“พี่จ้าวครับ นี่คุณอวี๋ลี่ลี่นะครับ เป็นไกด์ของบริษัททัวร์จากจีนแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ที่โจฮันเนสเบิร์ก…”
หลังลงจากรถ หวาจวินลากเยี่ยเทียนมุ่งตรงไปยังจุดรวมรถบัสแห่งหนึ่ง แล้วแนะนำเด็กสาวที่ถือธงสีเหลืองเล็กๆ คนหนึ่งในนั้นให้รู้จัก “คุณอวี๋ นี่คุณจ้าวจากจีนนะครับ วันนี้ผมคงไม่ได้ลงไปด้วยแล้ว คุณช่วยพาคุณจ้าวไปด้วยนะครับ”
“ได้เลยหวาจวิน คราวหน้าถ้าฉันจะไปเคปทาวน์ละก็ เธอต้องเป็นเจ้าบ้านที่ดีด้วยล่ะ!”
หวาจวินอายุยังน้อย แม้จะอยู่ในแวดวงนี้มาได้ไม่นานนัก แต่ก็เป็นคนพูดจาไพเราะน่าฟัง ส่วนคุณอวี๋คนนั้นก็ท่าทางจะสนิทกับเขาพอดู จึงตกปากรับคำในทันที กลุ่มที่เธอรับมานี้ส่วนใหญ่ก็เป็นลูกค้าคนจีนอยู่แล้ว รวมเยี่ยเทียนมาอีกคนก็ไม่เป็นปัญหาอะไร
หลังจากทักทายกับหวาจวินเสร็จ อวี๋ลี่ลี่ก็หันหน้ามองมาทางเยี่ยเทียน เมื่อสายตาของเธอกวาดผ่านไปที่ข้อมือของเยี่ยเทียน ใบหน้าก็ชะงักนิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงแย้มยิ้มออกมา “คุณจ้าวคะ เดี๋ยวฉันจะไปหยิบเอกสารข้อตกลงมาก่อน พอคุณเซ็นแล้วก็ลงไปได้เลยค่ะ!”
ผู้ที่เป็นมัคคุเทศก์นั้น แต่ละวันจะต้องเดินทางไปทั่วตามสถานที่ต่างๆ จึงมีความรอบรู้กว้างขวาง อวี๋ลี่ลี่สังเกตเห็นว่า เยี่ยเทียนแม้จะนุ่งเสื้อผ้าธรรมดาๆ แต่นาฬิกาบนข้อมือข้างซ้ายนั้นกลับเป็นของปาเต็ก ฟิลิปป์ซึ่งเป็นยี่ห้อดังระดับโลก
ปกติปาเต็ก ฟิลิปป์จะผลิตนาฬิการุ่นที่เป็นงานฝีมือเพียงปีละเรือนเดียวเท่านั้น และเรือนที่เยี่ยเทียนสวมอยู่นี้ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นหนึ่งในรุ่นนั้น
ถ้าใครอยากจะครอบครองนาฬิกาข้อมือยี่ห้อปาเต็ก ฟิลิปป์รุ่นที่ใช้ฝีมือคนในการผลิตล้วนๆ แบบนี้ นอกจากจะต้องอดทนรอคอยเป็นเวลานานแปดถึงสิบปีแล้ว ยังต้องจ่ายเงินทองอีกเป็นตัวเลขมหาศาล ตอนที่ซ่งเวยหลันซื้อนาฬิกาเรือนนี้มาจากคนอื่นให้เยี่ยเทียนนั้น ก็ต้องเสียเงินไปถึงสิบห้าล้านเหรียญสหรัฐ
แม้ว่าอวี๋ลี่ลี่จะไม่ใช่พวกเห่อคนฐานะดี แต่ในใจก็รู้ดีว่า ผู้ที่สามารถสวมนาฬิกาข้อมือแบบนี้ได้ จะต้องมีฐานะดีอย่างชนิดที่พวกเธอไม่อาจจินตนาการได้เลย หากต้องการจะซื้อนาฬิการุ่นนี้ ไม่ใช่ว่าแค่มีเงินแล้วก็จะซื้อหามาได้ อย่างน้อยอวี๋ลี่ลี่ก็ยังไม่เคยเห็นลูกค้าจากจีนคนไหนที่มีนาฬิกาแบบนี้มาก่อนเลย
เด็กสาวมีความคิดละเอียดอ่อน จึงมักจะสังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้ ตรงกันข้ามกับหวาจวินที่อยู่กับเยี่ยเทียนมาหลายวันแล้ว แต่กลับดูไม่ออกเลยว่านาฬิกาบนข้อมือของเยี่ยเทียนเรือนนั้นมีมูลค่าสูงเพียงใด
“ข้อตกลง ต้องเซ็นข้อตกลงอะไรหรือครับ?”
เยี่ยเทียนกลับไม่รู้เลยว่า อีกฝ่ายจะเห็นอะไรมากมายขนาดนั้นจากการสังเกตนาฬิกาข้อมือของเขา เขาเพียงแต่รู้สึกข้องใจในคำพูดของอวี๋ลี่ลี่อยู่บ้าง เวลาจะมาเยี่ยมชมเหมืองทองที่โจฮันเนสเบิร์กนี่ ยังต้องเซ็นข้อตกลงอะไรด้วยหรือ?
“อ้อ คืออย่างนี้ค่ะคุณจ้าว เนื่องจากเหมืองทองตั้งอยู่ลึกลงไปใต้ดินสามร้อยกว่าเมตร ทางเราไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดเหตุสุดวิสัยขึ้น จึงต้องเซ็นข้อตกลงฉบับหนึ่งที่ระบุว่าคุณสมัครใจเข้าไปในเหมืองและจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง ฝ่ายจุดชมวิวถึงจะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวลงไปได้น่ะค่ะ”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนทำหน้าเหมือนยังไม่เข้าใจ อวี๋ลี่ลี่จึงอธิบายอีกว่า “ที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณจ้าว การรักษาความปลอดภัยของทางเหมืองทองเองก็ผ่านการรับรองจากหลายๆ หน่วยงาน ตั้งแต่เริ่มเปิดให้เข้าชมจนถึงตอนนี้ก็ห้าหกปีแล้ว ยังไม่เคยเกิดอุบัติเหตุสักครั้งเลยค่ะ”
“ก็เพราะพวกคุณยังไม่เคยเจอน่ะสิ”
เยี่ยเทียนลอบถอนใจอย่างอดไม่ได้ บางครั้งการที่คนไม่เคยพบเห็นเรื่องเลวร้ายมาก่อนก็ไม่ใช่ความโชคดีเสมอไป นักท่องเที่ยวเหล่านี้ต่างไม่รู้เลยว่า พวกเขากำลังเดินเตร่ไปมาอยู่ที่ปากขุมนรก ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อวานเขากู้เครื่องจุดระเบิดได้สำเร็จ ที่นี่ก็คงจะไม่เหลือผู้รอดชีวิตเลยสักคน
“อย่างนั้นก็ช่างเถอะครับคุณอวี๋ ผมว่าข้างบนเหมืองทองนี่ก็มีจุดที่เปิดให้เยี่ยมชมได้อยู่เยอะเหมือนกัน ผมไม่ลงไปแล้วดีกว่าครับ”
โลกนี้มีเหตุบังเอิญอยู่มากมายเหลือเกิน และชะตาฟ้านั้นก็ไม่อาจจะทำนายออกมาได้ทั้งหมด ถึงเยี่ยเทียนจะกู้เครื่องจุดระเบิดนั้นไปแล้ว แต่ก็ยังไม่กล้าส่งตัวเองลงไปใต้ดินลึกตั้งหลายร้อยเมตรอยู่ดี เพราะในสถานการณ์แบบนั้นมีอะไรหลายๆ อย่างที่อาจจะอยู่เหนือการควบคุมของเขา
“พี่จ้าว ไม่ใช่ว่าคุณชอบดูหลุมเหมืองหรอกหรือครับ?” เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดเช่นนั้น หวาจวินจึงอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ ก็ตลอดทางที่ผ่านมานี้เยี่ยเทียนเจอหลุมเจอบ่อที่ไหนเป็นต้องลงไปให้ได้แทบจะทุกหลุม แต่วันนี้เขากลับท่าทางแปลกๆ ไป
เยี่ยเทียนโบกมือ ยิ้มตอบว่า “ให้ดูทั้งวันมันก็น่าเบื่อเหมือนกัน เที่ยวเล่นอยู่ข้างบนนี่แหละ”
“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา ตกลงตามที่คุณจ้าวเสนอได้เลยค่ะ”
อวี๋ลี่ลี่ก็ไม่ได้แย้งอะไร ถ้าเปลี่ยนให้เธอเป็นเยี่ยเทียน เธอก็คงจะไม่ลงไปในหลุมเหมืองเหมือนกัน ผู้ที่มีกำลังพอจะหานาฬิกาข้อมือแบรนด์เนมมูลค่าเป็นสิบล้านเหรียญสหรัฐมาสวมใส่ได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่หวงแหนชีวิตของตนมากพอสมควร คงไม่ยอมเซ็นข้อตกลงแบบนี้ส่งเดชแน่
“ข้างบนเหมืองก็มีจุดที่น่าเที่ยวอยู่เยอะเหมือนกันค่ะ หรือคุณจ้าวจะไปเยี่ยมชมการผลิตทองคำแท่งด้วยก็ได้นะคะ…”
หลังจากแนะนำเยี่ยเทียนโดยสังเขปแล้ว อวี๋ลี่ลี่มองดูนาฬิกาข้อมือแล้วยืดกายยืนตรง ปรบมือเรียกความสนใจจากรอบข้าง แล้วประกาศเสียงดังว่า “เอาละค่ะ ตอนนี้เราเข้าไปกันได้แล้ว ทุกท่านคอยตามดิฉันมานะคะ และขอให้จำธงสีเหลืองที่ดิฉันถืออยู่นี้ไว้ให้ดี เราจะไปดูกันก่อนว่า ทองคำแท่งนั้นมีวิธีการผลิตอย่างไร จากนั้นก็ลงไปในเหมืองกันได้เลยค่ะ”
กับคนประเภทเยี่ยเทียนนั้น ถึงอวี๋ลี่ลี่จะไม่ได้เข้าไปเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ แต่ก็ยังคงให้เกียรติเขาอยู่พอสมควร ดังนั้นจึงปรับเปลี่ยนลำดับการเยี่ยมชมเล็กน้อย จากเดิมที่การชมขั้นตอนการผลิตทองคำแท่งเป็นรายการสุดท้ายจึงถูกปรับขึ้นมาเป็นรายการแรก
ทันทีที่อวี๋ลี่ลี่ประกาศเรียก นักท่องเที่ยวที่สวมหมวกแบบเดียวกันยี่สิบกว่าคนก็เข้ามารวมตัวกัน เยี่ยเทียนสังเกตเห็นว่า คนส่วนใหญ่ในกลุ่มนั้นเป็นคนเชื้อสายจีน ภาษาที่ใช้พูดคุยกันก็เป็นภาษาถิ่นจากสารพัดภูมิภาค ท่าทางจะเป็นกลุ่มทัวร์ที่จัดมาจากจีน
“พี่จ้าว ผมไม่เข้าไปด้วยนะครับ” หวาจวินบอกเยี่ยเทียน สำหรับมัคคุเทศก์แล้ว การที่ต้องไปแต่สถานที่เดิมๆ และเหมือนกันไปหมดนั้นก็เป็นความทรมานอย่างหนึ่ง ดังนั้นบางครั้งถ้าเลี่ยงได้พวกเขาก็จะเลี่ยง
“อืม คุณรอผมอยู่ข้างนอกก็แล้วกันนะ” เยี่ยเทียนพยักหน้า เขารู้สึกถูกอัธยาศัยกับหวาจวิน ถ้าเจ้าหนุ่มคนนี้เข้าไปพร้อมกับเขา ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับอันตรายอะไรเข้าก็เป็นได้ ส่วนเยี่ยเทียนเองนั้น หลังจากเข้าไปแล้วก็จะแยกทางกับคนเหล่านี้ด้วยเหมือนกัน เพื่อไม่ให้คนอื่นพลอยลำบากติดร่างแหไปด้วย
“เดี๋ยวก่อน รอหนูก่อนค่ะ!”
ขณะที่กลุ่มของอวี๋ลี่ลี่กำลังจะเข้าไปในทางเข้าเหมืองทองโจฮันเนสเบิร์ก เสียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังมาจากข้างหลัง เนื่องจากเธอพูดเป็นภาษาจีน เมื่อทุกคนได้ยินจึงหยุดฝีเท้าลงตามความเคยชิน
“พี่สาวคะ หนูแซ่เจียง ชื่อเจียงซานค่ะ หนูขอตามไปกับกลุ่มของพวกพี่ด้วยคนได้ไหมคะ?”
เด็กผู้หญิงที่วิ่งเหยาะๆ เข้ามาหาดูท่าทางจะอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น หน้าตาดูใสซื่อมาก ดวงตาคู่โตอันงดงามนั้นมีน้ำตาคลอหน่วย “พ่อแม่หนูสมัครกรุ๊ปทัวร์ของฝรั่งให้ หนูฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเลยค่ะว่าพวกเขาพูดอะไรกัน พี่สาวคะ หนูขอตามไปกับพวกพี่ได้ไหมคะ ให้หนูจ่ายค่าทัวร์เพิ่มอีกก็ได้”
“แบบนี้มัน…ไม่ค่อยดีมั้งจ๊ะ?”
อวี๋ลี่ลี่ค่อนข้างลำบากใจ ในวงการนำเที่ยวนั้นก็มีธรรมเนียมอยู่เหมือนกันว่า ห้ามแย่งลูกค้าของคนอื่น ไม่เช่นนั้นจะนำไปสู่ความบาดหมางระหว่างบริษัททัวร์ด้วยกันเอง
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่ หนูบอกทางนั้นไปว่า ในกลุ่มนี้มีญาติของหนูอยู่ แล้วก็ไม่ต้องให้ทางนั้นคืนค่าทัวร์หนูด้วย ทางนั้นเขายอมให้หนูมาเองแหละค่ะ”
แม่สาวน้อยมีสีหน้าอัดอั้นตันใจ “ฝรั่งพวกนั้นน่ะดุมากเลย พี่สาวคะ ให้หนูไปด้วยคนเถอะนะคะ หนูมีเงินจ่ายอยู่ค่ะ”
“เสี่ยวอวี๋ ยังไงก็คนจีนด้วยกันทั้งนั้น พาน้องเขามาด้วยเถอะนะ”
“นั่นน่ะสิ แม่หนูน้อยน่ารัก มา มาอยู่กับน้านะจ๊ะ”
เด็กหญิงพูดไปพลางควักเงินออกมาจากกระเป๋าหลายร้อยเหรียญสหรัฐ แล้วยื่นส่งให้อวี๋ลี่ลี่ ท่าทางที่น่าเอ็นดูสงสารนั้นทำให้เหล่านักท่องเที่ยวที่มาจากจีนพากันออกปากช่วยขอร้องแทน
“อย่างนั้นก็ได้จ้ะ แต่พอกลับออกมาแล้ว หนูต้องติดต่อพ่อแม่แล้วอธิบายกับพวกท่านให้ชัดเจนด้วยนะ”
อวี๋ลี่ลี่พยักหน้า แล้วรับเงินจากเด็กหญิงไปหนึ่งร้อยเหรียญสหรัฐ ส่วนเงินที่เหลือก็ส่งคืนกลับไป ที่เธอรับมานั้นเป็นค่าชมสถานที่เพียงจุดนี้จุดเดียวเท่านั้น
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณนะคะพี่!” เด็กหญิงปรบมือยิ้มแย้ม ดูท่าทางใสซื่ออ่อนหวานเหลือเกิน คนอื่นๆ เห็นแล้วก็พาให้อารมณ์ดีขึ้น ดวงอาทิตย์ร้อนแรงที่อยู่เหนือศีรษะก็เหมือนจะไม่ได้ร้อนแผดเผาอะไรขนาดนั้นแล้ว
“เด็กผู้หญิงคนนี้แปลกๆ อยู่นะ”
เยี่ยเทียนยืนอยู่ไม่ไกลจากอวี๋ลี่ลี่ ใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ในสายตาของคนอื่นๆ เด็กผู้หญิงคนนี้อาจดูเหมือนไร้เดียงสาอ่อนต่อโลก แต่เยี่ยเทียนเป็นคนระดับไหนกัน สมัยเขาอายุสิบขวบก็ได้ติดตามพรตเฒ่าออกท่องยุทธภพแล้ว ต่อให้ไม่ใช้วิชานรลักษณ์ศาสตร์ เขามองแค่ปราดเดียวก็ดูนิสัยใจคอของคนออกแล้ว
เวลาที่เด็กผู้หญิงคนนี้พูด แววตาจะฉายความเจ้าเล่ห์คลุมเครือออกมาเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็แอบสังเกตดูปฏิกิริยาของอวี๋ลี่ลี่อย่างลับๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นความใสซื่อที่เสแสร้งออกมา แต่อายุและรูปโฉมของเธอกลับสามารถปกปิดจุดนี้ไปได้
“เอ๊ะ ทำไมในตัวเธอมีพลังงานประหลาดบางอย่างอยู่ด้วยล่ะ?”
หลังจากเยี่ยเทียนกวาดสายตาสำรวจร่างของเด็กหญิงแล้ว สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมา เพราะเขาพบว่า เส้นลมปราณภายในกายของเด็กหญิงคนนี้ มีพลังงานชนิดหนึ่งที่เขายังไม่เคยพบมาก่อนไหลเวียนอยู่ ซึ่งไม่ใช่พลังที่ได้มาจากการฝึกบำเพ็ญ เช่นเดียวกับพลังของแวมไพร์ที่ชื่อเคิร์ทนั่น
“หรือว่าเธอก็เป็นผีดูดเลือดเหมือนกัน?”
เยี่ยเทียนตั้งสมาธิส่งกระแสจิตไปจู่โจมเด็กหญิงคนนั้นราวกับคมมีด การที่เธอมาปรากฏกายอย่างประจวบเหมาะเช่นนี้ ย่อมแสดงว่ามาหาเขาโดยเฉพาะแน่ กับผู้ที่เป็นศัตรูนั้น เยี่ยเทียนไม่เคยปรานียั้งมือให้มาแต่ไหนแต่ไร และยิ่งไม่มีทางใจอ่อนกับผู้หญิงแน่นอน แม้ว่าเธอจะเป็นเด็กผู้หญิงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะก็ตามที
“ว้าย?!”
เด็กหญิงซึ่งกำลังเดินอย่างกระโดดโลดเต้นพลางตีสนิทกับคนอื่นๆ อยู่ท้ายกลุ่มนั้น พลันร้องอุทานขึ้นมาอย่างขวัญเสีย ขาชาอ่อนแรงจนล้มลงไปกับพื้น ดวงตาฉายความตื่นกลัวออกมา ราวกับกำลังมองเห็นภาพอะไรบางอย่างที่น่ากลัวอยู่ก็ไม่ปาน
“หืม สลายการโจมตีของเราได้ด้วยรึ? น่าสนใจเหมือนกันนี่!”
ขณะเดียวกับที่เด็กหญิงล้มลงไป เยี่ยเทียนรู้สึกว่า พลังงานภายในกายของเด็กหญิงสามารถสะท้อนพลังจิตของเขากลับออกไปได้ แต่ภาพกองศพทะเลโลหิตที่เยี่ยเทียนฉายออกไปนั้น กลับปรากฏขึ้นในห้วงสมองของเธอได้สำเร็จ
“อ่อนแอจริงๆ เลย ดูไปก่อนก็แล้วกันว่าเธอคิดจะทำอะไร”
เมื่อเห็นเด็กหญิงคนนั้นกุมศีรษะกรีดร้องเสียงแหลม เยี่ยเทียนก็หัวเราะเจื่อนๆ ถ้าเขาเพิ่มพลังในการโจมตีด้วยกระแสจิตมากขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ก็อาจจะทำให้พลังงานภายในร่างของเธอแตกซ่านไปเลย หรือกระทั่งอาจสังหารเธอไปแล้วก็ได้ ดังนั้นถึงพลังภายในของเธอจะพิสดารอยู่ แต่ก็ไม่ได้เป็นภัยต่อเขาเลยสักนิด กลับกลายเป็นว่าเขาทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปเอง
“น้องเจียงซาน เป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ?”
เมื่อเห็นว่าจู่ๆ เด็กหญิงก็ร้องโหวกเหวกขึ้นมา มัคคุเทศก์อวี๋ลี่ลี่ก็เริ่มจะรู้สึกว่าเธอไม่น่าไปตอบตกลงเลย กลายเป็นว่าเธอเพิ่มปัญหาจุกจิกให้ตัวเองอีก แต่ในเมื่อรับเงินจากเด็กหญิงมาแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็อยู่ในสถานะว่าจ้าง เพราะฉะนั้นจะไล่เธอไปก็คงไม่ได้แล้ว
“หนูไม่เป็นไรค่ะพี่!”
เจียงซานค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากพื้น แต่เมื่อสายตาของเธอกวาดผ่านไปที่เยี่ยเทียน ร่างทั้งร่างก็สั่นระริกขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
………………….