ชาวยิปซีเป็นชนพลัดถิ่นกลุ่มหนึ่ง รอยเท้าของชนกลุ่มนี้แทบจะกระจายไปทั่วทั้งโลกแล้ว หากกล่าวในบางแง่มุม ชนกลุ่มนี้ก็นับว่าเป็นชาติพันธุ์หนึ่งที่มากด้วยความรู้และประสบการณ์ อย่างน้อยๆ ก็มีความรู้ในด้านการหลอกลวงตบตาคนไม่น้อยไปกว่าพวกนักต้มตุ๋นในจีนเลย
เนื่องจากเติบโตมากับมารดาซึ่งเป็นชาวยิปซีตั้งแต่เล็ก เจียงซานจึงไม่ได้ใสซื่อไร้พิษภัยอย่างที่คนอื่นๆ เห็นจากภายนอกเลย ตรงกันข้าม สมัยเธออายุแปดขวบก็สามารถหลอกพวกผู้ใหญ่จนหัวหมุนกันทั้งเมืองได้แล้ว และยังปกปิดเรื่องที่เธอมีพลังวิเศษสามารถอ่านใจคนได้ไว้อย่างแนบเนียน
ดังนั้นเจียงซานจึงตอบตกลงเหลยหู่ว่าจะมาจัดการกับเยี่ยเทียนให้ เรื่องนี้สำหรับเธอแล้ว ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับยามปกติที่เธอใช้ไพ่ทาโรต์ดูดวงให้คนอื่น เมื่อรับเงินของคนอื่นมาแล้วก็ย่อมต้องทำงานให้เป็นการแลกเปลี่ยน เจียงซานเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบนี้มาตั้งแต่เล็ก ในใจจึงไม่ได้มีความรู้สึกว่าจะต้องแยกแยะเรื่องผิดชอบชั่วดีใดๆ ทั้งสิ้น
เพียงแต่เจียงซานนึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า ผู้ที่เธอจะต้องต่อกรด้วยนั้นจะเป็นคนที่น่ากลัวถึงขนาดนี้ หลังจากที่สายตาของเยี่ยเทียนกวาดผ่านร่างของเธออย่างที่ดูไม่ออกว่าจงใจหรือไม่ เธอก็ถึงกับเกิดความรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ท่ามกลางเนินศพทะเลโลหิต มีชีวิตไม่สู้ตายเสียยังดีกว่า จิตสังหารที่เข้มข้นราวกับจะจับต้องได้นั้น เกือบจะบดขยี้ดวงจิตของเธอจนแหลกไปแล้ว
เธอแทบจะยืนยันได้เลยว่า ชายคนที่อยู่ตรงหน้านี้ ก็คือเงาร่างที่เธอมองเห็นในฝันร้ายนั่นเอง ในโลกแห่งความฝันสีเลือดนั้น เขานี่แหละที่เป็นคนก่อการเข่นฆ่าเหล่านั้นกับมือ และเมื่อชายคนนี้มาปรากฏกายต่อหน้าเธอ ก็ยังดูน่ากลัวยิ่งกว่าในความฝันเสียอีก
แม้ว่าสุดท้ายพลังงานลึกลับภายในกายจะสลายจิตสังหารนั้นไปแล้ว แต่เจียงซานก็ยังคงรู้สึกอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงไปทั้งร่าง ดึงพลังออกมาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย พลังวิเศษซึ่งเป็นที่พึ่งของเธอนั้น เมื่อมาเผชิญกับเยี่ยเทียนแล้วก็กลับกลายเป็นไร้ประโยชน์ไปเลย
“แม่สาวน้อย ถ้าร่างกายไม่แข็งแรงก็อย่าลงไปจะดีกว่านะ เดี๋ยวก็ได้ตายหรอก!”
เยี่ยเทียนสามารถรู้สึกถึงจิตมุ่งร้ายจากร่างของเด็กหญิงได้อย่างชัดเจน แต่เขาก็ไม่กลัวอยู่แล้วว่ายายหนูคนนี้จะเล่นลูกไม้อะไร เมื่อมาเผชิญกับความแข็งแกร่งขั้นสุดยอดแล้ว ไม่ว่าแผนร้ายกลลวงใดๆ ก็มีแต่จะกลายเป็นเรื่องตลกไปเสียหมด
“นี่พ่อหนุ่ม อย่าพูดจาแบบนั้นสิ ไม่เห็นหรือไงว่าคนอื่นเขาก็กลัวตั้งขนาดนี้แล้ว?”
“นั่นน่ะสิ มาอยู่ต่างแดนแล้วก็ถือว่าเป็นคนจีนด้วยกัน มาขู่พวกเดียวกันเองแบบนี้เป็นผู้ชายประสาอะไรเนี่ย?!”
ในกลุ่มทัวร์ที่มาจากจีนนั้น มีป้าๆ ผู้มีความเมตตาท่วมท้นหัวใจอยู่จำนวนไม่น้อย สตรีวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าปีสองคนจูงเจียงซานมาอยู่ใกล้ๆ แล้วพูดปลอบใจเสียงเบา ส่วนลุงๆ อีกหลายคนก็ส่งสายตาดุดันใส่เยี่ยเทียน เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจมากที่เขาพูดแบบนั้น
“เอาละ พอกันก่อนเถอะคะ เดี๋ยวก็จะถึงกลุ่มของเราแล้ว ทุกคนตามมานะคะ”
แม้ว่าอวี๋ลี่ลี่จะนึกเสียใจอยู่บ้างที่ยอมให้เด็กผู้หญิงคนนี้เข้าร่วมกลุ่ม แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เธอจะพูดอะไรก็คงไม่ได้ ทำได้เพียงเอ่ยปากยุติความขัดแย้งภายในหมู่คณะ โดยเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคนไปที่เหมืองทองซึ่งกำลังจะได้เข้าไปแทน
“เอ๊ะ แปลกๆ อยู่นะ?”
หลังจากที่เด็กหญิงซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มพวกผู้หญิง และหลบพ้นจากสายตาของเยี่ยเทียนแล้ว ทันใดนั้นเยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เพราะเขาได้กลิ่นอายของจิตสังหารอันรุนแรงจากอากาศที่อยู่รอบๆ แปลว่าต้องมีคนอย่างต่ำก็ยี่สิบคนกำลังเล็งเป้าหมายมาที่เขาในเวลาเดียวกัน
คนเหล่านี้ปะปนอยู่ในกลุ่มทัวร์ที่อยู่ข้างหน้าและข้างหลังของเยี่ยเทียน ก่อขึ้นเป็นวงล้อมอย่างกลายๆ สกัดล้อมเขาไว้จากทุกด้านแล้ว เยี่ยเทียนรู้สึกได้เลยว่า สายตาของผู้ไม่ประสงค์ดีเหล่านั้นต่างมารวมกันที่ตนเป็นจุดเดียว
“คนพวกนี้ก็ช่างใจกล้าเหลือเกินนะ วางระเบิดไว้แล้วยังจะกล้ามาอีก ไม่กลัวตัวเองจะโดนระเบิดตายไปด้วยรึไง?”
เยี่ยเทียนอึ้งไปเล็กน้อย แต่จากนั้นก็ได้สติทันที พลังปราณโดยรอบซึ่งแฝงไว้ด้วยจิตสังหารเหล่านั้น ไม่มีกลุ่มไหนที่เขารู้สึกคุ้นเคยเลย แสดงว่าคนเหล่านี้เป็นคนละพวกกับคนกลุ่มเมื่อวาน
เยี่ยเทียนคิดดูเพียงครู่เดียวก็เข้าใจในทันที จึงจุ๊ปากเดาะลิ้นติดๆ กันหลายที “บ้าเอ๊ย โหดเหี้ยมจริงๆ แม้แต่พวกเดียวกันก็โดนคำนวณรวมไว้ในแผนการด้วย!”
เป็นอย่างที่เยี่ยเทียนคิดไว้จริงๆ กลุ่มมือสังหารที่มาที่นี่ในวันนี้ก็คือกลุ่มที่เจอร์รีส่งมานั่นเอง หลังจากได้รู้เกี่ยวกับพลังวิเศษของเด็กผู้หญิงที่ชื่อเจียงซาน นี่ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของเขาเช่นกัน
หากจุดชนวนระเบิดเหล่านั้นขึ้นมาจริงๆ หลังจากนี้กองกำลังแม่ม่ายดำก็จะต้องกลายเป็นหนูข้างถนนที่ถูกผู้คนรุมประณาม ดังนั้นถ้าไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ เจอร์รีก็จะไม่กดชนวนเบิดที่อยู่ในกำมือของเขา ถ้าใช้วิธีธรรมดาแล้วสามารถกำจัดเยี่ยเทียนได้ อย่างนั้นก็ย่อมจะดีที่สุด
แต่ถ้าเยี่ยเทียนมีความสามารถในการทำลายล้างสูงอย่างน่าตระหนกจริงๆ เจอร์รีก็จะไม่ใจอ่อนออมมือให้เช่นกัน กลุ่มมือสังหารทั้งสามกลุ่มที่เขาส่งมา รวมถึงบรรดานักท่องเที่ยวเหล่านี้ ก็จะกลายเป็นเครื่องเซ่นไหว้ที่ถูกฝังไปพร้อมๆ กับเยี่ยเทียน
ส่วนพวกที่ตายไปอย่างอยุติธรรมเหล่านั้นจะไปร้องทุกข์กับซาตานให้ลงโทษเขาหรือไม่นั้น เจอร์รีไม่ได้สนใจเลย เดิมทีเขาก็ไม่ได้เห็นมือสังหารทั้งสามกลุ่มที่ไม่ได้เข้าร่วมการวางแผนเป็นสหายของตัวเองอยู่แล้ว
“ยังดีนะเนี่ยที่ไม่มีอาวุธหนัก!”
หลังจากสำรวจดูต้นกำเนิดของปราณอันตรายเหล่านั้นแล้ว เยี่ยเทียนก็รู้สึกโล่งอก ตอนนี้ปืนพกหรือปืนกลธรรมดาๆ ไม่สามารถทำอะไรเขาได้แล้ว ถ้าใช้มีดบินตันเถียนคุ้มกายไว้ ต่อให้เป็นขีปนาวุธที่ทรงอานุภาพมหาศาล เยี่ยเทียนก็พอจะต้านทานได้สักลูกสองลูก
“ซ่งเสี่ยวหลงนี่มันทุ่มเงินไม่ยั้งเลยจริงๆ ตั้งแต่ต้นจนจบถึงกับต้องจ้างคนมามากมายปานนี้”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าเบาๆ สังเกตจากเลือดลมในกายของคนที่อยู่รอบข้างเหล่านี้ เมื่ออยู่ในหมู่คนธรรมดา คนเหล่านี้ก็นับว่าแข็งแกร่งอย่างยิ่งเลยทีเดียว และแต่ละคนก็เคยได้เห็นเลือดกันมาแล้วทั้งนั้น แม้จะยังสู้ทีมมือสังหารของมาลาไกย์ไม่ได้ แต่ก็ถือว่าไม่ได้ด้อยไปกว่ากันมากนัก
“เจียงซาน พอเข้าไปแล้วก็ล่อมันไปอยู่ตรงจุดที่ไม่มีคนนะ แล้วคนของเราจะกำจัดมันเอง!”
ขณะที่กลุ่มทัวร์กำลังตามฝูงชนเข้าไปในเหมืองทอง เจียงซานใส่หูฟังข้างหนึ่งเข้าไปในหู แล้วก็ได้รับคำสั่งทันที เมื่อหันหน้ากลับไปมองก็เห็นว่า ห่างจากเธอไปสิบกว่าเมตร มีคนผู้หนึ่งกำลังส่งสัญญาณมือให้เธออย่างลับๆ
เจียงซานขบริมฝีปากพลางพยักหน้า ตอนนี้ถึงเธอจะนึกเสียใจ แต่ก็ไม่มีทางให้ถอยอีกแล้ว ถ้าเธอไม่ปฏิบัติตามคำบัญชาการ คนพวกนั้นมีหวังได้กำจัดเธอไปพร้อมกันด้วยแน่ๆ
เนื่องจากความจำเป็นในการรักษาสิ่งแวดล้อมและมรดกทางวัฒธรรม จุดท่องเที่ยวหลายแห่งในต่างประเทศจึงมีการจำกัดจำนวนผู้เข้าชมอย่างเคร่งครัด แม้ว่าบริเวณด้านนอกเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กจะแออัดไปด้วยผู้คน แต่หลังจากที่เข้าไปแล้ว พื้นที่ก็จะโล่งกว้างขึ้นมาทันที
ที่นี่เป็นเหมืองทองขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ในสมัยทศวรรษที่ 1890 เคยมีคนงานเหมืองมากที่สุดเกือบหนึ่งหมื่นคน ดังนั้นในบริเวณทั้งหมดของเหมืองทองจึงดูคล้ายกับชุมชนที่อยู่อาศัยแห่งหนึ่งมากกว่า เมื่อปล่อยคนเข้าไปสักสองร้อยสามร้อยคน จึงดูเหมือนเป็นคนจำนวนน้อยไปทันที
“ทุกคนตามฉันมานะคะ เราจะไปที่รายการสุดท้ายของการเที่ยวชมเหมืองทองกันก่อน ซึ่งก็คือจุดเตาหลอมทองคำแท่งนั่นเองค่ะ ที่นี่ทุก ๆท่าน จะได้เห็นว่า ทองคำแท่งนั้นผลิตออกมาจากเตาอย่างไร”
หลังจากผ่านประตูเข้าไปแล้ว อวี๋ลี่ลี่ก็ไม่ได้เดินตามกลุ่มอื่นๆ ไปยังทางเข้าหลุมเหมือง เธอเรียกให้คนในกลุ่มเดินไปตามเส้นทางอีกสายหนึ่ง แต่เธอไม่ได้สังเกตว่า กลุ่มทัวร์อีกสองกลุ่มซึ่งอยู่ข้างหน้าและข้างหลังกลุ่มของเธอก็ตามมาด้วยอย่างเงียบๆ
นักล่าที่ดีนั้นจำเป็นต้องมีความอดทนที่สูงพอ และกลุ่มมือสังหารเหล่านี้ก็เป็นพวกที่มีประสบการณ์โชกโชก คนเหล่านี้ไม่ได้รีบร้อนลงมือ เพราะข้างหน้าเยี่ยเทียนยังมีคนเยอะอยู่ หากเกิดลงมือพลาดขึ้นมา การที่จะตามหาเยี่ยเทียนให้พบอีกครั้ง ในเหมืองทองที่ใหญ่เท่าเขตชุมชน ซับซ้อนเหมือนเขาวงกตแบบนี้ นั่นคงจะเป็นเรื่องยุ่งยากมากทีเดียว
จุดหลอมทองคำแท่งเป็นจุดเข้าชมที่สร้างขึ้นใหม่ หลังจากที่เหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กถูกดัดแปลงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว จุดนี้อยู่ไม่ไกลจากทางเข้าเหมืองทองนัก เมื่อมีมัคคุเทศก์นำทางมา ห้านาทีให้หลัง ทุกคนก็มาถึงหน้าอาคารที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่งแล้ว
ทุกคนเดินเข้าไปในอาคารที่ก่อขึ้นจากเหล็กแกร่งหลังนั้น ภายในมีพื้นที่ประมาณสองร้อยตารางเมตร ทันทีที่เข้าไปถึงข้างใน ก็จะรู้สึกราวกับว่าอากาศกำลังลุกไหม้แผดเผา และราวกับว่าจะได้กลิ่นของเม็ดทองคำผ่านทางรูขุมขนบนร่างกายเลยทีเดียว
“ขอให้ทุก ๆ ท่าน หลับตาลงก่อนนะคะ แล้วลองฟังเสียงที่เกิดจากการขุดเจาะเหมืองทองคำดู”
ภายในอาคารนั้นนอกจากที่นั่งแบบเดียวกับในโรงภาพยนตร์แล้ว ด้านหน้าสุดก็มีเตาหลอมอุณหภูมิสูงอยู่อีกหนึ่งเตาและแท่นหล่อทองคำ หลังจากที่ทุกคนนั่งลงแล้ว เสียงประกาศก็ดังขึ้น บอกให้ทุกคนหลับตาลง ปล่อยให้ตัวเองย้อนเวลาไปยังจุดกำเนิดของยุคตื่นทองเมื่อสมัยหนึ่งร้อยปีก่อน
จากนั้น แสงไฟรอบด้านก็ดับลงจนหมด เสียงระเบิด เสียงทุบและเสียงเคลื่อนย้ายหินดังขึ้นในโสตประสาท ต่อมาก็มีเสียงของการร่อนดินในน้ำเพื่อหาทองคำ
“อยู่แบบสงบเสงี่ยมก็เป็นเหมือนกันนี่?”
แม้ว่าเยี่ยเทียนจะหลับตาอยู่ แต่จิตของเขากลับกำลังเพ่งดูกลุ่มคนที่มีจิตสังหารอยู่ในใจ เขาพบว่า ขณะที่แสงไฟดับลงไป มีหลายคนที่หัวใจเต้นถี่เร็วขึ้นมา แต่มือที่กุมอาวุธอยู่นั้นยังไม่ได้ชักออกมาจากกระเป๋า
“เอาเถอะ ไว้เดี๋ยวค่อยเก็บพวกแกทีหลัง” เยี่ยเทียนเคยเห็นเหมืองทองมาก่อนแล้ว แต่ยังไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับขั้นตอนการหล่อหลอมทองคำแท่งเท่าไรนัก ถ้าพวกนั้นไม่ลงมือเคลื่อนไหว เยี่ยเทียนก็ยินดีจะเป็นนักท่องเที่ยวดูสักหน
หลังจากที่เสียงเหล่านั้นเงียบลง ในที่สุดแสงไฟก็สว่างขึ้น คนงานสองคนเดินเข้ามาเปิดเตาหลอมที่อยู่เบื้องหน้า ไอความร้อนลอยขโมงมาปะทะใบหน้าทันที ทำให้ห้องทั้งห้องกลายเป็นเตาหลอม
จุดหลอมเหลวของทองคำอยู่ที่ 1,064.4 องศาเซลเซียส ดังนั้นหากต้องการจะหลอมทองคำ อย่างน้อยก็ต้องใช้อุณหภูมิสูงถึง 1,200 องศาเซลเซียส ด้วยเหตุนี้ทุกอย่างที่ถูกใส่เข้าไปในเตาหลอมจึงกลายเป็นสีแดงเพลิงไปหมด
ในเตาหลอมมีภาชนะที่บรรจุทองคำเหลวไว้เต็มอยู่สองภาชนะ คนงานใช้คีมที่มีความยาวถึงสองเมตรคีบภาชนะนั้นออกมา แล้วเททองคำเหลวลงไปในภาชนะรูปตัว T ที่อยู่ตรงหน้า หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งนาที ทองคำเหลวเย็นตัวลงอย่างรวดเร็วและกลายเป็นทองคำแท่งขนาดยักษ์ กระบวนการหล่อหลอมทองคำทั้งหมดใช้เวลาเพียงไม่เกินหกนาที
“ทุก ๆ ท่าน คะ นี่…ก็คือโฉมหน้าดั้งเดิมของโจฮันเนสเบิร์ก ถ้าไม่มีทองคำ ก็ไม่มีโจฮันเนสเบิร์ก!”
ตอนสุดท้าย เจ้าหน้าที่นำทองคำแท่งขนาดยักษ์ที่มีความหนาประมาณ 20 เซนติเมตร และยาวประมาณ 35 เซนติเมตรแท่งนั้นออกมาให้ทุกคนชมดู แล้วการเที่ยวชมรายการนี้ก็ยุติลง
หลังจากที่ฝูงชนออกไปจากห้องแล้ว เยี่ยเทียนก็ร้องเรียกอวี๋ลี่ลี่ไว้ “คุณอวี๋ ผมไม่เข้าไปในหลุมเหมืองนะครับ เดี๋ยวผมไปรอพวกคุณตรงทางออกก็แล้วกันนะ!”
“ได้ค่ะคุณจ้าว คุณจะไปดูส่วนที่แสดงชีวิตความเป็นอยู่ของคนงานเหมืองก็ได้นะคะ ที่นั่นก็น่าสนใจมากเหมือนกันค่ะ”
อวี๋ลี่ลี่พยักหน้า แล้วพูดอีกว่า “ที่นี่มีเจ้าหน้าที่อยู่ค่อนข้างน้อย แต่ก็มีป้ายบอกทางอยู่ทุกจุด คุณเดินไปตามทางที่ป้ายพวกนั้นบอกก็ได้ อย่าหลงทางเด็ดขาดเลยนะคะ!”
“ไม่มีปัญหาครับ เดี๋ยวเจอกันนะครับ”
เยี่ยเทียนยิ้มพลางโบกมือ แล้วหันหลังเดินไปทิศทางตรงกันข้ามกับคนอื่นๆ แต่เพิ่งจะเดินไปได้สี่ห้าเมตร ก็มีเสียงหนึ่งร้องเรียกมาจากข้างหลังอย่างอายๆ “พี่ชาย ให้หนูไปด้วยคนได้ไหมคะ?”
………………………