็เพียงพอที่จะให้ยอดฝีมือของสำนักหลัวช่าเดินทางจากแดนสุขาวดีมาที่นี่ กอปรกับไม่รู้ว่ายอดฝีมือของสำนักหลัวช่าบังเอิญอยู่ที่ตำหนักสวรรค์หรือไม่ ไม่รู้ด้วยว่าอยู่ใกล้หรือไกลจากที่นี่ ถ้าฝั่งนี้ลงมือขึ้นมา แล้วจู่ๆ ยอดฝีมือของสำนักหลัวช่ามาทัน ถ้าเจ้าไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพกคนมาด้วยเท่าไร ก็จะไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันหรือไม่ วิธีการที่ปลอดภัยที่สุดก็คือปล่อยไปก่อน

และการรอสองวันก็สามารถทำให้ตระกูลอิ๋งกับสำนักหลัวช่าอดทนรอได้ด้วย ถ้าพวกเราอดทนไม่ไหวแล้ว สะเก็ดไฟจุดเดียวก็อาจจะปะทุติดไฟได้

ในขณะนี้เอง มีคนคนหนึ่งเหาะมาจากดาราจักร มาเหยียบลงข้างกายของทั้งสองคน เป็นชายรูปร่างกำยำสูงใหญ่ พอเห็นเหมียวอี้ก็ชักสีหน้าใส่ ยืนกอดอกทำเสียงฮึดฮัดมองมาทางนี้

ด้วยนิสัยอย่างนี้ บูดเน่าสุดๆ แล้ว เหมียวอี้รู้ได้โดยไม่ต้องเดาว่าเป็นไป๋เฟิ่งหวง

“แล้วอีกคนหนึ่งล่ะ?” เหมียวอี้ถาม

ไป๋เฟิ่งหวงสะบัดมือโยนจิ้งจอกพันหน้าเฝิ่นเอ๋อร์ออกมา เฝิ่นเอ๋อร์ก็ซวยเช่นกัน เพิ่งจะโผล่หน้าออกมา ยังไม่ทันได้บ่นอะไร ก็ถูกเหมียวอี้เก็บเข้าไปอีกแล้ว

ทั้งสามไม่ได้รออยู่ตรงนี้นาน เหาะไปในดาราจักรด้วยกัน เข้าไปในน้ำพุวังเวงอีกครั้ง มุ่งตรงสู้น้ำพุวังเวงชั้นห้า ไปพบกับขุนพลใหญ่ลัทธิอู๋เลี่ยงอ๋าวเถี่ย แล้วหลบรออยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งอย่างเงียบๆ

บนท้องฟ้าเหนือป่าหมุดเหล็ก บรรยากาศมืดครึ้ม ตาน้ำพุที่หมุนตามเข็มและหมุนทวนเข็มราวกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานไม่หยุด แสงสลัวนั่นไม่รู้ว่ามาจากทางไหน ทั้งแผ่นฟ้าเงียบสงัดแปลกประหลาด

ระหว่างหน่อเหล็กสีดำขลับหลายแท่งที่ไขว้กัน เม่ยจีกับลูกศิษย์ฮวาจั๋วซ่อนตัวอยู่ในช่องว่างที่ไม่ใหญ่นัก เม่ยจีกำลังนั่งสมาธิฝึกตน ส่วนฮวาจั๋วก็กำลังจ้องค่ายที่อยู่ไกลๆ โดยไม่ละสายตา

ไม่ใช่แค่ฮวาจั๋วเท่านั้น ศิษย์ร่วมสำนักนับสิบคนที่เม่ยจีพามาด้วยแยกย้ายกันไปอยู่รอบๆ ค่ายในระยะไกลแล้ว ระหว่างพวกนางใช้ระฆังดาราติดต่อกันได้ทุกเมื่อ

ตรงจุดที่ไกลกว่านั้น เหมียวอี้ที่กำลังซ่อนตัวใช้ตาทิพย์กวาดมองรอบค่ายเป็นระยะ ตรวจสอบตำแหน่งซ่อนตัวของเม่ยจีรวมทั้งศิษย์ในสำนักอย่างชัดเจน การป้องกันในค่ายเปราะบางสุดๆ กำลังพลกลุ่มใหญ่แยกย้ายกันไปไกล ไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว เหมือนจะไปออกล่าแล้วจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่ามีกับดัก นี่ก็คือโอกาสดีในการลงมือจริงๆ

ภายในค่าย อิ๋งหยางที่เดินออกมานอกกระโจมค่ายเอามือไขว้หลังเงยหน้ามองฟ้านานมาก จากนั้นก็เดินวนอยู่ในค่ายอีก เสร็จแล้วถึงได้กลับเข้ากระโจมค่ายอีกครั้ง

“ท่านบุรุษ หนิวโหย่วเต๋อจะมามั้ย?” อิ๋งหยางที่นั่งอยู่ในกระโจมค่ายมองเยี่ยนสุยที่นั่งขัดสมาธิตรงมุมพลางเอ่ยถาม

เยี่ยนสุยหลับตาตอบ “ไม่ทราบ แต่สายลับด้านนอกพบแล้วว่ามีบุคคลนิรนามจำนวนหนึ่งกำลังจับตาดูทางนี้อยู่”

“ท่านบุรุษคิดว่าเป็นหนิวโหย่วเต๋อหรือเปล่า?” อิ๋งหยางกระปรี้กระเปร่าทันที

“ไม่ทราบ” เยี่ยนสุยตอบ

“ถ้าเป็นหนิวโหย่วเต๋อ ในค่ายมีคนอยู่เพียงน้อยนิด ทำไมพวกเขายังไม่ลงมืออีก?” อิ๋งหยางถาม

“ไม่ทราบ” เยี่ยนสุยตอบ

อิ๋งหยางพูดไม่ออก ในใจโมโหนิดหน่อน นี่มันท่าทีแบบไหนกัน ก็เป็นแค่ลูกน้องของตระกูลอิ๋งไม่ใช่เหรอ ไม่น่าเชื่อว่าจะไร้มารยาทกับน้อยเช่นนี้

แต่จะว่าไปแล้ว ต่อให้เขาโมโห แต่ก็ต้องเก็บกลั้นไว้ในใจ ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นลูกน้อง แต่เมื่ออยู่ในระดับนั้นแล้ว ก็ฟังเพียงคำสั่งของคนสองคนในจวนท่านอ๋องเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าเขาสักเท่าไรแค่ต้องคุยเรื่องงานเท่านั้น ถ้ามีความสัมพันธ์ซับซ้อนวุ่นวายเกินไป กลับจะทำให้ท่านอ๋องไม่ชอบด้วยซ้ำ ถึงขั้นว่าถ้าพูดในบางระดับ เขาก็แค่มีฐานะสูงส่งเท่านั้นเอง ถ้าพูดให้สอดคล้องกับความเป็นจริงสักหน่อย ยามเผชิญหน้ากับพื้นฐานข้อเท็จจริง เจ้านายอย่างเขายังต้องพึ่งพาอีกฝ่าย แม้แต่บิดาของเขาเองก็ยังต้องอาศัยการสนับสนุนของคนพวกนี้เลย ถ้าในจวนท่านอ๋องไม่มีบ่าวไพร่ประเภทนี้สนับสนุนถึงแม้จะเป็นบิดาของเขา แต่ก็ยากที่จะมีจุดยืนอยู่ในจวนท่านอ๋องอยู่ดี

ในตอนที่ยังไม่ได้นั่งตำแหน่งอ๋อง บิดาของเขาและพวกพี่น้อง แต่ละคนล้วนเป็นผู้ที่มีมารยาทต่อปราชญ์และเคารพบัณฑิต นอบน้อมต่อเบื้องบน ไม่เย่อหยิ่งต่อเบื้องล่าง ถ้าอิ๋งหยางกล้าเสียมารยาทกับท่านที่อยู่ตรงหน้านี้ กลับไปบิดาของเขาต้องหักขาแน่นอน

บึ้ม! ทันใดนั้นนอกกระโจมค่ายก็มีเสียงดังสะเทือน

อิ๋งหยางพลันลุกขึ้นยืน เยี่ยนสุยที่นั่งอยู่ตรงมุมก็ลืมตาเช่นกัน แล้วเอียงหน้าบอกใบ้อิ๋งหยางเล็กน้อยอิ๋งหยางรีบเดินออกไปตรวจดูความเคลื่อนไหวทันที แต่เยี่ยนสุยกลับหลบอยู่ในกระโจมค่าย ไม่โผล่หน้าออกไป

ตรงที่ไกลๆ ปรากฏแสงสีเขียว ค้างคาวขาวรัตติกาลตัวใหญ่หลายตัวพ่นเพลิงเดือดสีเขียวเข้ม ไล่สังหารนักพรตหลายคนที่กำลังเร่งหลบหนี

อิ๋งหยางใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ทอดสายตามองไกลๆ ครู่หนึ่ง แล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะกลับเข้าในกระโจมค่ายอีก

น้ำพุวังเวงชั้นสิบ แดนมายา แสงเหนือบนท้องฟ้าสวยงามแพรวพราว เลื่อนลอยพลิ้วไหว งดงามจนทำให้ใจเจ็บ

ทิวทัศน์อันงดงามบนพื้นดินก็ไม่น้อยหน้า บนทุ่งหญ้าที่หนาวเหน็บ ประเดี๋ยวก็เป็นป่าไม้เขียวชอุ่ม ประเดี๋ยวก็เป็นทุ้งหญ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา บางครั้งก็เป็นดอกไม้สีแดงบ้างม่วงบ้างเบ่งบานเต็มพื้น และในทิวทัศน์งดงามชวนเคลิบเคลิ้มนี้บางครั้งก็ปะปนไปด้วยปรากฎการณ์ของโลกมนุษย์ ถนนที่มีคนสัญจรไปมาพลุกพล่าน เดินเบียดกันแออัด ถึงขั้นมีเสียงเรียกลูกค้าดังแว่วมาข้างหูด้วย

มีงดงามก็มีอัปลักษณ์ ทิวทัศน์ยอดเยี่ยมที่เมื่อครู่เพิ่งทำให้ผ่อนคลายสบายใจแท้ๆ จู่ๆ ฉากทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ศพเกลื่อนพื้น เลือดนองกลายเป็นแม่น้ำ กระดูกกองสุมราวกับภูเขา

จู่ๆ กองทัพทัพพันนับหมื่นที่ดุร้ายปรากฏตัวอยู่ที่เส้นขอบฟ้า วิ่งห้อโจมตีเข้ามาตลอดทาง เห็นอยู่กับตาว่าพุ่งเข้ามาตรงหน้าแล้ว จู่ๆ สัตว์ประหลาดดุร้ายหลายตัวก็พุ่งเข้าไปป่วนทัพใหญ่ เหยียบย่ำทัพใหญ่อย่างทารุณตลอดทาง แล้วก็พุ่งมาทางนี้

กำลังพลที่เฝ้ารอบค่ายสีหน้าตึงเครียด ถึงแม้จะรู้ว่าฉากตรงหน้าเป็นภาพมายา แต่ประเด็นคือบางครั้งในภาพมายาก็มีของจริงปนด้วย จะมีปีศาจของน้ำพุวังเวงฉวยโอกาสจู่โจมจริงๆ ก่อนหน้านี้มี ‘ปีศาจหนูทมิฬ’ ฉวยโอกาสก่อกวนหลายรอบแล้ว กลายเป็นภาพลวงตาต่างๆ แล้วเข้ามาประชิดโดยอาศัยสภาพแวดล้อมพรางตัว

กำลังพลที่เฝ้ารอบค่ายพลัดกันออกรบ ปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์ทดสอบภาพมายาที่เข้ามาใกล้ว่าเป็นของจริงหรือไม่

ถึงแม้จะรู้ว่าตรงหน้ามีของปลอมมากมาย แต่เมื่อตัวอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของฉากเหตุการณ์ที่สมจริงราวกับมีชีวิตนานไป ก็ทำให้คนรู้สึกวิตกจริตได้

ระหว่างค่ายที่โอบล้อมพิทักษ์ไม่ได้มีแค่กระโจมค่ายหลังเดียว แต่มีเป็นสิบกว่าหลังรวมกันอยู่

ในกระโจมค่ายสองหลังอยู่ด้านนอก แต่ละหลังมีคนสองกลุ่มรวมตัวอยู่ กลุ่มแรกเป็นลูกหลานอ๋องสวรรค์ ลูกหลานเทพประจำดาวของสายตระกูลก่วง ส่วนอีกกลุ่มเป็นสายของตระกูลฮ่าว

“มาออกล่าไม่ใช่เหรอ? มารวมตัวอยู่ที่นี่หมายความว่ายังไง?”

“เฮอะ เจ้าจะสนใจมากขนาดนั้นทำไม เบื้องบนว่ายังไง พวกราก็ทำอย่างนั้นก็พอ กินดื่มรออยู่ในนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ดี”

“ใช่แล้ว ดื่มสุราของเจ้าไปเถอะ มีโอกาสกินดื่มอยู่ในแดนมายาถือเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่งนะ โอกาสนี้ใช่ว่าทุกคนจะมีได้”

“ข้าก็แค่รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง ไม่น่าเชื่อว่าจะไปรวมอยู่รังเดียวกับตระกูลฮ่าว ตระกูลฮ่าวก็ไม่ออกล่าเหมือนกัน อย่าบอกนะว่าประเคนอันดับหนึ่งในอีกสามตระกูล? หรือพวกเจ้าไม่รู้สึกว่ามีเงื่อนงำ?”

ตระกูลก่วงกับตระกูลฮ่าวไม่ใช่แค่ไม่ไปออกล่า แต่ยังรวมตัวตั้งค่ายอยู่ด้วยกันอีก ถึงขั้นถูกออกคำสั่งไม่ให้ใช้ระฆังดาราติดต่อกับภายนอกโดยพลการด้วย ทำให้มีกำลังพลเบื้องล่างไม่น้อยคิดไม่ตก

และในกระโจมค่ายหลักหลังหนึ่ง ก่วงเซิ่งกับฮ่าวอวิ๋นเทียนที่เป็นตัวแทนของสองตระกูลก็นั่งตรงข้ามกันอยู่หน้าโต๊ะยาวตัวหนึ่งเช่นกัน กินดื่มด้วยกันหลายจอกเช่นกัน

“ไม่รู้ว่ายังต้องรออีกนานแค่ไหน ทางครอบครัวคิดจะทำอะไรกันแน่?” ฮ่าวอวิ๋นเทียนกรอกสุราแล้วพึมพำ

“ใครจะไปรู้ล่ะ เชื่อฟังตามแผนที่เตรียมไว้ก็พอ” ก่วงเซิ่งกล่าวขณะมองไปยังยอดฝีมือที่ทำหน้าที่คุ้มกันตัวเองอยู่นอกค่าย

ทั้งสองทำตามใจตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ก็เหมือนกับอิ๋งหยาง พวกเขาล้วนต้องเชื่อฟังลูกน้องคนสนิทที่ท่านปู่ส่งมา สิ่งที่นายน้อยรู้อาจจะไม่เยอะเท่าลูกน้องคนสนิทของท่านปู่ ถึงแม้พวกเขาจะรู้สึกไม่ยอม แต่ในสายตาของท่านปู่ พวกเขายังอ่อนด้อยไปหน่อย นายท่านรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้เชี่ยวชาญเหมือนลูกน้องคนสนิทของตัวเอง เรื่องบางเรื่องยอมบอกลูกน้อง ยอมให้ลูกน้องตัดสินใจ ดีกว่าบอกลูกหลานตัวเอง ต่อให้เจ้าจะไม่พอใจแต่ก็เถียงอะไรไม่ได้

แต่อิ๋งหยางในฐานะที่เป็นตัวหลักของเรื่องนี้ก็ยังดีกว่าหน่อย อย่างน้อยก็ยังรู้ว่าเป็นเรื่องอะไร ส่วนพวกเขากลับถูกบังไว้ในกลองทั้งหมด ถูกจำกัดอิสรภาพอย่างเลอะเลือนไม่รู้ตัว

ฮ่าวอวิ๋นเทียนถอนหายใจ “คนในใต้หล้าเห็นแต่ด้านที่มีหน้ามีตาของพวกเรา แต่กลับไม่เห็นด้านที่พวกเราได้รับความอยุติธรรม ถ้าไม่เชื่อฟังตามแผนแล้วจะทำอะไรได้อีกล่ะ? เชื่อฟังตามแผนก็ไม่เป็นไรหรอก แต่การอยู่ที่นี่ตลอดมันใช่เรื่องเหรอ ถ้าน้ำ ‘เทพมรณะ’ ในจุดลึกของพุวังเวงวิ่งออกมาถึงพวกเราล่ะ แบบนั้นก็บันเทิงใหญ่แล้ว”

ก่วงเซิ่งตบจอกสุราลงบนโต๊ะ แล้วถลึงตาบอกว่า “เจ้านี่ปากไม่เป็นมงคล พูดอะไรน่าฟังหน่อยไม่ได้รึไง? น้ำพุวังเวงชั้นสิบแปดใหญ่ขนาดนั้น พวกเรารออยู่ตรงมุมนี้จะไปเจอได้ยังไงล่ะ”

“ถุยถุยถุย ข้าพูดเหลวไหลเอง” ฮ่าวอวิ๋นเทียนถ่มน้ำลาย แล้วจู่ๆ ก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างลับๆ ล่อๆ แล้วพูดหยอกว่า “ข้าว่านะก่วงเซิ่ง ก่วงเม่ยเอ๋อร์ท่านอาน้อยคนนั้นของเจ้าน่ะ รูปร่างหน้าตาทำให้คนน้ำลายไหลจริงๆ ต่อให้เป็นในฝันก็อยากดมดอมกลิ่นหอม ช่วยเป็นสะพานติดต่อให้ข้าสักหน่อยสิ”

“อยากจะตักตวงผลประโยชน์จากข้าเหรอ?” ก่วงเซิ่งเหล่ตามอง ถ้าให้เจ้าหมอนี่แต่งงานกับอาหญิงเล็กของตนจริงๆ ในภายหลังตนจะไม่ต้องเรียกเขาว่าอาเขยหรอกเหรอ?

ฮ่าวอวิ๋นเทียนหัวเราะเบาๆ “ก็เป็นแค่ในนามเฉยๆ เจ้ายังจะสนใจเรื่องนี้อีกเหรอ? ด้วยความสัมพันธ์ของพวกเราน่ะ สมบัติไม่รั่วไหลหรอก ให้นอนกับใครก็เหมือนกันนั่นแหละ?”

ก่วงเซิ่งทำเสียงฮึดฮัด “ต่อให้อาหญิงของข้าจะชอบเจ้า แต่ก็ใช่ว่าเจ้าจะกินไหว คนในบ้านเจ้าจะยอมเหรอ? มีหัวใจโจรแต่ไม่มีความกล้าของโจร รู้จักแต่ใช้ปากพูดเอาแต่ได้ นิสัย! ถ้าเจ้าเก่งนักก็ใช้กำลังบังคับให้ข้าดูสิ ข้ารับรองว่าจะไม่ขัดขวาง เจ้ากล้ามั้ยล่ะ?”

ฟังจากคำพูดแล้ว เหมือนจะไม่เคารพอะไรท่านอาหญิงของตัวเองเลย เขาไม่ถือสาที่จะเตะก่วงเม่ยเอ๋อร์ให้พ้นออกจากตระกูลก่วงไวๆ ถึงขั้นอยากจะไล่หวังเฟยเม่ยเหนียงออกไปด้วยกัน นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมเม่ยเหนียงถึงอยากจะหาแรงสนับสนุนภายนอก

“เรือนร่างแบบนั้น หน้าตาแบบนั้น หาพบได้น้อยมากในโลก ดอกไม้ที่สวยละเอียดอ่อนขนาดนี้ ไม่รูเหมือนกันว่าใครจะได้เด็ดไป น่าเสียดายแล้ว เฮ้อ!” ฮ่าวอวิ๋นเทียนถอนหายใจอย่างเสียดาย แล้วยกจอกสุรากรอกใส่ปากด้วยสีหน้าขัดเคือง

…………………………